ออกตัวไว้ก่อนว่าตั้งชื่อกระทู้แรดๆไปงั้นจริงๆก็รีวิวธรรมดา ไม่ได้มีบทความอะไรพิเศษครับ ฮ่ะๆๆๆๆ
ตัวหนัง Interstellar นั้นทำหน้าตาเหมือนจะเป็น Hard Sci-Fi แต่ผมว่าไม่ Hard นะ ทุกอย่างมีการอธิบายอย่างง่ายๆเข้าใจง่ายๆและสมเหตุผล(เฉพาะในหนังนะครับไม่ได้เทียบกับทฤษฎีจริง) แทนที่จะเน้นทฤษฎีอะไรที่เข้มข้น หนังให้สำคัญกับความรักซะมากกว่า โดยเฉพาะความรักครอบครัวของพระเอกจะชัดเจน และเป็นสิ่งผลักดันให้เขาทำภารกิจนี้อย่างกั๊กๆในตอนแรก (กลัวกาลเวลาจะผ่านไปจนกลับไปช่วยครอบครัวไม่ทัน) และปล่อยวางในตอนหลัง ที่ยอมเสียเวลาบนโลกถึง 51 ปีเพื่อให้ภารกิจสำเร็จ และยอมตายในตอนสุดท้าย (แต่ก็รอด)
ชอบการแสดงในเรื่องนี้ครับ ทุกคนแสดงได้ดีจริงๆ แมททิว ออกอารมณ์ได้ดีมากโดยเฉพาะฉากร้องไห้ที่เหมือนหัวใจสลายไปแล้วตอนที่เห็นวิดีโอของลูกๆหลังจากเวลาผ่านไป 23 ปีจากดาวดวงแรก ตอนนั้นเขาหมดอาลัยที่จะทำภารกิจนี้แล้ว ดวงตาเขาก็สื่อแบบนั้นจริงๆ และมันค่อยๆกลับมาเรื่อยๆจนกลายเป็นคนไม่ยอมแพ้แม้จะอยู่ในสถานะที่ย่ำแย่ที่สุด (ติดในมิติที่ 5)
ตัวเด่นอีกคนคือลูกสาวอย่างเมิร์ฟซึ่ง แม้ว่า Jessica Chastain จาก Zero Dark Thirty จะแสดงส่วนใหญ่ของบทนี้ซึ่งก็แสดงได้ OK แต่ที่ทำให้บทนี้น่าจดจำกลับเป็นน้อง Mackenzie Foy ที่คาดไม่ถึงว่าจะแสดงได้ดีขนาดนั้น แสดงว่าหนัง Twilight นี่มีปัญหาที่การกำกับสินะดาราไม่ค่อยเกี่ยว ฮ่ะๆๆๆ น้องฟอยส่งอารมณ์กับแมททิวได้ดีเลย
เรื่องนี้ผมว่าไมเคิล เคนแกแสดงเฉยๆ ค่อนไปทางแปลก อธิบายไม่ถูก โดยเฉพาะตอนจะตายผมกลับเฉยๆมาก เทียบกับแค่แกร้องไห้ฉากเดียวใน Dark Knight Rises ยังไม่ได้ ฉากนั้นผมขึ้นเลยเหมือนแกร้องไห้จริงลูกบุญธรรมแกตายจริงกันไปข้าง เช่นเดียวกับแอน แฮททาเวย์ เรื่องนี้ก็เนือยๆพิกล แต่สิ่งที่ทำให้หนังมีรสชาติขึ้นกลับเป็น แท่ง 4 เหลี่ยมเดินได้ นาม TARS (Bill Irwin ให้เสียง) ผมชอบการออกแบบหุ่นยนต์ที่ดูก็รู้ว่าเป็นการ Tribute ต่อ Hal 9000 จาก 2001 Space Odyssy โดยตรง แต่ต่อยอดให้มี Animation ด้วย ซึ่งก็ออกแบบ Animation เก๋ดีจนอยากเห็นตอนหุ่นพวกนี้รบจริง (ในเรื่องพระเอกบอกเองว่า พวกนี้เคยเป็นนาวิกฯมาก่อนที่กองทัพอเมริกาจะถูกยกเลิก) ทั้งมุขตลกส่งกับตัวละครมนุษย์ได้ดีมาก (นี่ขนาดตลกแค่ 75% นะ) น้ำเสียงก็ใช้น้ำเสียงแบบมนุษย์เต็มรูปแบบไปเลย เป็นทางเลือกที่ดี
ดนตรีพี่ฮานส์ เลือกใช้เสียงซินนิไซเซอร์ และออแกน เป็นหลักเสริมด้วยเครื่องสายวงเล็ก (ถ้าฟังไม่ผิด หลังๆก็ไม่ทันจับแล้วลุ้นไปกับเนื้อเรื่องแทน) เพื่อให้อารมณ์อวกาศแบบน่าพิศวง ถึงแม้รสชาติจะค่อนข้างต่างกับงานของพี่ฮานส์จากเรื่องอื่นๆ แต่หน้าที่การบิวท์อารมณ์หนังของดนตรีแก ก็ยังทำหน้าที่ได้ครบเครื่องเหมือนเดิม ทำให้หนังเรื่องนี้แม้ไม่ใช่หนังแอคชั่นอะไร แต่ก็ลุ้นตัวโก่งได้เหมือนกัน
เสียดายอย่างนึงคือ ไม่น่าตามข่าวเยอะไปจนดันรู้ก่อนว่าจะมี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Matt Demon แสดงในเรื่องนี้ ไม่งั้นคงนั่งตาโพลงสุดๆ แบบ โอ้ว พี่แสดงด้วยเหรอเนี่ย บทก็ไม่น้อยด้วย มีผลกับเรื่องเต็มๆอีกตะหาก
Nolan มักจะนำเสนออะไรที่เป็นไปได้ใกล้เคียงความจริง อย่างปัญหาเรื่องอาหารในเรื่องก็น่าสนใจมากครับ ผมว่าสิ่งที่เขาเสนอมันจะสลับกับบทพูดอันนึงในเรื่องคือ "เราเคยมองท้องฟ้าแล้วคิดว่าเราอยู่ที่ไหน ตอนนี้เรานั่งมองดินคิดว่าเราอยู่ที่ไหนได้" (ผมจำผิดก็บอกด้วยนะครับ) เหมือน Nolan กำลังพูดเป็นนัยๆว่า "เรามัวแต่มองท้องฟ้าเล็งหาว่าเราควรจะไปไหน มีอะไรอยู่บ้าง เราไม่หันกลับมามองฝืนดินที่เราอยู่เลย ฝืนดินมันก็เสื่อมโทรมลงทุกวันทรัพยากรเราใช้อย่างเต็มที่จนเกินไปไหม สักวันปัญหาแบบในหนังมันก็อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้ ถึงเวลานั้น มันไม่มีใครสร้างรูหนอนเอามาวางไว้ให้เรารอดชีวิตหรอก"
ที่สุดแล้วผมก็แอบคิดเหมือนหลายๆคนเกี่ยวกับเรื่องนี้และ Contact คือมันก็มีส่วนคล้ายกันอยู่หลายๆเรื่อง เช่นการเดินทางด้วยรูหนอนที่เป็นทรงกลม (Contact เป็นพลังงานแต่ก็กลมๆเหมือนกัน) และพี่แมททิวนี่แหละ เรื่องนั้นไม่ได้ไปเองให้ Jodie Foster ไป เรื่องนี้เลยขอไปสินะ ฮ่ะๆๆๆ อยากให้ไปเจอกันจังเลย รู้นะว่าคิดถึงกันน

7.5/10 ครับ คือมันก็ดีนะ แต่ก็ไม่ได้ระเบิดระเบ้ออะไรแต่ก็ชอบครับ ถึงเวลาคงซื้อ BD เก็บเช่นกันเพราะหนังของพี่แกของแถมเยอะ ชอบแถมสารคดียาวๆมาด้วย ฮ่ะๆๆๆๆ
[CR] (SPOILER) INTERSTELLAR อย่ามัวแต่เงยหน้ามองฟ้า ก้มหน้ามองดินให้เห็นปลายเท้าเราบ้าง
ตัวหนัง Interstellar นั้นทำหน้าตาเหมือนจะเป็น Hard Sci-Fi แต่ผมว่าไม่ Hard นะ ทุกอย่างมีการอธิบายอย่างง่ายๆเข้าใจง่ายๆและสมเหตุผล(เฉพาะในหนังนะครับไม่ได้เทียบกับทฤษฎีจริง) แทนที่จะเน้นทฤษฎีอะไรที่เข้มข้น หนังให้สำคัญกับความรักซะมากกว่า โดยเฉพาะความรักครอบครัวของพระเอกจะชัดเจน และเป็นสิ่งผลักดันให้เขาทำภารกิจนี้อย่างกั๊กๆในตอนแรก (กลัวกาลเวลาจะผ่านไปจนกลับไปช่วยครอบครัวไม่ทัน) และปล่อยวางในตอนหลัง ที่ยอมเสียเวลาบนโลกถึง 51 ปีเพื่อให้ภารกิจสำเร็จ และยอมตายในตอนสุดท้าย (แต่ก็รอด)
ชอบการแสดงในเรื่องนี้ครับ ทุกคนแสดงได้ดีจริงๆ แมททิว ออกอารมณ์ได้ดีมากโดยเฉพาะฉากร้องไห้ที่เหมือนหัวใจสลายไปแล้วตอนที่เห็นวิดีโอของลูกๆหลังจากเวลาผ่านไป 23 ปีจากดาวดวงแรก ตอนนั้นเขาหมดอาลัยที่จะทำภารกิจนี้แล้ว ดวงตาเขาก็สื่อแบบนั้นจริงๆ และมันค่อยๆกลับมาเรื่อยๆจนกลายเป็นคนไม่ยอมแพ้แม้จะอยู่ในสถานะที่ย่ำแย่ที่สุด (ติดในมิติที่ 5)
ตัวเด่นอีกคนคือลูกสาวอย่างเมิร์ฟซึ่ง แม้ว่า Jessica Chastain จาก Zero Dark Thirty จะแสดงส่วนใหญ่ของบทนี้ซึ่งก็แสดงได้ OK แต่ที่ทำให้บทนี้น่าจดจำกลับเป็นน้อง Mackenzie Foy ที่คาดไม่ถึงว่าจะแสดงได้ดีขนาดนั้น แสดงว่าหนัง Twilight นี่มีปัญหาที่การกำกับสินะดาราไม่ค่อยเกี่ยว ฮ่ะๆๆๆ น้องฟอยส่งอารมณ์กับแมททิวได้ดีเลย
เรื่องนี้ผมว่าไมเคิล เคนแกแสดงเฉยๆ ค่อนไปทางแปลก อธิบายไม่ถูก โดยเฉพาะตอนจะตายผมกลับเฉยๆมาก เทียบกับแค่แกร้องไห้ฉากเดียวใน Dark Knight Rises ยังไม่ได้ ฉากนั้นผมขึ้นเลยเหมือนแกร้องไห้จริงลูกบุญธรรมแกตายจริงกันไปข้าง เช่นเดียวกับแอน แฮททาเวย์ เรื่องนี้ก็เนือยๆพิกล แต่สิ่งที่ทำให้หนังมีรสชาติขึ้นกลับเป็น แท่ง 4 เหลี่ยมเดินได้ นาม TARS (Bill Irwin ให้เสียง) ผมชอบการออกแบบหุ่นยนต์ที่ดูก็รู้ว่าเป็นการ Tribute ต่อ Hal 9000 จาก 2001 Space Odyssy โดยตรง แต่ต่อยอดให้มี Animation ด้วย ซึ่งก็ออกแบบ Animation เก๋ดีจนอยากเห็นตอนหุ่นพวกนี้รบจริง (ในเรื่องพระเอกบอกเองว่า พวกนี้เคยเป็นนาวิกฯมาก่อนที่กองทัพอเมริกาจะถูกยกเลิก) ทั้งมุขตลกส่งกับตัวละครมนุษย์ได้ดีมาก (นี่ขนาดตลกแค่ 75% นะ) น้ำเสียงก็ใช้น้ำเสียงแบบมนุษย์เต็มรูปแบบไปเลย เป็นทางเลือกที่ดี
ดนตรีพี่ฮานส์ เลือกใช้เสียงซินนิไซเซอร์ และออแกน เป็นหลักเสริมด้วยเครื่องสายวงเล็ก (ถ้าฟังไม่ผิด หลังๆก็ไม่ทันจับแล้วลุ้นไปกับเนื้อเรื่องแทน) เพื่อให้อารมณ์อวกาศแบบน่าพิศวง ถึงแม้รสชาติจะค่อนข้างต่างกับงานของพี่ฮานส์จากเรื่องอื่นๆ แต่หน้าที่การบิวท์อารมณ์หนังของดนตรีแก ก็ยังทำหน้าที่ได้ครบเครื่องเหมือนเดิม ทำให้หนังเรื่องนี้แม้ไม่ใช่หนังแอคชั่นอะไร แต่ก็ลุ้นตัวโก่งได้เหมือนกัน
เสียดายอย่างนึงคือ ไม่น่าตามข่าวเยอะไปจนดันรู้ก่อนว่าจะมี [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ไม่งั้นคงนั่งตาโพลงสุดๆ แบบ โอ้ว พี่แสดงด้วยเหรอเนี่ย บทก็ไม่น้อยด้วย มีผลกับเรื่องเต็มๆอีกตะหาก
Nolan มักจะนำเสนออะไรที่เป็นไปได้ใกล้เคียงความจริง อย่างปัญหาเรื่องอาหารในเรื่องก็น่าสนใจมากครับ ผมว่าสิ่งที่เขาเสนอมันจะสลับกับบทพูดอันนึงในเรื่องคือ "เราเคยมองท้องฟ้าแล้วคิดว่าเราอยู่ที่ไหน ตอนนี้เรานั่งมองดินคิดว่าเราอยู่ที่ไหนได้" (ผมจำผิดก็บอกด้วยนะครับ) เหมือน Nolan กำลังพูดเป็นนัยๆว่า "เรามัวแต่มองท้องฟ้าเล็งหาว่าเราควรจะไปไหน มีอะไรอยู่บ้าง เราไม่หันกลับมามองฝืนดินที่เราอยู่เลย ฝืนดินมันก็เสื่อมโทรมลงทุกวันทรัพยากรเราใช้อย่างเต็มที่จนเกินไปไหม สักวันปัญหาแบบในหนังมันก็อาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้ ถึงเวลานั้น มันไม่มีใครสร้างรูหนอนเอามาวางไว้ให้เรารอดชีวิตหรอก"
ที่สุดแล้วผมก็แอบคิดเหมือนหลายๆคนเกี่ยวกับเรื่องนี้และ Contact คือมันก็มีส่วนคล้ายกันอยู่หลายๆเรื่อง เช่นการเดินทางด้วยรูหนอนที่เป็นทรงกลม (Contact เป็นพลังงานแต่ก็กลมๆเหมือนกัน) และพี่แมททิวนี่แหละ เรื่องนั้นไม่ได้ไปเองให้ Jodie Foster ไป เรื่องนี้เลยขอไปสินะ ฮ่ะๆๆๆ อยากให้ไปเจอกันจังเลย รู้นะว่าคิดถึงกันน
7.5/10 ครับ คือมันก็ดีนะ แต่ก็ไม่ได้ระเบิดระเบ้ออะไรแต่ก็ชอบครับ ถึงเวลาคงซื้อ BD เก็บเช่นกันเพราะหนังของพี่แกของแถมเยอะ ชอบแถมสารคดียาวๆมาด้วย ฮ่ะๆๆๆๆ