โลกมายาคือโลกแห่งดวงดาว ประกายแสงที่โชติช่วงในชั่วพริบตาคือสัจธรรมแห่งชีวิตของดาราบางคน ยิ่งกับดาราดางรุ่งที่เดินเข้า - ออกวงการกันเป็นว่าเล่น พวกเขาหลายคนมองโอกาสในวงการเพียงมาจากหน้าตาที่ดูดี และใช้โอกาสราวกับผลงานบนหน้าจอเป็นงานฆ่าเวลายามว่างให้แก่ชีวิต แต่ไม่ใช่สำหรับ “นาว - ทิสานาฏ ศรศึก”
“ก่อนหน้านี้หนูเป็นคนขี้อายคะ พอมีแมวมองมาชักชวนหรืออะไรแบบนี้ก็จะปฏิเสธตลอด” เธอเอ่ยในท่าทีแรกต่อวงการบันเทิง “แต่พอได้ทำงานดูก็ติดใจ รู้สึกสนุกและชอบกับงานที่ทำ จนถึงตอนนี้ก็อยากจะทำงานต่อไปเรื่อยๆ อยากทำงานเยอะๆ”
หลังจากก้าวแรกสู่วงการเธอบอกได้ว่า ตัวเองค่อยๆ หลงรักโลกมายา จนถลำตัวผ่านงานเอ็มวี ภาพยนตร์ กระทั่งถึงงานละคร จวบจนขึ้นแท่นนางเอกดาวรุ่งแห่งวิก 7 สี
การตัดสินใจที่ไม่คาดคิด
อายุ 15 ปีอาจบอกได้ว่าเป็นวัยที่มักจะถูกทาบทามให้เข้าสู่วงการมากที่สุด มันคือวัยแรกแย้มที่ความสะสวยของชีวิตเริ่มเผยตัวตนมาให้โลกได้เชยชม ตามศูนย์การค้าย่านวัยรุ่นจึงเต็มไปด้วยแมวมองทำงานควานหาดาวดวงใหม่ประดับวงการ และ “สยาม” ก็ถือเป็นอีกย่านการค้ายอดนิยมที่ดาราหลายคนถูกทาบทามเข้าสู่วงการ
“วันนั้นนาวไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วไปเดินห้างแถวสยาม แล้วก็เหมือนมีพวกแมวมองเข้ามาติดต่อ บอกว่า ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย เผื่อจะเอาไปเป็นโปรไฟล์ส่งไปแคสต์งาน” เธอเอ่ยขึ้น แต่เรื่องราวไม่ได้เริ่มต้นง่ายขนาดนั้น “หนูปฏิเสธไปค่ะ ไม่ชอบ ช่วงนั้นจำได้ว่าประมาณอายุ 15 เวลาไปไหนมาไหนก็มักจะมีแมวมองเข้ามาขอถ่ายรูปแต่หนูก็จะปฏิเสธไปเสมอ”
แต่บ่อยครั้งวันหนึ่งเธอก็ตัดความรำคาญด้วยการตอบรับให้ถ่ายรูปกลับไปพร้อมทั้งแลกขอเบอร์ติดต่อกับแม่ของเธอไว้ ทว่าหลังการตัดสินใจครั้งนั้น เธอก็ถูกติดต่อให้มาทำแคสต์ถ่ายวิดีโอไว้เพื่อส่งไปตามงานต่างๆ
“ตอนแรกหนูก็ไม่ไปอีก คือไม่อยากไป ตอนนั้นที่เราถ่ายเพราะเราแค่อยากทำให้มันจบๆ ไป ให้ถ่ายๆ ไป เอาเบอร์แม่ไปก็ได้ เราก็เดินออกมาแล้วไปเที่ยวกับเพื่อนต่อ แต่สักพักพอเขาติดต่อกลับมา คุณแม่ก็เล่าให้ฟังว่า อยากให้เราไปแคสต์เก็บเอาไว้ เราก็ไม่เอา ไม่ไป ไม่อยากไปเพราะรู้สึกไม่ชอบ ตอนนั้นเรายังเป็นวัยรุ่นยังเป็นวัยที่สนุกกับเพื่อนๆ ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องงานเรื่องอาชีพตรงนี้เลย”
แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุด ความดึงดันของแมวมองในวันนั้นส่งผ่านแม่ของเธอมาเป็นคำพูด บอกเพียงว่า ลองดูก็ได้ มันไม่เสียหายอะไร เธอจึงตัดสินใจลองดูสักครั้ง
“ก็โทร.มาหลายครั้งอยู่ เขาตื๊อผ่านแม่เพราะเราให้เบอร์แม่ไป แม่ก็ไม่ได้บังคับเราหรอก แค่บอกว่า ลองดูก็ไม่เสียหาย เราก็เลยเออๆ ก็ได้แล้วเราก็ลองไป”
จากนั้นในการทำวิดีโอแคสต์ครั้งแรก ที่หน้ากล้องตัวเล็กๆ ในโมเดลลิ่งแห่งหนึ่ง เธอได้รับโจทย์ให้ร้องไห้หน้ากล้อง
“แต่ก่อนจะให้เราร้องไห้ เขามาทำอารมณ์ให้เราก่อน เขาบอกว่า จะเอาแคสต์อันนี้ไปแคสต์เอ็มวีที่เป็นเรื่องของสาววัยรุ่นที่อกหักจากผู้ชายแล้วมาเที่ยวอยู่ในผับ เสียตัวร้องไห้เสียใจ จริงๆ ตอนนั้นมันไม่เหมาะกับหนูหรอก เพราะหนูยังเด็ก แต่พอเขาทำอารมณ์ให้เรา เราก็ร้องไห้ออกมาได้”
หลังจากจบวันนั้น วิดีโอดังกล่าวถูกส่งไปให้ผู้จัดทำเอ็มวีแล้วเธอก็ถูกเรียกตัวให้ไปทำงานจริงจนได้ แต่เธอก็ยังยืนยันอีกครั้งว่า ไม่อยากไป!
“หนูก็บอกแม่ไม่เอา ไม่ไป คือเราแค่ทำให้มันจบๆไป ไม่ต้องการที่จะต่อยอด แค่ตัดความรำคาญที่มีคนมาตื๊อ เราไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างนี้”
โทรศัพน์จากโมเดลลิ่งยิ่งตามติด ทางผู้จัดทำต้องการเธอ วิดีโอถูกส่งไปแล้ว หลายครั้งหลายคราว จนท้ายที่สุดก็เป็นอีกครั้งที่เธอตัดความรำคาญด้วยการตกปากรับคำ
“ทางโมเดลลิงก็คะยั้นคะยอ โทร.มาหาแม่หลายครั้งอยู่เหมือนกัน ท้ายที่สุดเราก็ตัดความรำคาญลองไปดู คือแม่ไม่ได้บังคับ แต่แม่เห็นว่า มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ลองดูก็ได้ ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำแล้ว แค่ไปลองก่อนก็ได้ เราก็คิดตามแม่”
และแล้วเมื่องานเอ็มวีเพลง เสียงลมหายใจ ของ ปราโมท วิเลปะนะผ่านพ้นไป เธอกลับรู้สึกชอบ และสนุกกับการทำงาน จากทีแรกในความคิดที่มีต่อทำงานว่า ต้องเครียด เธอกลับพบความสนุกทั้งจากการทำงาน และทีมงาน จากนั้นเธอจึงรับงานและเลือกเดินมาบนเส้นทางสายบันเทิงอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
“ตอนนั้นจริงๆก็รู้สึกเฉยๆ มันสนุกดีเพราะเราเด็กมาก เรารู้สึกดีที่ทำงานแล้วได้เงิน มันเป็นเงินก้อนแรกที่อาจจะไม่ได้มากมาย แต่เราก็ไม่เคยได้เยอะขนาดนี้ ตอนเด็กเราแค่ขอตังค์แม่ไปโรงเรียน แต่ตอนนี้เรามีเงินเป็นของตัวเอง เราเอาเงินก้อนแรกให้แม่ เรารู้สึกภูมิใจ หลังจากงานเอ็มวีเราก็มีงานหนังเข้ามาด้วย”
ภาพยนตร์เรื่อง เลิฟ จุรินทรีย์ เมื่อหลายปีก่อนกลายเป็นก้าวแรกสู่วงการอย่างเต็มตัวของเธอ หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตารู้จักเธอจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอเผยว่า เป็นการทำงานที่สนุกมากครั้งหนึ่งของชีวิต
“ตอนที่ไปคุยเรื่องหนังก็เหมือนเขาทำแคสต์เรา เขาให้เล่าชีวิตเราว่า อยู่โรงเรียนเป็นยังไง เหมือนดูบุคลิกเราเวลาเราพูดคุย เล่าว่าชีวิตเราเป็นยังไง เขาก็จะเอาชีวิตเรามาทำเป็นหนัง มันเลยเป็นตัวของตัวเองในหนังไปด้วย”
แม้กระแสจากภาพยนตร์ดังกล่าวจะไม่ดังเปรี้ยงถึงขั้นส่งเธอเป็นนางเอกดังในชั่วข้ามคืน แต่ก็เริ่มมีคนจดจำเธอได้มากขึ้น ในหมู่วัยรุ่นเธอก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ความภูมิใจจากผลงานชิ้นนั้นคือการที่เธอได้เชิญเพื่อนๆ มาดูหนังรอบปฐมทัศน์ ช่วงเวลานั้นความดีใจที่เกิดขึ้นทำให้เธอหวนนึกไปถึงวันแรกๆที่ตัดสินใจเข้าวงการ
“เรารู้สึกดีใจ ไม่เคยคิดว่า การตัดสินใจของเราในครั้งนั้นจะทำให้เรามาถึงจุดนี้ ไม่เคยคิดว่าชีวิตเราจะมาถึงจุดๆ นี้ ไม่เคยคิดเลยว่า ฉันจะต้องเข้าวงการ ตอนนั้นก็มาไกลกว่าที่ตัวเองคิดไว้มากแล้ว”
ในโลกของเด็กน้อย
ในช่วงปิดเทอมวัยเด็กเธอต้องติดตามไปวิ่งเล่นที่ทำงานของแม่ สิ่งหนึ่งที่แม่จำได้แม่นคือ เธอเป็นเด็กปากไว ครั้งหนึ่งเพื่อนที่ทำงานเดินผ่าน เธอถามโดยพลันด้วยความไร้เดียงสา “ทำไมพี่เขาถึงแต่งหน้าน่ากลัวอย่างนั้นล่ะคะ?”
จากนั้นเธอเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กซนคนหนึ่ง มักจะทำให้อะไรห้าวๆ สนุกตามวัย มีปีนต้นไม้ เก็บมะยมกับเพื่อนๆ บ้าง อย่างไรก็ตาม เธอก็ถือเป็นเด็กขี้อายคนหนึ่ง ไม่สนใจร่วมกิจกรรมใดๆ ของโรงเรียน รายงานหน้าชั้นก็มักไม่พบเธออยู่ที่หน้าชั้นเรียน กระทั่งการตอบคำถามในห้อง หากถูกเรียกให้ยืนขึ้นตอบ เธอจะตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
“ไม่ชอบอะไรที่มันต้องทำคนเดียวแล้วคนทั้งห้องมอง ถึงจะเป็นเพื่อนที่สนิทกัน แต่มันก็รู้สึกไม่ชอบที่จะไปยืนแล้วมีคนมองเยอะ ตอนนั้นเลยรู้สึกไม่ชอบงานแสดง หนูเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว”
กลุ่มเพื่อนวัยเด็กก็เป็นกลุ่มเด็กซนที่สนุกๆ ไปกัน สำหรับเธอแล้วไม่ได้มีความผูกพันเหมือนในช่วงที่โตขึ้นมา ยังคงเป็นเด็กน้อยทั่วไปมากกว่า
“แต่พอเราโตขึ้น เรามีเพื่อน มีเหตุผลมากขึ้นมันก็จะมีความผูกพันมากขึ้นไปเอง”
คาบเรียนคณิตศาสตร์คือคาบเรียนโปรดของเธอ แม้ว่าในทีแรกเธอจะไม่ชอบและยังเรียนไม่เก่งก็ตาม เธอมองว่า ความไม่เข้าใจบทเรียนที่ซ้อนทับพอกพูนต่อๆกัน คือปมปัญหาใหญ่ที่ทำให้เธอไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ แต่แล้วหลังจากได้เรียนจนเข้าใจกับลูกพี่ลูกน้อง เธอก็สามารถทำข้อสอบได้ เธอเข้าใจในบทเรียน เธอจึงกลับมาชอบวิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
“จริงๆที่เราไม่เข้าใจเพราะบางทีครูสอนเร็วเกิน และหนูก็เป็นคนหัวช้าด้วย คณิตศาสตร์มันเป็นอะไรที่เข้าใจยากในวัยเราตอนนั้น พอครูสอนไม่เข้าใจเราเป็นเด็กขี้อายก็ยิ่งไม่กล้าไปถาม เลยเกิดความไม่เข้าใจต่อๆ กันไปเรื่อยๆ เราก็เลยไม่ชอบ”
ทว่า ชีวิตวัยเรียนที่เป็นเด็กซนและชื่นชอบวิชาคณิตศาสตร์ กลับมาลงท้ายด้วยการเข้าวิทยาลัยนาฏศิลป์ เธอยิ้มพร้อมเผยถึงสาเหตุว่า มาจากความเป็นเด็กซน แม่จึงอยากให้ไปเรียน ทว่าอีกสาเหตุคือเพราะโรงเรียนสอนนาฏศิลป์ดังกล่าวมีโปรโมชัน เรียน 1 คน แถมอีก 1 คน เธอจึงติดสอยห้อยตามพี่สาวไปเรียนด้วย
“ตอนเด็กๆ ซนคะ แม่เลยจับให้เรียนนาฏศิลป์ ซึ่งจริงๆ หนูก็ไม่ได้กะจะเรียน แต่พี่สาวจะไปสมัครเรียนนาฏศิลป์ซึ่งเป็นโรงเรียนอยู่ในห้าง แล้วพอดีช่วงนั้นเขามีโปรโมชันแถม 1 คน ก็เลยเอาหนูไปด้วย และพอไปเรียนเราก็รู้สึกว่าตัวเองรำสวย ตอนนั้นประมาณ 8 ขวบได้ ถึงจะไม่ได้รำสวยมาก แต่ก็รำดีไม่ได้น่าเกลียด หนูเลยเรียนมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้เลย”
ชีวิตเด็กนาฏศิลป์
ชีวิตเด็กเรียนรำแห่งวิทยาลัยนาฏศิลป์ของเธอเริ่มตั้งแต่เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตารางชีวิตในทุกวันเปลี่ยนแปลงไป เธอต้องเรียนนาฏศิลป์ช่วงเช้า ส่วนบ่ายก็เรียนวิชาสามัญ หากขึ้นมัธยมปลายก็จะมีการสลับกันให้เรียนวิชาสามัญช่วงเช้าและเรียนนาฏศิลป์ช่วงบ่าย วิถีชีวิตเด็กเรียนรำไม่ได้เป็นสิ่งที่เธอต้องปรับเปลี่ยนตัวเองมากนัก แม้จะเป็นเด็กซนและขี้อายมาก่อน แต่เมื่อมาอยู่ในสังคมนาฏศิลป์เธอก็ซึมซับกับวิถีชีวิตในแบบที่เป็นอยู่ พร้อมทั้งทำหน้าที่ของตัวเองออกมาได้เป็นอย่างดี
“คือตอนแรกเฉยๆ ที่แม่ให้หนูไปเรียน แต่พอเราได้ไปอยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลป์ ได้มาเห็นสังคม เห็นรุ่นพี่แต่งหน้าแต่งตัวไปรำกัน มันกลายเป็นความภาคภูมิใจขึ้นมา เวลาที่เราได้ออกงานไปยืนรับเสด็จ หรือไปรำหน้าพระที่นั่งฯ เรารู้สึกว่าเราภูมิใจ เราเลยรักในนาฏศิลป์ แล้วเราก็อยากจะเผยแพร่ให้คนเห็นถึงความสำคัญของนาฏศิลป์มากขึ้น”
สิ่งที่ช่วยให้ชีวิตรอบรั้ววิทยาลัยนาฏศิลป์ของเธอดำเนินไปด้วยดีก็คือการเรียนซัมเมอร์ในช่วงปิดเทอมก่อนเข้าเรียนที่ช่วยให้เธอได้ปรับตัว ได้รู้จักกับเพื่อนก่อนเข้าเรียน เธอจึงแทบไม่ต้องปรับตัว การซ้อมในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไปทำให้เธอยิ่งตกหลุมรักกับศิลปะแขนงนี้มากยิ่งขึ้น
ในทางนาฏศิลป์เธอถนัดรับบท “ตัวพระ” มากกว่า “ตัวนาง” ด้วยเพราะตัวนางนั้นมีท่ารำที่ต้องอ่อนถ้อยสำรวมให้คล้ายผู้หญิง คนรูปร่างสูงแขนยาวขายาวอย่างเธอจึงเหมาะกับตัวพระที่มีลักษณะเน้นท่วงท่าที่ดูเท่และสง่างาม ทั้งนี้ เธอเผยว่า การรำนั้นไม่ใช่แค่การออกไปยืนบนเวที รำทำท่าตามที่จดจำ หากแต่ยังมีศาสตร์และศิลป์ในชั้นเชิงการตีความที่น่าหลงใหลแอบซ่อนอยู่
“จริงๆ มันไม่ใช่แค่รำอย่างเดียว มีทั้งโขน บัลเล่ย์ ดนตรีสากล ดนตรีไทย ขับร้องสากล ขับร้องไทย ของหนูเลือกสายละครก็คือสายรำ
“เสน่ห์ของมันอยู่ที่ความเข้าใจในตัวบท ถ้าเราเข้าใจเนื้อหาของบท การร้องที่เกี่ยวกับชมนกชมไม้ เราก็ต้องตีความแล้วร่ายรำท่าให้ออกมาตามการตีความ ไม่ใช่เราจะรำไปเรื่อยเปื่อยตามท่าที่เราจำได้เท่านั้น”
ความยากของท่ารำรวมกับความอ่อนช้อยในการแสดง ประสานกับความเข้าใจในตัวบทถ่ายทอดออกมาสู่การแสดง เธอมองว่า สิ่งเหล่านี้ท้ายที่สุดแล้วก็ช่วยในเรื่อฃการแสดงของเธอด้วย
นาว ทิสานาฏ กุหลาบแสนซน ที่หลงรักในโลกมายา
“ก่อนหน้านี้หนูเป็นคนขี้อายคะ พอมีแมวมองมาชักชวนหรืออะไรแบบนี้ก็จะปฏิเสธตลอด” เธอเอ่ยในท่าทีแรกต่อวงการบันเทิง “แต่พอได้ทำงานดูก็ติดใจ รู้สึกสนุกและชอบกับงานที่ทำ จนถึงตอนนี้ก็อยากจะทำงานต่อไปเรื่อยๆ อยากทำงานเยอะๆ”
หลังจากก้าวแรกสู่วงการเธอบอกได้ว่า ตัวเองค่อยๆ หลงรักโลกมายา จนถลำตัวผ่านงานเอ็มวี ภาพยนตร์ กระทั่งถึงงานละคร จวบจนขึ้นแท่นนางเอกดาวรุ่งแห่งวิก 7 สี
การตัดสินใจที่ไม่คาดคิด
อายุ 15 ปีอาจบอกได้ว่าเป็นวัยที่มักจะถูกทาบทามให้เข้าสู่วงการมากที่สุด มันคือวัยแรกแย้มที่ความสะสวยของชีวิตเริ่มเผยตัวตนมาให้โลกได้เชยชม ตามศูนย์การค้าย่านวัยรุ่นจึงเต็มไปด้วยแมวมองทำงานควานหาดาวดวงใหม่ประดับวงการ และ “สยาม” ก็ถือเป็นอีกย่านการค้ายอดนิยมที่ดาราหลายคนถูกทาบทามเข้าสู่วงการ
“วันนั้นนาวไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วไปเดินห้างแถวสยาม แล้วก็เหมือนมีพวกแมวมองเข้ามาติดต่อ บอกว่า ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย เผื่อจะเอาไปเป็นโปรไฟล์ส่งไปแคสต์งาน” เธอเอ่ยขึ้น แต่เรื่องราวไม่ได้เริ่มต้นง่ายขนาดนั้น “หนูปฏิเสธไปค่ะ ไม่ชอบ ช่วงนั้นจำได้ว่าประมาณอายุ 15 เวลาไปไหนมาไหนก็มักจะมีแมวมองเข้ามาขอถ่ายรูปแต่หนูก็จะปฏิเสธไปเสมอ”
แต่บ่อยครั้งวันหนึ่งเธอก็ตัดความรำคาญด้วยการตอบรับให้ถ่ายรูปกลับไปพร้อมทั้งแลกขอเบอร์ติดต่อกับแม่ของเธอไว้ ทว่าหลังการตัดสินใจครั้งนั้น เธอก็ถูกติดต่อให้มาทำแคสต์ถ่ายวิดีโอไว้เพื่อส่งไปตามงานต่างๆ
“ตอนแรกหนูก็ไม่ไปอีก คือไม่อยากไป ตอนนั้นที่เราถ่ายเพราะเราแค่อยากทำให้มันจบๆ ไป ให้ถ่ายๆ ไป เอาเบอร์แม่ไปก็ได้ เราก็เดินออกมาแล้วไปเที่ยวกับเพื่อนต่อ แต่สักพักพอเขาติดต่อกลับมา คุณแม่ก็เล่าให้ฟังว่า อยากให้เราไปแคสต์เก็บเอาไว้ เราก็ไม่เอา ไม่ไป ไม่อยากไปเพราะรู้สึกไม่ชอบ ตอนนั้นเรายังเป็นวัยรุ่นยังเป็นวัยที่สนุกกับเพื่อนๆ ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องงานเรื่องอาชีพตรงนี้เลย”
แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุด ความดึงดันของแมวมองในวันนั้นส่งผ่านแม่ของเธอมาเป็นคำพูด บอกเพียงว่า ลองดูก็ได้ มันไม่เสียหายอะไร เธอจึงตัดสินใจลองดูสักครั้ง
“ก็โทร.มาหลายครั้งอยู่ เขาตื๊อผ่านแม่เพราะเราให้เบอร์แม่ไป แม่ก็ไม่ได้บังคับเราหรอก แค่บอกว่า ลองดูก็ไม่เสียหาย เราก็เลยเออๆ ก็ได้แล้วเราก็ลองไป”
จากนั้นในการทำวิดีโอแคสต์ครั้งแรก ที่หน้ากล้องตัวเล็กๆ ในโมเดลลิ่งแห่งหนึ่ง เธอได้รับโจทย์ให้ร้องไห้หน้ากล้อง
“แต่ก่อนจะให้เราร้องไห้ เขามาทำอารมณ์ให้เราก่อน เขาบอกว่า จะเอาแคสต์อันนี้ไปแคสต์เอ็มวีที่เป็นเรื่องของสาววัยรุ่นที่อกหักจากผู้ชายแล้วมาเที่ยวอยู่ในผับ เสียตัวร้องไห้เสียใจ จริงๆ ตอนนั้นมันไม่เหมาะกับหนูหรอก เพราะหนูยังเด็ก แต่พอเขาทำอารมณ์ให้เรา เราก็ร้องไห้ออกมาได้”
หลังจากจบวันนั้น วิดีโอดังกล่าวถูกส่งไปให้ผู้จัดทำเอ็มวีแล้วเธอก็ถูกเรียกตัวให้ไปทำงานจริงจนได้ แต่เธอก็ยังยืนยันอีกครั้งว่า ไม่อยากไป!
“หนูก็บอกแม่ไม่เอา ไม่ไป คือเราแค่ทำให้มันจบๆไป ไม่ต้องการที่จะต่อยอด แค่ตัดความรำคาญที่มีคนมาตื๊อ เราไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างนี้”
โทรศัพน์จากโมเดลลิ่งยิ่งตามติด ทางผู้จัดทำต้องการเธอ วิดีโอถูกส่งไปแล้ว หลายครั้งหลายคราว จนท้ายที่สุดก็เป็นอีกครั้งที่เธอตัดความรำคาญด้วยการตกปากรับคำ
“ทางโมเดลลิงก็คะยั้นคะยอ โทร.มาหาแม่หลายครั้งอยู่เหมือนกัน ท้ายที่สุดเราก็ตัดความรำคาญลองไปดู คือแม่ไม่ได้บังคับ แต่แม่เห็นว่า มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ลองดูก็ได้ ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำแล้ว แค่ไปลองก่อนก็ได้ เราก็คิดตามแม่”
และแล้วเมื่องานเอ็มวีเพลง เสียงลมหายใจ ของ ปราโมท วิเลปะนะผ่านพ้นไป เธอกลับรู้สึกชอบ และสนุกกับการทำงาน จากทีแรกในความคิดที่มีต่อทำงานว่า ต้องเครียด เธอกลับพบความสนุกทั้งจากการทำงาน และทีมงาน จากนั้นเธอจึงรับงานและเลือกเดินมาบนเส้นทางสายบันเทิงอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ
“ตอนนั้นจริงๆก็รู้สึกเฉยๆ มันสนุกดีเพราะเราเด็กมาก เรารู้สึกดีที่ทำงานแล้วได้เงิน มันเป็นเงินก้อนแรกที่อาจจะไม่ได้มากมาย แต่เราก็ไม่เคยได้เยอะขนาดนี้ ตอนเด็กเราแค่ขอตังค์แม่ไปโรงเรียน แต่ตอนนี้เรามีเงินเป็นของตัวเอง เราเอาเงินก้อนแรกให้แม่ เรารู้สึกภูมิใจ หลังจากงานเอ็มวีเราก็มีงานหนังเข้ามาด้วย”
ภาพยนตร์เรื่อง เลิฟ จุรินทรีย์ เมื่อหลายปีก่อนกลายเป็นก้าวแรกสู่วงการอย่างเต็มตัวของเธอ หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตารู้จักเธอจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอเผยว่า เป็นการทำงานที่สนุกมากครั้งหนึ่งของชีวิต
“ตอนที่ไปคุยเรื่องหนังก็เหมือนเขาทำแคสต์เรา เขาให้เล่าชีวิตเราว่า อยู่โรงเรียนเป็นยังไง เหมือนดูบุคลิกเราเวลาเราพูดคุย เล่าว่าชีวิตเราเป็นยังไง เขาก็จะเอาชีวิตเรามาทำเป็นหนัง มันเลยเป็นตัวของตัวเองในหนังไปด้วย”
แม้กระแสจากภาพยนตร์ดังกล่าวจะไม่ดังเปรี้ยงถึงขั้นส่งเธอเป็นนางเอกดังในชั่วข้ามคืน แต่ก็เริ่มมีคนจดจำเธอได้มากขึ้น ในหมู่วัยรุ่นเธอก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ความภูมิใจจากผลงานชิ้นนั้นคือการที่เธอได้เชิญเพื่อนๆ มาดูหนังรอบปฐมทัศน์ ช่วงเวลานั้นความดีใจที่เกิดขึ้นทำให้เธอหวนนึกไปถึงวันแรกๆที่ตัดสินใจเข้าวงการ
“เรารู้สึกดีใจ ไม่เคยคิดว่า การตัดสินใจของเราในครั้งนั้นจะทำให้เรามาถึงจุดนี้ ไม่เคยคิดว่าชีวิตเราจะมาถึงจุดๆ นี้ ไม่เคยคิดเลยว่า ฉันจะต้องเข้าวงการ ตอนนั้นก็มาไกลกว่าที่ตัวเองคิดไว้มากแล้ว”
ในโลกของเด็กน้อย
ในช่วงปิดเทอมวัยเด็กเธอต้องติดตามไปวิ่งเล่นที่ทำงานของแม่ สิ่งหนึ่งที่แม่จำได้แม่นคือ เธอเป็นเด็กปากไว ครั้งหนึ่งเพื่อนที่ทำงานเดินผ่าน เธอถามโดยพลันด้วยความไร้เดียงสา “ทำไมพี่เขาถึงแต่งหน้าน่ากลัวอย่างนั้นล่ะคะ?”
จากนั้นเธอเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กซนคนหนึ่ง มักจะทำให้อะไรห้าวๆ สนุกตามวัย มีปีนต้นไม้ เก็บมะยมกับเพื่อนๆ บ้าง อย่างไรก็ตาม เธอก็ถือเป็นเด็กขี้อายคนหนึ่ง ไม่สนใจร่วมกิจกรรมใดๆ ของโรงเรียน รายงานหน้าชั้นก็มักไม่พบเธออยู่ที่หน้าชั้นเรียน กระทั่งการตอบคำถามในห้อง หากถูกเรียกให้ยืนขึ้นตอบ เธอจะตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
“ไม่ชอบอะไรที่มันต้องทำคนเดียวแล้วคนทั้งห้องมอง ถึงจะเป็นเพื่อนที่สนิทกัน แต่มันก็รู้สึกไม่ชอบที่จะไปยืนแล้วมีคนมองเยอะ ตอนนั้นเลยรู้สึกไม่ชอบงานแสดง หนูเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว”
กลุ่มเพื่อนวัยเด็กก็เป็นกลุ่มเด็กซนที่สนุกๆ ไปกัน สำหรับเธอแล้วไม่ได้มีความผูกพันเหมือนในช่วงที่โตขึ้นมา ยังคงเป็นเด็กน้อยทั่วไปมากกว่า
“แต่พอเราโตขึ้น เรามีเพื่อน มีเหตุผลมากขึ้นมันก็จะมีความผูกพันมากขึ้นไปเอง”
คาบเรียนคณิตศาสตร์คือคาบเรียนโปรดของเธอ แม้ว่าในทีแรกเธอจะไม่ชอบและยังเรียนไม่เก่งก็ตาม เธอมองว่า ความไม่เข้าใจบทเรียนที่ซ้อนทับพอกพูนต่อๆกัน คือปมปัญหาใหญ่ที่ทำให้เธอไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ แต่แล้วหลังจากได้เรียนจนเข้าใจกับลูกพี่ลูกน้อง เธอก็สามารถทำข้อสอบได้ เธอเข้าใจในบทเรียน เธอจึงกลับมาชอบวิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
“จริงๆที่เราไม่เข้าใจเพราะบางทีครูสอนเร็วเกิน และหนูก็เป็นคนหัวช้าด้วย คณิตศาสตร์มันเป็นอะไรที่เข้าใจยากในวัยเราตอนนั้น พอครูสอนไม่เข้าใจเราเป็นเด็กขี้อายก็ยิ่งไม่กล้าไปถาม เลยเกิดความไม่เข้าใจต่อๆ กันไปเรื่อยๆ เราก็เลยไม่ชอบ”
ทว่า ชีวิตวัยเรียนที่เป็นเด็กซนและชื่นชอบวิชาคณิตศาสตร์ กลับมาลงท้ายด้วยการเข้าวิทยาลัยนาฏศิลป์ เธอยิ้มพร้อมเผยถึงสาเหตุว่า มาจากความเป็นเด็กซน แม่จึงอยากให้ไปเรียน ทว่าอีกสาเหตุคือเพราะโรงเรียนสอนนาฏศิลป์ดังกล่าวมีโปรโมชัน เรียน 1 คน แถมอีก 1 คน เธอจึงติดสอยห้อยตามพี่สาวไปเรียนด้วย
“ตอนเด็กๆ ซนคะ แม่เลยจับให้เรียนนาฏศิลป์ ซึ่งจริงๆ หนูก็ไม่ได้กะจะเรียน แต่พี่สาวจะไปสมัครเรียนนาฏศิลป์ซึ่งเป็นโรงเรียนอยู่ในห้าง แล้วพอดีช่วงนั้นเขามีโปรโมชันแถม 1 คน ก็เลยเอาหนูไปด้วย และพอไปเรียนเราก็รู้สึกว่าตัวเองรำสวย ตอนนั้นประมาณ 8 ขวบได้ ถึงจะไม่ได้รำสวยมาก แต่ก็รำดีไม่ได้น่าเกลียด หนูเลยเรียนมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้เลย”
ชีวิตเด็กนาฏศิลป์
ชีวิตเด็กเรียนรำแห่งวิทยาลัยนาฏศิลป์ของเธอเริ่มตั้งแต่เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตารางชีวิตในทุกวันเปลี่ยนแปลงไป เธอต้องเรียนนาฏศิลป์ช่วงเช้า ส่วนบ่ายก็เรียนวิชาสามัญ หากขึ้นมัธยมปลายก็จะมีการสลับกันให้เรียนวิชาสามัญช่วงเช้าและเรียนนาฏศิลป์ช่วงบ่าย วิถีชีวิตเด็กเรียนรำไม่ได้เป็นสิ่งที่เธอต้องปรับเปลี่ยนตัวเองมากนัก แม้จะเป็นเด็กซนและขี้อายมาก่อน แต่เมื่อมาอยู่ในสังคมนาฏศิลป์เธอก็ซึมซับกับวิถีชีวิตในแบบที่เป็นอยู่ พร้อมทั้งทำหน้าที่ของตัวเองออกมาได้เป็นอย่างดี
“คือตอนแรกเฉยๆ ที่แม่ให้หนูไปเรียน แต่พอเราได้ไปอยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลป์ ได้มาเห็นสังคม เห็นรุ่นพี่แต่งหน้าแต่งตัวไปรำกัน มันกลายเป็นความภาคภูมิใจขึ้นมา เวลาที่เราได้ออกงานไปยืนรับเสด็จ หรือไปรำหน้าพระที่นั่งฯ เรารู้สึกว่าเราภูมิใจ เราเลยรักในนาฏศิลป์ แล้วเราก็อยากจะเผยแพร่ให้คนเห็นถึงความสำคัญของนาฏศิลป์มากขึ้น”
สิ่งที่ช่วยให้ชีวิตรอบรั้ววิทยาลัยนาฏศิลป์ของเธอดำเนินไปด้วยดีก็คือการเรียนซัมเมอร์ในช่วงปิดเทอมก่อนเข้าเรียนที่ช่วยให้เธอได้ปรับตัว ได้รู้จักกับเพื่อนก่อนเข้าเรียน เธอจึงแทบไม่ต้องปรับตัว การซ้อมในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไปทำให้เธอยิ่งตกหลุมรักกับศิลปะแขนงนี้มากยิ่งขึ้น
ในทางนาฏศิลป์เธอถนัดรับบท “ตัวพระ” มากกว่า “ตัวนาง” ด้วยเพราะตัวนางนั้นมีท่ารำที่ต้องอ่อนถ้อยสำรวมให้คล้ายผู้หญิง คนรูปร่างสูงแขนยาวขายาวอย่างเธอจึงเหมาะกับตัวพระที่มีลักษณะเน้นท่วงท่าที่ดูเท่และสง่างาม ทั้งนี้ เธอเผยว่า การรำนั้นไม่ใช่แค่การออกไปยืนบนเวที รำทำท่าตามที่จดจำ หากแต่ยังมีศาสตร์และศิลป์ในชั้นเชิงการตีความที่น่าหลงใหลแอบซ่อนอยู่
“จริงๆ มันไม่ใช่แค่รำอย่างเดียว มีทั้งโขน บัลเล่ย์ ดนตรีสากล ดนตรีไทย ขับร้องสากล ขับร้องไทย ของหนูเลือกสายละครก็คือสายรำ
“เสน่ห์ของมันอยู่ที่ความเข้าใจในตัวบท ถ้าเราเข้าใจเนื้อหาของบท การร้องที่เกี่ยวกับชมนกชมไม้ เราก็ต้องตีความแล้วร่ายรำท่าให้ออกมาตามการตีความ ไม่ใช่เราจะรำไปเรื่อยเปื่อยตามท่าที่เราจำได้เท่านั้น”
ความยากของท่ารำรวมกับความอ่อนช้อยในการแสดง ประสานกับความเข้าใจในตัวบทถ่ายทอดออกมาสู่การแสดง เธอมองว่า สิ่งเหล่านี้ท้ายที่สุดแล้วก็ช่วยในเรื่อฃการแสดงของเธอด้วย