จั่วหัวมาแบบนี้ หลายคนคงคิดว่าโรแมนติกแน่ๆ
โรแมนติกค่ะ แต่เป็นความโรแมนติกระหว่างแม่ลูก
เพราะเป็นความรักของเราที่มีต่อแม่...แล้วก็ความรักของแม่ที่มีให้เรา
ก่อนหน้านี้เราทำงานในกรุงเทพฯ มานานพอสมควรประมาณ 18-19 ปี ทำงานเกี่ยวกับวงการบันเทิง เป็นคนเบื้องหลัง ลักษณะงานคือชี้นิ้วสั่งๆ ๆ ทำงาน ไม่ได้อย่างใจเราจะวีนและ "ด่า" เพื่อให้งานเป็นไปตามเป้าหมาย เราวนเวียนกับงานด้านสื่อมาตลอด เราทำงานหนักแทบไม่กลับบ้านที่ต่างจังหวัด เพราะสาเหตุหลักๆ เหมือนกับคนทั่วๆ ไป
หาเงินเลี้ยงครอบครัวและตัวเองให้ได้ พิสูจน์ตัวว่ามีความสามารถ รับผิดชอบได้ วางแผนอนาคตชีวิตของตัวเอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่เราซ่อนไว้อย่างแนบเนียน...เราคิดถึงพ่อที่เสียไป เราไม่อยากกลับบ้านแล้วไม่เจอพ่อ เราไม่สนิทกับแม่มาตั้งแต่เล็ก คนที่เลี้ยงและดูแลเรามาตลอดความทรงจำคือ "พ่อ"
วันที่พ่อเสียเป็นวันที่เราไม่ร้องไห้เลย เก็บทุกความรู้สึกไว้ในจุดที่พี่น้องรู้แต่ไม่กล้าถาม ห่วงใยแต่ไม่กล้าแตะต้อง
หลังจากที่ครบ 100 วัน สิ่งที่เราทำคือ...เราฆ่าตัวตายตามพ่อ เพราะรู้สึกชีวิตไร้ค่า ไม่มีความหมาย กลับบ้านไปก็ไม่เจอใครแล้ว ไม่มีใครที่เราจะคุยด้วย ไม่มีใครที่เราจะเดินเข้าไปกอดอีก
เราว่ายน้ำไม่เป็น...เราเดินลงทะเลไปเลย ตอนนั้นไปเที่ยวเกาะช้างคนเดียว...สมัยนั้นท่าเทียบเรือยังเป็นไม้ ผสมไม้ไผ่อยู่เลย เฟอร์รี่ก็มีแล้วนะ...แต่เราไปเรือหางยาว
การฆ่าตัวตายสำหรับคนที่หมดหวัง...หลายคนบอกว่าโง่ ไร้สาระ เอาเถอะค่ะตามแต่จะกล่าว ^_^ รับได้เพราะผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่สำหรับคนที่มันไร้ความหวัง มองไม่เห็นแม้กระทั้งวันพรุ่งนี้ การมีลมหายใจอยู่มันคือเรื่องใหญ่และเรื่องยุ่งยาก สำหรับเราในตอนนั้นมันง่ายมาก ยังจำความรู้สึกของการกลืนน้ำทะเลได้ กลืนไปเรื่อยๆ ไม่ได้กลัวความตายเพราะการมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีพ่อมันโหดร้ายมากกว่านั้น สิ่งที่เรารอดมาได้แล้วมาเล่าให้ฟังตรงนี้คือ ประโยคที่พ่อพูดกับเราก่อนตาย...
ยังจำได้ก่อนพ่อเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย เราเอาเงินเดือนไปให้พ่อ พ่อให้เราเก็บเอาไว้ เราบอกพ่อว่าจะซื้อมอเตอร์ไซด์ชอปเปอร์ให้พ่อ เราจะไปเที่ยวด้วยกันทุกที่ที่พ่ออยากไป
พ่อบอกว่า "พ่อแก่แล้ว หนูเก็บเงินไว้ใช้ พ่อไปไหนไม่ไหวแล้ว อนาคตของพ่อก็คืออนาคตของหนู ถ้าหนูสดใสพ่อก็สดใสด้วย"
ประโยคนี้แหละที่ทำให้เราทะลึ่งพรวดขึ้นมา ส่วนหนึ่งมันคือจิตใต้สำนึกที่อยากจะรอดด้วยมั้งคะ ก็พยายามเอาหน้าลอยไว้เหนือผิวน้ำ คลื่นมันซัดเข้าฝั่งเอง ไปโผล่ตรงไหนไม่รู้...รู้แต่ว่าอ้วกกระจัดกระจายมาก นอนหนาวอยู่ริมหาดนานจนจำไม่ได้ว่ากี่โมงกี่ยาม จนมีคนมาเจอแล้วก็พามาส่งที่ PSS บังกะโล ซึ่งเป็นที่พักของเรา
พอกลับมาจากเกาะช้างเราก็ใช้ชีวิตปกติ แต่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร...ทำงานหนักเพื่อให้ลืมความทุกข์ เปลี่ยนงานบ่อย แล้วก็มีอาการซึมเศร้าจนเพื่อนที่สนิทกันพาไปหาหมอ มันไม่ตอบโจทย์ชีวิตค่ะ เพราะเราไม่ฟังสิ่งที่หมอพูด...ไม่ศรัทธาในสิ่งที่หมอเอ่ยปากมา เพราะฉะนั้นไม่เชื่อและไม่ปฏิบัติตามที่หมอแนะนำ สิ่งที่ทำคือเราทำงานหนักกว่าเดิม เพื่อเลี่ยงที่จะกลับบ้าน ครอบครัวเลี้ยงเรามาแบบรุ่นเดิมๆ เสาร์-อาทิตย์คือวันของครอบครัว ต้องอยู่บ้าน
เราเป็นคนแรกของที่บ้านเลยก็ว่าได้ เราไม่กลับบ้านจาก 1 สัปดาห์เป็น 2 สัปดาห์ มันลามปามเรื่อยๆ จนเป็นเดือนแล้วก็เป็นปี เราทำงานหนักเพื่อพาตัวเองไปถึงจุดที่เราคิดว่ามันคือ "ประสบความสำเร็จในอาชีพ"
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกทุกข์ใช่ไหมคะ...แต่เชื่อไหมว่าเราไม่รู้เลยว่านี่คือความทุกข์ทรมานสาหัส แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้จะวนอยู่กับที่เดิมๆ เราเจอธรรมะที่เข้ามากอบกู้ชีวิต เริ่มมองเห็นความทุกข์ของคนอื่นๆ เราเริ่มปฏิบัติธรรม...ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้เราเห็นธรรม
ทุกอย่างมันเหมือนจะดีขึ้น ชีวิตก็ลุ่มๆ ดอนๆ ค่ะ ความทุกข์ในชีวิตเบาบางลงแต่เราก็ยังทุกข์เรื่องงานไม่หยุดหย่อน เราปล่อยให้แม่อยู่บ้านกับน้อง ให้แม่อยู่กับญาติผู้ใหญ่ทางฝั่งพ่อ เราเห็นแก่ตัวมาก...ที่ทิ้งแม่ไว้อย่างนี้ แล้วก็คิดเอาว่า แม่คงอยู่ของแม่ได้ แล้วก็กลับมาดูแลแม่บ้าง...แต่ไม่เคยมีความคิดจะกลับไปอยู่ต่างจังหวัดเลย
สิ่งที่ทำให้เราเปลี่ยนความคิดคือ ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายพ่อที่เรารักมากเสียชีวิต แม่เป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่เหลืออยู่ในบ้าน ปลายปีน้ำท่วมใหญ่ บ้านเราพายเรือเทียบชั้นสองได้เลย มันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเพราะเคยน้ำท่วมใหญ่ปี 39 มารอบหนึ่งแล้ว
ในระหว่างพี่น้องก็คุยกันตลอด อยากรับแม่ไปอยู่กับพี่คนนั้น พี่คนนี้ กับเรา แม่ยืนยันที่จะอยู่บ้าน...เขาผูกพันกับที่นี่
พอต้องดีดบ้านซ่อมบ้าน ก็ต้องย้ายขึ้นไปอยู่ชั้นบนเพราะต้องทุบบ้านด้านล่าง เราก็ยังคงบ้างานของเรา...เผอิญเราเปลี่ยนงานบางอย่างด้วย เรากำลังวางแผนชีวิตใหม่ แล้วทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น...ก็กลับมาดูแม่ได้บ่อยขึ้น แต่เราก็ยังไม่สนิทกับแม่เหมือนเดิม ไม่มีเรื่องคุยกันนอกจากเรื่องหวย ซึ่งเราไม่เล่นแต่เเม่เล่น นอนเตียงเดียวกัน แต่แม่จะมีหมอนข้างกั้นกลางไว้
จนพี่สาวเราบอกว่า...กลับบ้านเหอะ กลับไปดูแลแม่ พี่ๆ น้องๆ แต่งงานกันหมดเหลือเราคนเดียวที่ไม่คิดมีชีวิตคู่ งานที่วางแผนไว้ก็ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย เราตัดสินใจกลับบ้านมาอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัด แรกๆ ก็คิดว่า คงอยู่สักระยะพองานไปได้สวยก็จะกลับมากทม.เหมือนเดิม
ช่วงแรกของการกลับมาอยู่ เรากับแม่ทะเลาะกันแทบทุกวัน ตั้งแต่เปิดปิดห้อง เสื้อผ้า อาหาร เวลานอน เราแทบทนไม่ได้ ความเคยชินที่เคยสั่งงานคนอื่นแล้วทุกคนต้องทำตาม...ทำให้เราเผลอสั่งแม่ โกรธที่แม่ไม่ได้อย่างใจ โกรธที่แม่ไม่เคยพยายามเข้าใจเราเหมือนพ่อ เราทะเลาะกับแม่จนคิดว่า สักวันคงได้ย้ายออกก่อนงานสำเร็จ
สิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตคือ เราได้มิตรที่ดี สอนเรื่องกตัญญูรู้คุณครอบครัว ประโยคหนึ่งที่สอนมาแล้วจำติดหู "เพื่อนมีใหม่สักเท่าไรก็ได้ แฟนหาใหม่เท่าไรก็ได้ แต่พ่อแม่...หมดจากนี้ก็ไปหาที่ไหนไม่ได้แล้ว"
เป็นคำที่ตีแสกหน้าเรามากๆ เพราะแม่เราป่วยเป็นโรคประจำตัวหลายโรค และดื้อกับการรักษา เราปรับตัวเองไม่คิดปรับแม่อีก คิดแค่ว่าถ้าทำงานให้สำเร็จได้ แม่ก็เป็นโปรเจคหนึ่งที่เราต้องทำให้ดีให้สำเร็จ เราตั้งเป้าหมายกับแม่ สัญญากับตัวเอง...แม่ต้องมีสุขภาพที่ดีขึ้น แม่ต้องยิ้มได้มากขึ้น แม่ต้องไม่วนอยู่กับโลกส่วนตัวของตัวเอง เราต้องฟังเรื่องราวของแม่มากกว่าเดิม อดทนกับการเล่นหวย...(ซึ่งเราเกลียดการเล่นหวยมาก) และอีกหลายๆ เรื่อง เราให้คะแนนสิ่งที่เราทำ บางสัปดาห์ก็สอบตก บางสัปดาห์ก็ดีเกือบเต็ม ก็เฉลี่ยๆ กันไป
ทุกคืนเราจะเข้าไปนอนกอดแม่ เขินนะ แต่พอกอดบ่อยๆ ก็อุ่นดีแหะ ตัวนิ่มเชียว อ้วน กลม แม่จากเดิมที่ไม่เคยมีเรื่องอะไรมาเล่าก็เริ่มเล่าเรื่องในอดีต เล่าให้ฟังว่าทำไมไม่ค่อยเลี้ยงลูกๆ บางเรื่องเราฟังแล้วน้ำตาไหล หลายเรื่องเราถามตัวเองว่าถ้าเราเป็นแม่...เราจะทนได้อย่างเขาไหม
แม่แต่งกับพ่อตั้งแต่อายุ 17 ชีวิตทั้งหมดของแม่ทุ่มเทให้กับน้องๆ เพราะแม่เป็นลูกสาวคนโต ต้องเลี้ยงน้องๆ มาแต่เล็กๆ พอเป็นสาวแต่งงานก็อยู่กับพ่อมาตลอด สมัยที่แม่ต้องทำงานเลี้ยงน้องๆ ยังไม่เจอกับพ่อ เคยรับจ้างเลี้ยงเด็กที่บ้านนายจ้าง แล้วเด็กคนนั้นร้องเยอะมาก อาอึ๋มเอาถุงแดงใส่เหรียญดึงมาจากเอวฟาดหัวแม่จนแตกยับ แม่เลิกเป็นลูกจ้างแล้วก็มาเกี่ยวข้าวทำนา หาบน้ำขาย ตอนนั้นแม่เพิ่งจะอายุ 12-13 เอง
แม่บอกกับพ่อตลอดว่าไม่ชอบเด็ก พ่อบอกว่าพ่อจะเลี้ยงเอง...แล้วให้แม่ไปค้าขาย เราไม่สนิทกับแม่...เพราะแม่ต้องทำงานหนักเพื่อเตรียมของไปขาย ลูกทั้งหมดเลี้ยงในครอบครัวขยาย ญาติพี่น้องช่วยกันดูแล พ่อเป็นคนไปส่งเราไปโรงเรียน ซึ่งต้องไปแต่เช้าแล้วแม่ยังไม่ตื่น เรากลับมาจากโรงเรียน แม่ยังไม่กลับจากตลาด แม่จะกลับจากขายของประมาณ 6 ทุ่ม ตี 1 เราไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย ถ้าไม่ใช่ช่วงวันหยุด...แล้วถ้าวันหยุด เราต้องทำงานบ้าน ช่วยงานทุกอย่าง ไม่เคยรู้จักคำว่าเรียนพิเศษ
เคยมีครั้งหนึ่งที่เป็นความทรงจำของเรากับแม่ เราจะมีตุ๊กตาพลาสติกตัวเล็กๆ แขนหลุด เราก็เอาไปให้แม่ต่อให้ พอหลุดอีกข้างก็วิ่งเอาไปให้แม่ต่อให้อีก แม่กำลังเหนื่อยอยู่หน้าเตาร้อนๆ พอเจอลูกกวนเข้าไปอย่างนี้บ่อยๆ แม่ทนไม่ไหว เอาตุ๊กตามาเด็ดหัว ดึงแขนขา โยนไปคนละทิศละทาง เราก็วิ่งไปเก็บมาแล้วก็รอพ่อว่าเมื่อไรจะกลับบ้านมาต่อให้
เราเคยน้อยใจแม่ เคยโกรธแม่ เคยเสียใจกับสิ่งที่แม่ทำ
แต่วันนี้เรากราบเท้าแม่ทุกครั้งที่มีโอกาส เรารู้สึกเห็นแก่ตัวที่สุด เรามีพ่อเป็นต้นแบบในชีวิต 20 ปี เราฟูมฟายที่พ่อตาย แต่แม่อยู่กับพ่อมาเกือบ 40 ปี แม่เสียเสาหลักในชีวิต แม่เสียผู้ใหญ่ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชีวิต ก๋งกับยายเราเสียไปแล้ว แม่มีแต่ลูกที่ไม่สนิทด้วยเลยสักคน มีน้องสาว (อี้) ที่รักกันบ้างทะเลาะกันบ้าง
เราไม่เคยรู้เลยว่าแม่กินอะไร ไม่ชอบกินอะไร แพ้อาหารอะไร คิดแต่จะให้กินอาหารดีมีประโยชน์แต่ไม่ถูกปากแม่ แต่แม่จะซื้อผักมาให้เราตลอด รู้ว่าเราชอบกินเห็ด ชอบกินขิงดอง ชอบกินเต้าหู้ แต่เราสิ...ไม่รู้เลยว่าแม่ชอบอะไร ถ้าแม่ไม่บอก แม่จะบอกแต่ว่า...อะไรก็ได้ ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องทำให้กินหรอก
ทุกวันนี้เราทำกับข้าวให้แม่กิน เราหลับหูหลับตายอมทำกับข้าวถูกปาก แม้ว่าบางทีมันไม่ค่อยถูกสุขภาพ แต่ไม่ได้กินทุกวันสักหน่อย เดี๋ยวค่อยเจรจากับหมอที่รักษาแม่แล้วกัน เราอยากเห็นแม่มีความสุขกับการกิน
ได้นวดให้ ได้คุยเรื่องละครที่แม่ดู อยากรู้ว่าแม่รู้สึกยังไง หิว หนาว ร้อน ไม่สบาย เป็นลมหรือเปล่า ยุงกัดไหม ทาเล็บใหม่ให้ หาครีมกันแดด ไนท์ครีมมาให้ มันอาจจะเป็นความรู้สึกปกติสำหรับแม่ลูกหลายคน แต่สำหรับเราที่ไม่เคยมีกิจกรรมหรือความรู้สึกนี้กับแม่มาก่อน พอได้ทำ ได้ดูแล...มันคือสวรรค์ดีๆ นี่เอง มันคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต คือช่วงเวลาพิเศษที่ชีวิตนี้เราหาจากเพื่อนคนไหนไม่ได้ หาจากงานไม่ได้ แต่เราหาจากแม่ได้
แม่ไม่ใช่คนพูดเก่ง เวลาแม่พูดหรือสอนอะไรก็จะติดๆ ขัดๆ เพราะต้องนึกคำพูดที่จะใช้นานมาก แม่เราอ่านหนังสือไม่ออก สวดมนต์ไม่เป็น แต่เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ มีความสุข เข้าใจชีวิตที่ดำเนินไป เบื้องหลังความสำเร็จของลูกๆ ของพ่อ แม่ไม่เคยปริปากทวงถามว่าลูกมาถึงจุดนี้ได้เพราะใคร บอกแต่เพียงว่า โชคดีที่พ่อเลี้ยงหนูกับมือ
เราต่างหากที่โชคดีที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อกับแม่ ล่าสุดมีคนถามเราว่า...จะกลับมาทำงานที่กทม.ไหม กลับเมื่อไร ตอนนี้มีจ๊อบที่ต้องเข้าไปรับบรี๊ฟ มาได้ไหม...เราตอบแบบไม่คิดเลย "ถ้าฟรีแลนซ์อ่ะทำ แต่ถ้าต้องมาอยู่กทม.ขอคิดยาวววววววววววว"
เราไม่เคยคิดว่าจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง อยากเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจส่วนตัว...เราไม่อยากให้ใครมาแตะหรือใครมาทำให้แม่ต้องแปดเปื้อน เราทนไม่ได้ที่จะเห็นใครมาคอมเม้นท์หรือติติงเรื่องเกี่ยวกับแม่
แต่ว่าเราได้ ซัดได้เต็มที่ (ระวังเราซัดกลับด้วยแล้วกัน ^_^) แต่ที่เล่าให้ฟัง...เพราะเราเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนสนิทคนหนึ่งฟัง เขาอยากให้เรามาเล่าในนี้ (ซึ่งเรามีโปรเจคเกี่ยวกับสิ่งนี้อยู่แล้ว)
เพื่อนเราบอกว่า เผื่อใครจะ "ลืม" เหมือนกับที่เราลืมไง เล่าให้ฟังตอนนี้เผื่อเขามีเวลากลับไปดูสิ่งที่ลืม จะได้รู้สึกโรแมนติกและมีความสุขเหมือนกับที่เราเป็นอยู่ตอนนี้
ก็เลยลองดู เผื่อจะมีใครเข้ามาอ่านจะได้ไม่ "ลืม" สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต...นี่คือความรู้สึกโรแมนติกที่สุดในชีวิตของเรา เหมือนกับตกหลุมรักใครสักคนจนไม่อยากอยู่ห่าง เพียงแต่คนๆ นี้ไม่ใช่นายจ้าง ไม่ใช่แฟน ไม่ใช่ลูกค้า ไม่ใช่งาน ไม่ใช่เพื่อน แต่นี่คือแม่ของเรา คำว่า "รัก" ไม่เคยทำให้เราซาบซ่าเป็นโซดาได้เลย แต่คำว่า "รักแม่" ทำให้เราน้ำตาซึมทุกครั้งที่บอกกับแม่ เล่าให้ฟัง...เผื่อใครจะลืมช่วงเวลาสำคัญที่หาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต...คือช่วงเวลาไหน
โรแมนติกค่ะ แต่เป็นความโรแมนติกระหว่างแม่ลูก
เพราะเป็นความรักของเราที่มีต่อแม่...แล้วก็ความรักของแม่ที่มีให้เรา
ก่อนหน้านี้เราทำงานในกรุงเทพฯ มานานพอสมควรประมาณ 18-19 ปี ทำงานเกี่ยวกับวงการบันเทิง เป็นคนเบื้องหลัง ลักษณะงานคือชี้นิ้วสั่งๆ ๆ ทำงาน ไม่ได้อย่างใจเราจะวีนและ "ด่า" เพื่อให้งานเป็นไปตามเป้าหมาย เราวนเวียนกับงานด้านสื่อมาตลอด เราทำงานหนักแทบไม่กลับบ้านที่ต่างจังหวัด เพราะสาเหตุหลักๆ เหมือนกับคนทั่วๆ ไป
หาเงินเลี้ยงครอบครัวและตัวเองให้ได้ พิสูจน์ตัวว่ามีความสามารถ รับผิดชอบได้ วางแผนอนาคตชีวิตของตัวเอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่เราซ่อนไว้อย่างแนบเนียน...เราคิดถึงพ่อที่เสียไป เราไม่อยากกลับบ้านแล้วไม่เจอพ่อ เราไม่สนิทกับแม่มาตั้งแต่เล็ก คนที่เลี้ยงและดูแลเรามาตลอดความทรงจำคือ "พ่อ"
วันที่พ่อเสียเป็นวันที่เราไม่ร้องไห้เลย เก็บทุกความรู้สึกไว้ในจุดที่พี่น้องรู้แต่ไม่กล้าถาม ห่วงใยแต่ไม่กล้าแตะต้อง
หลังจากที่ครบ 100 วัน สิ่งที่เราทำคือ...เราฆ่าตัวตายตามพ่อ เพราะรู้สึกชีวิตไร้ค่า ไม่มีความหมาย กลับบ้านไปก็ไม่เจอใครแล้ว ไม่มีใครที่เราจะคุยด้วย ไม่มีใครที่เราจะเดินเข้าไปกอดอีก
เราว่ายน้ำไม่เป็น...เราเดินลงทะเลไปเลย ตอนนั้นไปเที่ยวเกาะช้างคนเดียว...สมัยนั้นท่าเทียบเรือยังเป็นไม้ ผสมไม้ไผ่อยู่เลย เฟอร์รี่ก็มีแล้วนะ...แต่เราไปเรือหางยาว
การฆ่าตัวตายสำหรับคนที่หมดหวัง...หลายคนบอกว่าโง่ ไร้สาระ เอาเถอะค่ะตามแต่จะกล่าว ^_^ รับได้เพราะผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่สำหรับคนที่มันไร้ความหวัง มองไม่เห็นแม้กระทั้งวันพรุ่งนี้ การมีลมหายใจอยู่มันคือเรื่องใหญ่และเรื่องยุ่งยาก สำหรับเราในตอนนั้นมันง่ายมาก ยังจำความรู้สึกของการกลืนน้ำทะเลได้ กลืนไปเรื่อยๆ ไม่ได้กลัวความตายเพราะการมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีพ่อมันโหดร้ายมากกว่านั้น สิ่งที่เรารอดมาได้แล้วมาเล่าให้ฟังตรงนี้คือ ประโยคที่พ่อพูดกับเราก่อนตาย...
ยังจำได้ก่อนพ่อเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้าย เราเอาเงินเดือนไปให้พ่อ พ่อให้เราเก็บเอาไว้ เราบอกพ่อว่าจะซื้อมอเตอร์ไซด์ชอปเปอร์ให้พ่อ เราจะไปเที่ยวด้วยกันทุกที่ที่พ่ออยากไป
พ่อบอกว่า "พ่อแก่แล้ว หนูเก็บเงินไว้ใช้ พ่อไปไหนไม่ไหวแล้ว อนาคตของพ่อก็คืออนาคตของหนู ถ้าหนูสดใสพ่อก็สดใสด้วย"
ประโยคนี้แหละที่ทำให้เราทะลึ่งพรวดขึ้นมา ส่วนหนึ่งมันคือจิตใต้สำนึกที่อยากจะรอดด้วยมั้งคะ ก็พยายามเอาหน้าลอยไว้เหนือผิวน้ำ คลื่นมันซัดเข้าฝั่งเอง ไปโผล่ตรงไหนไม่รู้...รู้แต่ว่าอ้วกกระจัดกระจายมาก นอนหนาวอยู่ริมหาดนานจนจำไม่ได้ว่ากี่โมงกี่ยาม จนมีคนมาเจอแล้วก็พามาส่งที่ PSS บังกะโล ซึ่งเป็นที่พักของเรา
พอกลับมาจากเกาะช้างเราก็ใช้ชีวิตปกติ แต่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร...ทำงานหนักเพื่อให้ลืมความทุกข์ เปลี่ยนงานบ่อย แล้วก็มีอาการซึมเศร้าจนเพื่อนที่สนิทกันพาไปหาหมอ มันไม่ตอบโจทย์ชีวิตค่ะ เพราะเราไม่ฟังสิ่งที่หมอพูด...ไม่ศรัทธาในสิ่งที่หมอเอ่ยปากมา เพราะฉะนั้นไม่เชื่อและไม่ปฏิบัติตามที่หมอแนะนำ สิ่งที่ทำคือเราทำงานหนักกว่าเดิม เพื่อเลี่ยงที่จะกลับบ้าน ครอบครัวเลี้ยงเรามาแบบรุ่นเดิมๆ เสาร์-อาทิตย์คือวันของครอบครัว ต้องอยู่บ้าน
เราเป็นคนแรกของที่บ้านเลยก็ว่าได้ เราไม่กลับบ้านจาก 1 สัปดาห์เป็น 2 สัปดาห์ มันลามปามเรื่อยๆ จนเป็นเดือนแล้วก็เป็นปี เราทำงานหนักเพื่อพาตัวเองไปถึงจุดที่เราคิดว่ามันคือ "ประสบความสำเร็จในอาชีพ"
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกทุกข์ใช่ไหมคะ...แต่เชื่อไหมว่าเราไม่รู้เลยว่านี่คือความทุกข์ทรมานสาหัส แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครบนโลกใบนี้จะวนอยู่กับที่เดิมๆ เราเจอธรรมะที่เข้ามากอบกู้ชีวิต เริ่มมองเห็นความทุกข์ของคนอื่นๆ เราเริ่มปฏิบัติธรรม...ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้เราเห็นธรรม
ทุกอย่างมันเหมือนจะดีขึ้น ชีวิตก็ลุ่มๆ ดอนๆ ค่ะ ความทุกข์ในชีวิตเบาบางลงแต่เราก็ยังทุกข์เรื่องงานไม่หยุดหย่อน เราปล่อยให้แม่อยู่บ้านกับน้อง ให้แม่อยู่กับญาติผู้ใหญ่ทางฝั่งพ่อ เราเห็นแก่ตัวมาก...ที่ทิ้งแม่ไว้อย่างนี้ แล้วก็คิดเอาว่า แม่คงอยู่ของแม่ได้ แล้วก็กลับมาดูแลแม่บ้าง...แต่ไม่เคยมีความคิดจะกลับไปอยู่ต่างจังหวัดเลย
สิ่งที่ทำให้เราเปลี่ยนความคิดคือ ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายพ่อที่เรารักมากเสียชีวิต แม่เป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่เหลืออยู่ในบ้าน ปลายปีน้ำท่วมใหญ่ บ้านเราพายเรือเทียบชั้นสองได้เลย มันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเพราะเคยน้ำท่วมใหญ่ปี 39 มารอบหนึ่งแล้ว
ในระหว่างพี่น้องก็คุยกันตลอด อยากรับแม่ไปอยู่กับพี่คนนั้น พี่คนนี้ กับเรา แม่ยืนยันที่จะอยู่บ้าน...เขาผูกพันกับที่นี่
พอต้องดีดบ้านซ่อมบ้าน ก็ต้องย้ายขึ้นไปอยู่ชั้นบนเพราะต้องทุบบ้านด้านล่าง เราก็ยังคงบ้างานของเรา...เผอิญเราเปลี่ยนงานบางอย่างด้วย เรากำลังวางแผนชีวิตใหม่ แล้วทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น...ก็กลับมาดูแม่ได้บ่อยขึ้น แต่เราก็ยังไม่สนิทกับแม่เหมือนเดิม ไม่มีเรื่องคุยกันนอกจากเรื่องหวย ซึ่งเราไม่เล่นแต่เเม่เล่น นอนเตียงเดียวกัน แต่แม่จะมีหมอนข้างกั้นกลางไว้
จนพี่สาวเราบอกว่า...กลับบ้านเหอะ กลับไปดูแลแม่ พี่ๆ น้องๆ แต่งงานกันหมดเหลือเราคนเดียวที่ไม่คิดมีชีวิตคู่ งานที่วางแผนไว้ก็ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย เราตัดสินใจกลับบ้านมาอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัด แรกๆ ก็คิดว่า คงอยู่สักระยะพองานไปได้สวยก็จะกลับมากทม.เหมือนเดิม
ช่วงแรกของการกลับมาอยู่ เรากับแม่ทะเลาะกันแทบทุกวัน ตั้งแต่เปิดปิดห้อง เสื้อผ้า อาหาร เวลานอน เราแทบทนไม่ได้ ความเคยชินที่เคยสั่งงานคนอื่นแล้วทุกคนต้องทำตาม...ทำให้เราเผลอสั่งแม่ โกรธที่แม่ไม่ได้อย่างใจ โกรธที่แม่ไม่เคยพยายามเข้าใจเราเหมือนพ่อ เราทะเลาะกับแม่จนคิดว่า สักวันคงได้ย้ายออกก่อนงานสำเร็จ
สิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตคือ เราได้มิตรที่ดี สอนเรื่องกตัญญูรู้คุณครอบครัว ประโยคหนึ่งที่สอนมาแล้วจำติดหู "เพื่อนมีใหม่สักเท่าไรก็ได้ แฟนหาใหม่เท่าไรก็ได้ แต่พ่อแม่...หมดจากนี้ก็ไปหาที่ไหนไม่ได้แล้ว"
เป็นคำที่ตีแสกหน้าเรามากๆ เพราะแม่เราป่วยเป็นโรคประจำตัวหลายโรค และดื้อกับการรักษา เราปรับตัวเองไม่คิดปรับแม่อีก คิดแค่ว่าถ้าทำงานให้สำเร็จได้ แม่ก็เป็นโปรเจคหนึ่งที่เราต้องทำให้ดีให้สำเร็จ เราตั้งเป้าหมายกับแม่ สัญญากับตัวเอง...แม่ต้องมีสุขภาพที่ดีขึ้น แม่ต้องยิ้มได้มากขึ้น แม่ต้องไม่วนอยู่กับโลกส่วนตัวของตัวเอง เราต้องฟังเรื่องราวของแม่มากกว่าเดิม อดทนกับการเล่นหวย...(ซึ่งเราเกลียดการเล่นหวยมาก) และอีกหลายๆ เรื่อง เราให้คะแนนสิ่งที่เราทำ บางสัปดาห์ก็สอบตก บางสัปดาห์ก็ดีเกือบเต็ม ก็เฉลี่ยๆ กันไป
ทุกคืนเราจะเข้าไปนอนกอดแม่ เขินนะ แต่พอกอดบ่อยๆ ก็อุ่นดีแหะ ตัวนิ่มเชียว อ้วน กลม แม่จากเดิมที่ไม่เคยมีเรื่องอะไรมาเล่าก็เริ่มเล่าเรื่องในอดีต เล่าให้ฟังว่าทำไมไม่ค่อยเลี้ยงลูกๆ บางเรื่องเราฟังแล้วน้ำตาไหล หลายเรื่องเราถามตัวเองว่าถ้าเราเป็นแม่...เราจะทนได้อย่างเขาไหม
แม่แต่งกับพ่อตั้งแต่อายุ 17 ชีวิตทั้งหมดของแม่ทุ่มเทให้กับน้องๆ เพราะแม่เป็นลูกสาวคนโต ต้องเลี้ยงน้องๆ มาแต่เล็กๆ พอเป็นสาวแต่งงานก็อยู่กับพ่อมาตลอด สมัยที่แม่ต้องทำงานเลี้ยงน้องๆ ยังไม่เจอกับพ่อ เคยรับจ้างเลี้ยงเด็กที่บ้านนายจ้าง แล้วเด็กคนนั้นร้องเยอะมาก อาอึ๋มเอาถุงแดงใส่เหรียญดึงมาจากเอวฟาดหัวแม่จนแตกยับ แม่เลิกเป็นลูกจ้างแล้วก็มาเกี่ยวข้าวทำนา หาบน้ำขาย ตอนนั้นแม่เพิ่งจะอายุ 12-13 เอง
แม่บอกกับพ่อตลอดว่าไม่ชอบเด็ก พ่อบอกว่าพ่อจะเลี้ยงเอง...แล้วให้แม่ไปค้าขาย เราไม่สนิทกับแม่...เพราะแม่ต้องทำงานหนักเพื่อเตรียมของไปขาย ลูกทั้งหมดเลี้ยงในครอบครัวขยาย ญาติพี่น้องช่วยกันดูแล พ่อเป็นคนไปส่งเราไปโรงเรียน ซึ่งต้องไปแต่เช้าแล้วแม่ยังไม่ตื่น เรากลับมาจากโรงเรียน แม่ยังไม่กลับจากตลาด แม่จะกลับจากขายของประมาณ 6 ทุ่ม ตี 1 เราไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย ถ้าไม่ใช่ช่วงวันหยุด...แล้วถ้าวันหยุด เราต้องทำงานบ้าน ช่วยงานทุกอย่าง ไม่เคยรู้จักคำว่าเรียนพิเศษ
เคยมีครั้งหนึ่งที่เป็นความทรงจำของเรากับแม่ เราจะมีตุ๊กตาพลาสติกตัวเล็กๆ แขนหลุด เราก็เอาไปให้แม่ต่อให้ พอหลุดอีกข้างก็วิ่งเอาไปให้แม่ต่อให้อีก แม่กำลังเหนื่อยอยู่หน้าเตาร้อนๆ พอเจอลูกกวนเข้าไปอย่างนี้บ่อยๆ แม่ทนไม่ไหว เอาตุ๊กตามาเด็ดหัว ดึงแขนขา โยนไปคนละทิศละทาง เราก็วิ่งไปเก็บมาแล้วก็รอพ่อว่าเมื่อไรจะกลับบ้านมาต่อให้
เราเคยน้อยใจแม่ เคยโกรธแม่ เคยเสียใจกับสิ่งที่แม่ทำ
แต่วันนี้เรากราบเท้าแม่ทุกครั้งที่มีโอกาส เรารู้สึกเห็นแก่ตัวที่สุด เรามีพ่อเป็นต้นแบบในชีวิต 20 ปี เราฟูมฟายที่พ่อตาย แต่แม่อยู่กับพ่อมาเกือบ 40 ปี แม่เสียเสาหลักในชีวิต แม่เสียผู้ใหญ่ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชีวิต ก๋งกับยายเราเสียไปแล้ว แม่มีแต่ลูกที่ไม่สนิทด้วยเลยสักคน มีน้องสาว (อี้) ที่รักกันบ้างทะเลาะกันบ้าง
เราไม่เคยรู้เลยว่าแม่กินอะไร ไม่ชอบกินอะไร แพ้อาหารอะไร คิดแต่จะให้กินอาหารดีมีประโยชน์แต่ไม่ถูกปากแม่ แต่แม่จะซื้อผักมาให้เราตลอด รู้ว่าเราชอบกินเห็ด ชอบกินขิงดอง ชอบกินเต้าหู้ แต่เราสิ...ไม่รู้เลยว่าแม่ชอบอะไร ถ้าแม่ไม่บอก แม่จะบอกแต่ว่า...อะไรก็ได้ ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องทำให้กินหรอก
ทุกวันนี้เราทำกับข้าวให้แม่กิน เราหลับหูหลับตายอมทำกับข้าวถูกปาก แม้ว่าบางทีมันไม่ค่อยถูกสุขภาพ แต่ไม่ได้กินทุกวันสักหน่อย เดี๋ยวค่อยเจรจากับหมอที่รักษาแม่แล้วกัน เราอยากเห็นแม่มีความสุขกับการกิน
ได้นวดให้ ได้คุยเรื่องละครที่แม่ดู อยากรู้ว่าแม่รู้สึกยังไง หิว หนาว ร้อน ไม่สบาย เป็นลมหรือเปล่า ยุงกัดไหม ทาเล็บใหม่ให้ หาครีมกันแดด ไนท์ครีมมาให้ มันอาจจะเป็นความรู้สึกปกติสำหรับแม่ลูกหลายคน แต่สำหรับเราที่ไม่เคยมีกิจกรรมหรือความรู้สึกนี้กับแม่มาก่อน พอได้ทำ ได้ดูแล...มันคือสวรรค์ดีๆ นี่เอง มันคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต คือช่วงเวลาพิเศษที่ชีวิตนี้เราหาจากเพื่อนคนไหนไม่ได้ หาจากงานไม่ได้ แต่เราหาจากแม่ได้
แม่ไม่ใช่คนพูดเก่ง เวลาแม่พูดหรือสอนอะไรก็จะติดๆ ขัดๆ เพราะต้องนึกคำพูดที่จะใช้นานมาก แม่เราอ่านหนังสือไม่ออก สวดมนต์ไม่เป็น แต่เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ มีความสุข เข้าใจชีวิตที่ดำเนินไป เบื้องหลังความสำเร็จของลูกๆ ของพ่อ แม่ไม่เคยปริปากทวงถามว่าลูกมาถึงจุดนี้ได้เพราะใคร บอกแต่เพียงว่า โชคดีที่พ่อเลี้ยงหนูกับมือ
เราต่างหากที่โชคดีที่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อกับแม่ ล่าสุดมีคนถามเราว่า...จะกลับมาทำงานที่กทม.ไหม กลับเมื่อไร ตอนนี้มีจ๊อบที่ต้องเข้าไปรับบรี๊ฟ มาได้ไหม...เราตอบแบบไม่คิดเลย "ถ้าฟรีแลนซ์อ่ะทำ แต่ถ้าต้องมาอยู่กทม.ขอคิดยาวววววววววววว"
เราไม่เคยคิดว่าจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ใครฟัง อยากเก็บไว้เป็นแรงบันดาลใจส่วนตัว...เราไม่อยากให้ใครมาแตะหรือใครมาทำให้แม่ต้องแปดเปื้อน เราทนไม่ได้ที่จะเห็นใครมาคอมเม้นท์หรือติติงเรื่องเกี่ยวกับแม่
แต่ว่าเราได้ ซัดได้เต็มที่ (ระวังเราซัดกลับด้วยแล้วกัน ^_^) แต่ที่เล่าให้ฟัง...เพราะเราเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนสนิทคนหนึ่งฟัง เขาอยากให้เรามาเล่าในนี้ (ซึ่งเรามีโปรเจคเกี่ยวกับสิ่งนี้อยู่แล้ว)
เพื่อนเราบอกว่า เผื่อใครจะ "ลืม" เหมือนกับที่เราลืมไง เล่าให้ฟังตอนนี้เผื่อเขามีเวลากลับไปดูสิ่งที่ลืม จะได้รู้สึกโรแมนติกและมีความสุขเหมือนกับที่เราเป็นอยู่ตอนนี้
ก็เลยลองดู เผื่อจะมีใครเข้ามาอ่านจะได้ไม่ "ลืม" สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต...นี่คือความรู้สึกโรแมนติกที่สุดในชีวิตของเรา เหมือนกับตกหลุมรักใครสักคนจนไม่อยากอยู่ห่าง เพียงแต่คนๆ นี้ไม่ใช่นายจ้าง ไม่ใช่แฟน ไม่ใช่ลูกค้า ไม่ใช่งาน ไม่ใช่เพื่อน แต่นี่คือแม่ของเรา คำว่า "รัก" ไม่เคยทำให้เราซาบซ่าเป็นโซดาได้เลย แต่คำว่า "รักแม่" ทำให้เราน้ำตาซึมทุกครั้งที่บอกกับแม่ เล่าให้ฟัง...เผื่อใครจะลืมช่วงเวลาสำคัญที่หาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตนี้