บทความ : "15 ปีแห่งความสำเร็จของ อ.คิชิโมโตะ มาซาชิ กับ นารูโตะ นินจาจอมคาถา"



จากปี 1999 สู่ปี 2014 ความสำเร็จตลอด 15 ปีของ อ.คิชิโมโตะ มาซาชิ ที่พยายามใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักวาดมังงะมาตั้งแต่ยังเด็ก
และผลงานของเขาก็ทำให้เป็นที่รู้จักและชื่นชอบกันมาถึง 15 ปี ไม่ว่าจะคนในรุ่นหลังที่ยังอ่านมังงะของเขามาตั้งแต่เด็กจนปัจจุบันนั่นเติบโตกันแล้วหรือแม้ว่าจะเป็นเด็กในรุ่นปัจจุบันที่ได้เริ่มอ่านนมังงะเรื่องนี้กัน อีกทั้งผลงานของเขาก็ได้ถูกพัฒนาไปเป็นหลายๆ อย่าง เช่น อนิเมชั่นที่ฉายตั้งแต่ปี 2002 ยาวมาตลอดเรื่อยจนถึงปัจจุบัน เกมส์คอนโซลรวมแล้วทั้งหมดประมาณ 20 กว่าเกมส์ก็ ได้ออกมาให้ได้เล่นกันมาอย่างช้านาน ฟิกเกอร์ต่างๆ ที่วางขายกัน และเหล่าเลเยอร์ที่พร้อมใจกันคอสเพลย์เป็นตัวละครต่างๆ ที่ตนชื่นชอบ

ผลงานที่ได้กล่าวมา นั่นคือ  "นารูโตะ นินจาจอมคาถา"

ประวัติเรื่องราว

คิชิโมโตะ มาซาชิ เกิดวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ.1974 เมืองโอคายาม่า ประเทศญี่ปุ่น โดยเกิดร่วมกันฝาแฝดอีกคนนึงคือ เซอิชิ คิชิโมะโตะ (ผู้ที่วาดมังงะเรื่อง 666 Satan) ในช่วงวัยเด็ก คิชิโมโตะได้อ่านมังงะ และสนใจในลายเส้นตัวละครจากเรื่อง ดร.สลัม กับหนูน้อยอาราเล่ และ โดราเอม่อนเป็นอย่างมาก
เมื่อถึงวัยเข้าเรียน เขาเริ่มสนใจในอนิเมเรื่อง คินนิคุแมน กับ ดราก้อนบอล และนั้นก็ทำให้เขารู้สึกหลงไหลในตัวของ อ.โทริยาม่า อากิระ ผู้วาดมังงะดราก้อนบอล ไม่เพียงแต่จะสนใจในตัวมังงะที่ อ.โทริยาม่าวาดเท่านั้น เขายังสนใจเกมส์  Dragon Quest ที่อาจารย์ท่านได้วาดดีไซน์ตัวละครประกอบไว้อีกด้วย .... เรียกได้ว่าช่วงนั้น อ.คิชิโมโตะหลงไหลในมังงะและอนิเมที่เกี่ยวข้องกับ อ.โทริยาม่าทั้งหมดเลยกว่าว่าได้ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่จุดประกายให้เขาอยากวาดมังงะขึ้นมา



คิชิโมโตะอ่านมังงะ และได้ซื้อนิตยสาร Weekly Shounen Jump ที่มีมังงะดราก้อนบอลตีพิมพ์อยู่มาเรื่อยๆ
จนเมื่อเขาอยู่มัธยมปลาย เขาก็เริ่มที่จะสนใจมังงะน้อยลงเรื่อยๆ และเขาหันไปเล่นกีฬาอย่างเบสบอลและบาสเก็ตบอลแทน
แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็พบกับโปสเตอร์โปรโมตภาพยนตร์เรื่อง "Akira" เข้า ทำให้เขากลับมาสนใจในมังงะอีกครั้งนึง
โดยที่เขาพยายามที่จะวาดมังงะให้คล้ายลายเส้นกับ อ.โอโทโมะ คัทสึฮิโระที่วาดโปสเตอร์นั้นไว้

เมื่อเข้าสู่ปีสุดท้ายของการเรียนมัธยมปลาย เขาก็ได้ใช้เวลาที่เหลือในการวาดมังงะเพื่อส่งเข้าไปในมหาลัยศิลป์แห่งหนึ่งเพื่อที่จะได้เข้าเรียนที่นั้น
วันนึงเมื่อเขาได้วาดมังงะชิ้นนึง ที่เกี่ยวการต่อสู้ของซามูไรส่งไปในนิตยสาร Weekly Shounen Jump ผลปรากฏว่า มังงะของเขา ยังไม่ดีพอที่จะได้ถูกตีพิมพ์ลงในนิตยสารไว้



ปีถัดมา เขาได้เริ่มอ่านมังงะเรื่อง "Blade of the Immortal ฤทธิ์ดาบไร้ปราณี" กับ "Rurouni Kenshin ซามูไรพเนจร"
ซึ่งได้อ่านเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวาดมังงะแนวซามูไรต่อไป แต่สุดท้ายผลงานของเขาก็ยังไม่สามารถสู้ใครได้เลย

เมื่อขึ้นปสอง เขาก็ได้เข้าประกวดวาดมังงะ โดยเขาเปลี่ยนการวาดจากแนวซามูไรมาเป็นมังงะที่มีแนวเนื้อหาที่รุนแรงที่เหมาะสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้นที่อ่านได้
โดยเขาคิดว่ามังงะแนวโชเน็นที่มีแต่เด็กอ่านนั้นไม่เหมาะกับเขาเพียงเท่าไหร่ จนเขารู้ว่าสไตล์ในการวาดมังงะของเขาไม่เหมาะที่จะลงในนิตยสาร Weakly Shounen Jump

เมื่อครั้งที่เขาได้ชมอนิเมะอย่าง Hashire Melos! เขาก็เกิดชอบลายเส้นอนิเมะเรื่องนี้ขึ้นมาและเริ่มศึกษางานจากเหล่าอนิเมเตอร์
วันนึง เขาก็ได้พบกับ นิชิโอะ เท็ตสึยะ ผู้ออกแบบตัวละครจากอนิเม Ninku
และเป็นผู้มีอิทธิพลสำคัญ ในการที่คิชิโมโตะได้หันมาศึกษาลายเส้นจากอนิเมชั่นต่างๆ
จนทำให้คิชิโมโตะเกิดความรู้สึกว่า ลายเส้นของเขาไม่ได้เป็นแบบเดิม แต่กลับกลายเป็นแนวโชเน็นแทน



เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน คิชิโมโตะได้วาดมังงะชิ้นแรกในวัยทำงานอย่าง Karakuri ที่เขาส่งไปในปี 1995
โดยผลงานชิ้นนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลนักวาดมังงะหน้าใหม่ประจำปีในนิตยสาร Weekly Shounen Jump ในปี 1996
และทำให้เขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักวาดมังงะของสำนักพิมพ์ Sueisha ไปในที่สุด

เข้าสู่ปี 1997 เขาได้เขียนมังงะเรื่องสั้นอย่าง "นารูโตะ" ไว้ในนิตยาสาร Akamaru Jump Summer
และก็ได้วาดมังงะรายสัปดาห์อย่าง Karakuri ลงใน Weekly Shounen Jump แต่เขียนไปได้ 4 - 5 เล่มภายในปี 1998 เท่านั้น
มังงะเรื่องนี้ก็ได้ถูกยกเลิกให้วาดไป เนื่องจากว่าความนิยมของผู้อ่านมีน้อยมากเกินไป

จนเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 1999 เขาก็ได้กลับมาเขียนมังงะนารูโตะใหม่ในรูปแบบซีรีย์ยาวลงในนิตยสาร Weekly Shounen Jump ประจำฉบับที่ 43 ของปี 1999 จำนวน 20 หน้า
ปรากฏว่ามังงะเรื่องนี้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าผู้อ่านไปได้อย่างรวดเร็ว นั่นทำให้มังงะเรื่องนี้กลายเป็น Top 3 ทันที่ในนิตยสาร Weekly Shounen Jump

จนเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ปี 2000 ก็ได้ทำการรวมเล่มมังงะเล่ม 1 ไว้ทันทีและวางขายในประเทศญี่ปุ่น
โดยได้เหล่าเรื่องของเด็กหนุ่มที่นารูโตะ ผู้ที่ใฝ่ฝันอย่างจะเป็นโฮคาเงะที่ยิ่งใหญ่ เมื่อมังงะได้วางขายไปเรื่อยๆ จนเมื่อปี 2002
มังงะเรื่องนี้ก็ได้ถูกนำไปเป็นอนิเมะที่ผลิตโดยสตูดิโอ Pierrot

มังงะเรื่องนี้แบ่งเป็นสองพาร์ทหลัก นั่นคือพาร์ทในวัยเด็กของนารูโตะ ซึ่งวาดไว้ทั้งหมด 238 ตอน ต่อมาก็ได้วาดไซด์สตอรี่ขึ้นมาจำนวน 7 ตอน
และพาร์ทที่สองที่เป็นเรื่องราวหลังจากสองปีถัดมาของเรื่อง โดยเริ่มจากตอนที่ 245 เป็นต้นมา

เช่นเดียวกันกับอนิเมชั่นที่แบ่งออกเป็นสองพาร์ทหลัก โดยออกอากาศตอนแรกวันที่ 3 ตุลาคม ปี 2002 และได้สิ้นสุดพาร์ทแรกลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ปี 2007 แล้วเริ่มพาร์ทที่สองต่อทันที่ในอาทิตย์ถัดมา และอนิเมชั่นตอนนี้ก็ได้ทำการฉายอยู่ในปัจจุบัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่