บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ประเมินมูลค่าหุ้น BRR อยู่ที่ 8.40 บาท อ้างอิงอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (PER) ที่ 12.5 เท่า คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิกลุ่ม (PEG) เพียง 0.27 เท่า เมื่อเทียบกับเฉลี่ยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ 12 เท่า และ 0.55 เท่า ตามลำดับ หลังจากเพิ่มทุนจะทำให้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (DE) ต่ำที่สุดในกลุ่ม (KTIS KBS KSL) ที่ประมาณ 1.2 เท่า พร้อมสำหรับการเติบโตอีกมากในอนาคต ส่วนโอกาสจะมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเพิ่มกำลังผลิตเท่าตัว, การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC), เข้าสู่ธุรกิจเอทานอล และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์
ทั้งนี้ BRR เป็นผู้ประกอบการธุรกิจน้ำตาลที่มีผลตอบแทน (Yield) เป็นอันดับ 3 ของประเทศ จึงคาดผลการดำเนินงานในช่วงปี 2557-2559 จะเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีกำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี จากปัจจัยหนุนหลายประการ ดังนี้ โดยคาดน้ำตาลกลับเป็นภาวะขาดดุลในปี 2558 หนุนราคาน้ำตาลกลับเป็นขาขึ้นหลังจากตกต่ำมา 4 ปี รวมถึงการเพิ่มกำลังการหีบอ้อยขึ้น 18% จาก 17,000 ตันอ้อยต่อวัน เป็น 20,000 ตันอ้อยต่อวัน
นอกจากนี้ ภายในไตรมาส 1/58 จะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก BPC โรงไฟฟ้าขนาด 9.9 เมกะวัตต์ (MW) ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้ารวมเป็น 19.8 เมกะวัตต์ และโอกาสของการเข้าสู่ AEC จากการที่ไทยเป็นประเทศส่งออกน้ำตาลรายเดียวในภูมิภาค ขณะประเทศอื่นเป็นผู้นำเข้าทั้งหมด
ขณะเดียวกันจากการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 20,000 ตันอ้อยต่อวัน ทำให้คาดในฤดูกาลผลิตปี 2557/2558-2559 จะมีปริมาณอ้อยเข้าหีบเติบโต 25% และ 13% ตามลำดับ สู่ระดับ 2.5 ล้านตัน รองรับการเพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งใช้กากอ้อยจากกระบวนการหีบอ้อยที่จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 9.9 เมกะวัตต์ เป็น 19.8 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นส่วนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าธุรกิจน้ำตาลมาก
รวมถึงยังมีโอกาสจากการเข้าสู่ AEC ในปี 2558 เนื่องจากหากพิจารณาแล้วปริมาณบริโภคน้ำตาลในกลุ่มอาเซียน (ไม่รวมไทย) มีอยู่ที่ประมาณ 11-12 ล้านตันต่อปี ขณะที่ปริมาณผลิตอยู่ที่เพียง 6.5 ล้านตันต่อปี จึงเป็นโอกาสให้ไทยได้ส่งออกน้ำตาลแก่ประเทศเหล่านี้เพิ่มเติม หากอุปสรรคทางการค้าและภาษีต่างๆ หมดไปและการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากราคาขายปลีกน้ำตาลในประเทศไทยถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอาเซียน
brr....
ทั้งนี้ BRR เป็นผู้ประกอบการธุรกิจน้ำตาลที่มีผลตอบแทน (Yield) เป็นอันดับ 3 ของประเทศ จึงคาดผลการดำเนินงานในช่วงปี 2557-2559 จะเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีกำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี จากปัจจัยหนุนหลายประการ ดังนี้ โดยคาดน้ำตาลกลับเป็นภาวะขาดดุลในปี 2558 หนุนราคาน้ำตาลกลับเป็นขาขึ้นหลังจากตกต่ำมา 4 ปี รวมถึงการเพิ่มกำลังการหีบอ้อยขึ้น 18% จาก 17,000 ตันอ้อยต่อวัน เป็น 20,000 ตันอ้อยต่อวัน
นอกจากนี้ ภายในไตรมาส 1/58 จะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก BPC โรงไฟฟ้าขนาด 9.9 เมกะวัตต์ (MW) ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้ารวมเป็น 19.8 เมกะวัตต์ และโอกาสของการเข้าสู่ AEC จากการที่ไทยเป็นประเทศส่งออกน้ำตาลรายเดียวในภูมิภาค ขณะประเทศอื่นเป็นผู้นำเข้าทั้งหมด
ขณะเดียวกันจากการเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 20,000 ตันอ้อยต่อวัน ทำให้คาดในฤดูกาลผลิตปี 2557/2558-2559 จะมีปริมาณอ้อยเข้าหีบเติบโต 25% และ 13% ตามลำดับ สู่ระดับ 2.5 ล้านตัน รองรับการเพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งใช้กากอ้อยจากกระบวนการหีบอ้อยที่จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 9.9 เมกะวัตต์ เป็น 19.8 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นส่วนที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าธุรกิจน้ำตาลมาก
รวมถึงยังมีโอกาสจากการเข้าสู่ AEC ในปี 2558 เนื่องจากหากพิจารณาแล้วปริมาณบริโภคน้ำตาลในกลุ่มอาเซียน (ไม่รวมไทย) มีอยู่ที่ประมาณ 11-12 ล้านตันต่อปี ขณะที่ปริมาณผลิตอยู่ที่เพียง 6.5 ล้านตันต่อปี จึงเป็นโอกาสให้ไทยได้ส่งออกน้ำตาลแก่ประเทศเหล่านี้เพิ่มเติม หากอุปสรรคทางการค้าและภาษีต่างๆ หมดไปและการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากราคาขายปลีกน้ำตาลในประเทศไทยถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอาเซียน