คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
เราเห็นด้วยนะคะกับการมาเรียนแค่ภาษา เพื่อปรับทักษะทางภาษาอีกเล็กๆน้อยๆของคุณ เช่น สำเนียง หรือ ระดับภาษาแบบวิชาการ
เราว่าคุณเรียนได้N2ในไทยมาได้ เราว่าคุณก็ต้องเก่งพอตัว
จะอ่านเองในไทยแล้ว สอบn1เราว่าคุณก็ทำได้ แต่ถ้าคุณอยากมา เราแนะนำว่าคุณควรจะหาปสกจากการมาอยู่ และเรียนรู้วัฒนธรรมของเค้าดีกว่า
น่าจะเป็นประโยชน์กับคุณถ้าต้องทำงานกับคนญี่ปุ่นต่อไปในอนาคต
เพราะเราว่าหลักสูครที่คุณต้องการเรียนมันไม่ใช่หลักสูตรที่ญี่ปุ่นโด่งดังมากนัก (เราเข้าใจว่าคุณหมายถึงmba)
ลองคิดดูว่าถ้าคุณเรียนที่นี่ ในแง่ของความรู้ที่คุณจะได้รับมันต่างจากไทยมั๊ย คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายหรือเปล่า
แล้วยิ่งคุณมีข้อจำกัดด้านอื่นๆเช่น เงิน อีก เราว่าคุณน่าจะเลือกกลับไปต่อป.โทที่ไทย ในหลักสูตรบริหารมากมายหลายหลากในไทย
แล้วเราได้ยินมาว่าหลายหลักสูตรในไทยก็เอื้อต่อคนไม่มีพื้นฐานตอนป.ตรีด้วย
ส่วนเรื่องทุนป.โท จริงๆแล้วมันมีconditionตามแต่ละทุนหลายแบบมาก และการเรียนป.โทในหลายหลักสูตรของญี่ปุ่นก็รับเด็กที่จบป.ตรีคนละสาย
ก็มี แต่ถ้าเด็กคนนั้นมีอย่างอื่นมาทดแทน เช่น ประสบการณ์การทำงาน
เราว่าแพลนที่เจ้าของกระทู้วางมามันชัดเจนแค่ครึ่งทางนะคะ ครึ่งทางหลังจากเรียนภาษาจบ เราว่าถ้าคุณอยากเรียนต่อจริงๆ เราว่ากำหนดไปเลยดีกว่าค่ะ ว่าอยากเรียนหลักสูตรอะไร มหาวิทยาลัยไหน มีเกณฑ์ในการรับอย่างไร ในมหาวิทยาลัยนั้น มีทุนช่วยเหลือนักเรียนต่างชาติมั๊ย
ท้ายสุด เราก็ไม่ค่อยสนับสนุน ให้เรียนปริญญาตรี หรือ เซนมงเหมือนกันค่ะ เพราะระดับของความรู้ที่ได้มันจะต่ำกว่า ป.โท
เราไม่อยากให้เจ้าของกระทู้คิดว่าการเรียนมันต้องเป็นตามลำดับขั้น ตรีโทเอก
หลายคณะเปิดสอนแต่โทเอก ไม่มีตรี
จริงๆแล้วความรู้ป.ตรี4ปี มันย่นย่อเรียนให้เหลือปีเดียวยังได้เลยค่ะ
เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าของกระทู้กลัวว่าจะไม่มีพื่นฐาน ก็ไปลงเรียนวิชาบางตัวของป.ตรีที่จำเป็นขณะเรียนโทก็ได้นิคะ
ท้ายสุด อยากให้เจ้าของกระทู้มองให้หลายๆด้าน แล้วตัดสินใจดูข้อดีข้อเสียให้ดีดีนะคะ
โชคดีค่ะ
เราว่าคุณเรียนได้N2ในไทยมาได้ เราว่าคุณก็ต้องเก่งพอตัว
จะอ่านเองในไทยแล้ว สอบn1เราว่าคุณก็ทำได้ แต่ถ้าคุณอยากมา เราแนะนำว่าคุณควรจะหาปสกจากการมาอยู่ และเรียนรู้วัฒนธรรมของเค้าดีกว่า
น่าจะเป็นประโยชน์กับคุณถ้าต้องทำงานกับคนญี่ปุ่นต่อไปในอนาคต
เพราะเราว่าหลักสูครที่คุณต้องการเรียนมันไม่ใช่หลักสูตรที่ญี่ปุ่นโด่งดังมากนัก (เราเข้าใจว่าคุณหมายถึงmba)
ลองคิดดูว่าถ้าคุณเรียนที่นี่ ในแง่ของความรู้ที่คุณจะได้รับมันต่างจากไทยมั๊ย คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายหรือเปล่า
แล้วยิ่งคุณมีข้อจำกัดด้านอื่นๆเช่น เงิน อีก เราว่าคุณน่าจะเลือกกลับไปต่อป.โทที่ไทย ในหลักสูตรบริหารมากมายหลายหลากในไทย
แล้วเราได้ยินมาว่าหลายหลักสูตรในไทยก็เอื้อต่อคนไม่มีพื้นฐานตอนป.ตรีด้วย
ส่วนเรื่องทุนป.โท จริงๆแล้วมันมีconditionตามแต่ละทุนหลายแบบมาก และการเรียนป.โทในหลายหลักสูตรของญี่ปุ่นก็รับเด็กที่จบป.ตรีคนละสาย
ก็มี แต่ถ้าเด็กคนนั้นมีอย่างอื่นมาทดแทน เช่น ประสบการณ์การทำงาน
เราว่าแพลนที่เจ้าของกระทู้วางมามันชัดเจนแค่ครึ่งทางนะคะ ครึ่งทางหลังจากเรียนภาษาจบ เราว่าถ้าคุณอยากเรียนต่อจริงๆ เราว่ากำหนดไปเลยดีกว่าค่ะ ว่าอยากเรียนหลักสูตรอะไร มหาวิทยาลัยไหน มีเกณฑ์ในการรับอย่างไร ในมหาวิทยาลัยนั้น มีทุนช่วยเหลือนักเรียนต่างชาติมั๊ย
ท้ายสุด เราก็ไม่ค่อยสนับสนุน ให้เรียนปริญญาตรี หรือ เซนมงเหมือนกันค่ะ เพราะระดับของความรู้ที่ได้มันจะต่ำกว่า ป.โท
เราไม่อยากให้เจ้าของกระทู้คิดว่าการเรียนมันต้องเป็นตามลำดับขั้น ตรีโทเอก
หลายคณะเปิดสอนแต่โทเอก ไม่มีตรี
จริงๆแล้วความรู้ป.ตรี4ปี มันย่นย่อเรียนให้เหลือปีเดียวยังได้เลยค่ะ
เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าของกระทู้กลัวว่าจะไม่มีพื่นฐาน ก็ไปลงเรียนวิชาบางตัวของป.ตรีที่จำเป็นขณะเรียนโทก็ได้นิคะ
ท้ายสุด อยากให้เจ้าของกระทู้มองให้หลายๆด้าน แล้วตัดสินใจดูข้อดีข้อเสียให้ดีดีนะคะ
โชคดีค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ปรึกษาเรื่องเรียนต่อญี่ปุ่นครับ
ผมตั้งเป้าหมายไว้ระหว่างที่เรียนในโรงเรียนสอนภาษาคือ เรียนจบปีแรกต้องสอบผ่าน N1 ให้ได้ อีก 1 ปีที่เหลือจะเตรียมความพร้อมหาลู่ทางในการเรียนต่อ (ผมจะสมัครลงคอร์ส ภาษาญี่ปุ่นเพื่อการเรียนต่อ) อย่างน้อยๆต้องได้วุฒิและความรู้อะไรกลับมาเพื่อใช้ประกอบอาชีพในไทย ผมจบศิลปศาสตร์ภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่คิดจะเรียนต่อด้านภาษาอีกแล้ว อยากเรียนต่อในสาขาวิชาอื่นที่ใช้ต่อยอดในการทำงานได้ และไม่อยากจะเป็นล่ามแปลภาษาไปตลอด
ที่เล็งๆไว้ก็คือพวกด้านการบริหาร หรือการจัดการอุตสาหกรรม
ซึ่งตอนนี้ผมก็หาข้อมูลจากเวบต่างๆอยู่ครับ พบว่ามันมีทางแยกอยู่ 3 ทางให้เลือก ผมจึงอยากปรึกษา เพื่อสอบถามความเห็นจากท่านอื่นๆหน่อยครับ ว่าทางไหนดี มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
1. จบภาษาแล้วเรียนต่อเซมมงกักโค (วิทยาลัยอาชีวศึกษา) หรือเรียนสายอาชีพเฉพาะทาง ระยะเวลา 2-3 ปี
- วิธีนี้เป็นวิธีที่น่าจะง่ายที่สุด ทั้งขั้นตอนการสมัคร การเรียมเอกสาร และการสอบไม่ยุ่งยาก มีสายการเรียนให้เลือกหลายหลายมาก ตามใจชอบเลย แต่ยังไม่ทราบว่า ถ้าเรียนเซมมงจะสามารถขอรับทุนช่วยเหลือ(ที่มีอยู่ค่อนข้างเยอะในญี่ปุ่น) ได้เหมือนอย่างเรียนในมหาลัยหรือไม่ ถ้าไม่ได้ทำไบท์ตูดบานแน่นอน
2. จบภาษาแล้วสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นให้ติด และเรียนปริญญาตรีใหม่อีกใบ ระยะเวลา 4 ปี
- ค่อนข้างจะเสียเวลาเยอะพอสมควรกับ 4 ปี ซึ่งโอกาสในการขอรับทุนช่วยเหลือก็อาจจะน้อย หรือไม่มีเลย เพราะอายุเกิน (เรียนในโรงเรียนสอนภาษา 2 ปี กว่าจะถึงตอนนั้นก็ 29 ถ้าเรียนป.ตรีใหม่กว่าจะจบก็ 32-33) แต่ข้อดีคือเริ่มเรียนใหม่ในสาขาวิชาที่เราอยากจะเรียน เพื่อได้ความรู้มาประกอบอาชีพได้แบบเต็มที่ แต่อาจยุ่งยากเรื่องเอกสาร ผมไม่แน่ใจว่ากรณีอย่างผมที่จบตรีมาแล้ว ถ้าจะสมัครป.ตรีอีกครั้ง จะต้องใช้วุฒิม.6 สมัคร หรือใช้วุฒิป.ตรียื่นก็ได้? (ตรงนี้ใครทราบ รบกวนบอกเป็นข้อมูลทีครับ)
3. ต่อป.โท ระยะเวลา 2-3 ปี
- เป็นวิธีที่ยากที่สุด และเท่ที่สุดด้วยถ้าทำได้ โอกาสขอรับทุนช่วยเหลือได้ค่อนข้างมาก (ได้ถึงอายุ 35) แต่ยุ่งยากมากทั้งขั้นตอนการเตรียมเอกสาร การสมัคร ต้องหามหาวิทยาลัยและโปรเฟรสเซอร์ด้วยตัวเอง วางแผนและเตรียมหัวข้อวิจัยต่างๆ บลาๆ ซึ่งต้องใช้ Recommendation Letter จากอ.มหาลัยเก่าด้วย สมัยเรียนผมก่อเรื่องไว้เยอะ ไม่ค่อยกล้าไปรบกวนอ.แกเท่าไหร่ ตรงนี้ผมไม่มั่นใจว่า คนจบตรีศิลปศาสตร์อย่างผม จะสามารถเรียนต่อโทแบบข้ามสายไปสายอื่นได้ไหม ถึงสอบเข้าไปเรียนได้ จะเรียนไหวไหม เพราะไม่มีพื้นฐานความรู้ (เรียนเป็นญี่ปุ่นด้วย ความยากก็เพิ่มขึ้น) อย่างที่ผมบอก ผมไม่คิดจะเรียนต่อด้านภาษาอีกถ้าข้ามสายไม่ได้ก็คงไม่ต่อโทครับ
อีกเรื่องที่กังวลคือ อายุ คือถ้ากลับไทยมาด้วยอายุ 30 up แล้ว จะหางานยากหรือไม่ครับ น้าผมบอกว่าหางานยาก สมัครงาไม่ค่อยมีใครรับ เพราะประสบการไม่พอ จะไม่มีอนาคต จริงเหรอครับ
อยากขอความเห็นจากท่านอื่นๆ ครับ