จากใจผู้เขียน
ทุกชีวิตบนโลกต่างเกิดมาเพื่อดำรงอยู่และดับไป ไม่ว่าจะเป็น “คน” หรือ “สัตว์” ต่างคน ต่างจิต ต่างใจ ต่างเชื้อชาติ ต่างเผ่าพันธุ์ ย่อมดำรงชีวิตที่แตกต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข หากใช้จิตใจที่ดีงามเข้าหากัน เรื่องราวที่เขียนขึ้นนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงแค่ อยากให้ทุกๆ คน ตระหนักถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมโลก ไม่ว่าจะ “คน” หรือ ”สัตว์” ต่างมีชีวิตและจิตใจ การกระทำของใครบางคนในเรื่องนี้ อาจทำให้คุณฉุกคิดได้ว่า แม้เพียงสิ่งมีชีวิตเพียงชีวิตเดียวต้องจากไป แต่นั้นอาจเป็นการสูญเสียสิ่งสำคัญของใครหลายๆ คนไปเลยก็ได้......
ท้องฟ้าก่อนรุ่งสางอากาศช่างกำลังเย็นสบาย จนไม่อยากนำร่างกายที่เหนื่อยล้าจากวันวานลุกขึ้นมาจากกองผ้าห่มที่แสนจะอบอุ่น แต่ ณ เวลานี้หลายๆ ชีวิตกำลังตื่นขึ้นเพื่อเผชิญชีวิตในวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง โดยไม่รู้ว่าจะเจอชีวิตในรูปแบบใด แต่ต่างคนต่างมีชีวิตเป็นของตนเอง บ้างเห็นแก่ตัว บ้างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนกันทั้งยามทุกข์และยามสุข ไม่ว่าจะเป็น “คน” หรือ “สัตว์” ที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบเดียวกัน
เช่นเดียวกับบ้านหลังนี้ บ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ มีระเบียงด้านหน้าไว้ตื่นมาชมวิวสวยๆ ยามเช้า ด้านหลังเป็นครัวชั้นเดียวยกใต้ถุนสูง ทำด้วยไม้ทั้งหลังที่ต้องขึ้นบันไดไปสี่ขั้น เจ้าสี่ขาแสนรู้มาเขย่าประตูปลุกทุกคนเป็นประจำทุกๆ วัน ชีวิตที่ดูเหมือนจะใช้มาเยอะกว่าคนอื่นได้ตื่นขึ้น ยายตื่นขึ้นมาพร้อมกับแม่ของอ้อ เพื่อหุงข้าวและทำกับข้าว เตรียมใส่บาตรและเลี้ยงทุกชีวิตในครอบครัว
หลังจากยายทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรเสร็จ “อ้อ...ตื่นได้แล้ว มาใส่บาตรกับยายมาลูก” เสียงเรียกของยายที่ดังขึ้นหลังจากเคาะประตู ร่างเล็กๆ กำลังตื่นขึ้นขยี้ตาแล้วลุกไปเปิดประตู “หนูขอไปล้างหน้าก่อนนะคะ...” คำพูดของอ้อในอาการงัวเงียที่บอกกับยาย “จ้ะลูก...แล้วตามยายมานะ” คำพูดของยายที่บอกอ้อ พร้อมกับลูบหัวอ้อเบาๆ
ท่ามกลางอากาศแจ่มใส แสงสว่างยามอรุณอันอบอวลไปด้วยความสุข ส่องกระทบแววตาเป็นประกาย ใบหน้าปนเปื้อนด้วยรอยยิ้มของ “อ้อ” เด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังมองคุณยายอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปมองเจ้าตะโก้ที่วิ่งวนไปวนมาระหว่างยายกับอ้อที่ยืนอยู่หน้าบ้านเพื่อเตรียมใส่บาตร
“ตะโก้...หยุดวิ่งได้แล้ว มาเร็ว...” สิ้นเสียงของอ้อ เจ้าสี่ขาที่กำลังวิ่งก็หยุดยืนอยู่กับที่ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโต บนตามีขนสีน้ำตาลอ่อนๆ เป็นวงกลมๆ มีขนตาสีดำงอกออกมาสามถึงสี่เส้น ดูแล้วเหมือนมีสี่ตา มองมาที่อ้อ จากนั้นลำตัวสีน้ำตาลเข้มปลายหางสีขาวเริ่มขยับ ต้นขาสีขาวเหมือนใส่ถุงเท้ากำลังก้าวเดินมาหยุดนั่งอยู่ข้างๆ และหันมองอ้อที่กำลังยิ้มให้อีกรอบ
“พระมาแล้ว...” เสียงยายพูดขึ้น ทุกคนอยู่กับที่ด้วยความสำรวม คุณยายค่อยๆ ตักข้าวใส่ลงในบาตร มือน้อยๆ ของอ้อกำลังหยิบถุงต้มจับฉ่ายสีดูน่ากินที่มัดเป็นถุงๆ เรียงอยู่ในถาดใส่ตามคุณยาย เจ้าตะโก้ก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ อ้อ เสมือนว่ามันกำลังช่วยอ้อใส่บาตรอยู่ ทั้งสองคนและอีกหนึ่งตัวรับศีลรับพรอย่างสงบ ก่อนที่พระจะเดินบิณฑบาตต่อไป
“ปริ๊น.....ปริ๊น.....” เสียงรถกระบะคันเก่าๆ ซึ่งขายขนมและกับข้าว (ส่วนใหญ่จะเป็นขนมมากกว่า) เด็กหญิงตัวเล็กกับเจ้าตะโก้วิ่งไปหยุดอยู่ข้างๆ รถ ร่างเล็กๆ ของอ้อกำลังปีนขึ้นไปบนรถกระบะคันนั้น สิ่งแรกที่เธอหยิบขึ้นมาเป็นขนมสีขาวๆ มีใบตองเย็บเป็นกระทงขนาดพอประมาณใส่อยู่ มันคือ “ขนมตะโก้” แสนอร่อยที่อ้อและเจ้าตะโก้ชอบกินเป็นที่สุด อ้อจะเอาชั้นกะทิที่อยู่ด้านบนให้เจ้าตะโก้กิน ซึ่งมันก็ชอบซะด้วย นี่แหละที่มาของชื่อเจ้าตะโก้ ส่วนที่เหลือเป็นของโปรดของอ้อมันคือส่วนตัวของตะโก้ ทำจากแป้งกวนกับเผือกหรือข้าวโพดฝานบางๆ เมื่อกวนได้ที่จะเป็นแป้งใสๆ หยอดใส่ในกระทง โดยอ้อจะชอบเผือกมากกว่า ส่วนค่าเสียหายหลังจากกินขนมกันอย่างเอร็ดอร่อย ยายก็เป็นคนจ่ายอีกตามเคย
“วันนี้ดีจัง...ได้ทำบุญแล้วก็กินขนมด้วยค่ะ” คำพูดของเด็กหญิงที่หันไปยิ้มแล้วบอกกับยาย ยายและอ้อเดินเข้าบ้านมาด้วยความอิ่มเอมใจ เจ้าตะโก้เองก็วิ่งไปวิ่งมาดูออกจะร่าเริงเป็นพิเศษ ภายในบ้านเหมือนทุกๆ ชีวิตพึ่งจะตื่นขึ้น เพราะกลิ่นอาหารอันหอมหวนชวนกินของแม่ครัวที่รสชาติไม่เป็นสองรองใคร ทุกชีวิตในบ้านมารวมกันที่โต๊ะกินข้าวโดยมิได้นัดหมายอย่างพร้อมเพรียงกัน อาหารถูกจัดวางดูน่ากิน ไม่นานจานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะก็เหลือเพียงแค่จานเปล่าๆ
วันนี้เป็นวันหยุดเลยไม่มีใครไปทำงาน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ อ้อเองด้วยความที่ไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่ใกล้บ้านจึงไม่ได้ออกไปเล่นที่ไหน จะมีก็แต่เพื่อนคู่ใจอย่างเจ้าตะโก้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์รวมสุขกันเสมอ เจ้าตะโก้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ตั้งแต่อ้อยังไม่เกิด มันจึงเป็นเพื่อนที่อ้อรักมากที่สุด เวลาอ้อร้องไห้มันจะมานั่งอยู่ใกล้ๆ เหมือนจะปลอบให้สบายใจ มันไม่เคยรำคาญหรือหนีไปเวลาโดนอ้อแกล้ง มันชอบมาเขย่าประตูปลุกทุกๆ คนในบ้าน แต่จริงๆ แล้วมันน่าจะหิวมากกว่านะ เวลามีเรื่องอะไรอ้อจะชอบเล่าให้มันฟัง โดยเฉพาะความลับที่บอกแม่ไปอาจจะโดนตีนี่แหละ ถือได้ว่าเจ้าตะโก้จะเป็นเพื่อนตัวแรกที่ได้รับรู้เลยก็ว่าได้
เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงวันสุดหรรษา เวลาที่ใครหลายๆ คนหิวโหยจากการเผชิญชีวิตมาได้ครึ่งหนึ่งของวัน หลังจากวิ่งเล่นด้วยกันอย่างเหน็ดเหนื่อย ท้องของอ้อกับเจ้าตะโก้ดูเหมือนว่าต้องการการเติมเต็มด้วยอาหารอันแสนอร่อย “มาเร็วๆ ตะโก้ หาอะไรกินกัน” “หิวจัง...ดูซิว่ามีอะไรให้กินบ้าง” คำพูดที่พลางเดินพลางวิ่งของอ้อ พร้อมกับเจ้าตะโก้เพื่อนคู่ใจที่ตามมาติดๆ
ครัวที่ต้องขึ้นบันไดไปสี่ขั้น ในตู้กับข้าวมีเพียงต้มจับฉ่ายที่ยายพึ่งทำมันเมื่อเช้าเหลืออยู่ในหม้อ “มีต้มจับฉ่ายอย่างเดียวเอง” อ้อพูดขึ้นหลังจากเปิดตู้กับข้าวครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ยกหม้อต้มจับฉ่ายที่ดูสียังน่ากิน เทลงในถ้วยกระเบื้องได้เกือบจะเต็มถ้วย ข้าวสวยที่หุงตั้งแต่เช้าถูกเก็บอยู่ในหม้อ ทำให้มันยังพออุ่นๆ ดูยังน่ากินอยู่ จานกระเบื้องอีกหนึ่งใบกำลังถูกใส่ข้าวจนเต็ม วันนี้อ้อดูจะหิวเป็นพิเศษ อาหารที่ดูเหมือนเยอะตอนนี้มันช่างดูไม่น่าจะพอสำหรับท้องน้อยๆ ของอ้อซะแล้ว
ถ้วยกระเบื้องที่ใส่ต้มจับฉ่ายไว้จนเกือบเต็ม ตอนนี้เหลือเพียงก้นถ้วยเล็กน้อย จานกระเบื้องที่ใส่ข้าวสวย ตอนนี้เหลือเพียงเศษกระดูกซี่โครงหมูที่ถูกกินส่วนเนื้อที่ติดอยู่ไปจนเกือบหมดวางอยู่ในจาน หลังจากที่ท้องน้อยๆ ของอ้อจุมันไว้จนเต็ม “อิ่มจัง...” อ้อพูดพลางเอามือลูบท้อง
“โอ๊ะ!!!” เสียงอุทานที่พึ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนแสนรู้รออยู่ ร่างเล็กๆ รีบนำเศษกระดูกซี่โครงหมูในจานและน้ำต้มจับฉ่ายก้นถ้วยเทลงในกะละมังเก่าๆ ใบไม่ใหญ่มาก ในนั้นมีข้าวก้นหม้อที่ยายตักใส่ไว้ เมื่อผสมทุกอย่างรวมกันแล้ว ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงอันแสนโปรดของเจ้าตะโก้ กระดูกหมูนี่แหละอาหารอันโอชาที่เจ้าสี่ข้าทั้งหลายต่างยกขาหน้าให้ ขบกินเล่นอร่อยไม่มีเบื่อแถมฟันแข็งแรงอีกด้วย
เมื่อเห็นอ้อถือกะละมังใบนั้นมาเจ้าตะโก้ก็ลุกขึ้นทันที หลังจากนอนมองด้วยสายตาอย่างมีความหวังตรงขั้นบันได มันรู้ว่าต้องเป็นอาหารแสนอร่อยที่เฝ้ารอมาแสนนาน ไม่ช้ากะละมังใบนั้นวางลงกับพื้น เจ้าตะโก้วิ่งเข้าไปกินอย่างไม่ลังเล แถมขบของโปรดเสียงดังดูอร่อยจนน่าอิจฉา
มื้อเที่ยงกับอาหารแสนโอชาก็ผ่านพ้นไป ช่วงเวลายามบ่ายที่มาเยือนเหมาะสำหรับการพักผ่อนนอนหลับซะจริงๆ เปลใต้ต้นมะม่วงข้างบ้านถูกจับจอง ร่างเล็กๆ กำลังหลับสบายท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ยามบ่าย ภายใต้เปลมีเจ้าสี่ขาคู่ใจนอนอยู่ เวลาล่วงเลยไปสองเพื่อนซี้ยังคงหลับใหล “อ้อ...ลูก” “ตื่นได้แล้ว” “อาบน้ำแต่งตัวไปงานเลี้ยงกับแม่เร็ว” เสียงแม่ของอ้อที่มาปลุก และเสียงนั้นยังปลุกเจ้าตะโก้ให้ตื่นขึ้นพร้อมๆ กัน วันนี้แม่กับอ้อมีนัดไปงานเลี้ยง ที่ถูกจัดขึ้นบริเวณสนามกีฬาข้างโรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งแม่ของอ้อทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ที่นั่นมาห้าปีแล้ว อ้อตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงียก่อนจะลุกจากเปลไปอาบน้ำแต่งตัว
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ยามเย็นแบบนี้หลายๆ ชีวิตกำลังเตรียมพักผ่อนจากกิจกรรมต่างๆ แต่ถ้าเป็นในเมืองใหญ่ช่วงนี้หละก็ คงแออัดไปด้วยผู้คน และรถติดเป็นแถวยาวเหยียด บ้านสวนที่อยู่นอกเมืองใหญ่ครอบครัวนี้ ต่างกันโดยสิ้นเชิง บรรยากาศอันเงียบสงบได้ยินเสียงพลิ้วไหวของใบไม้อยู่รายรอบ มีเพียงเพื่อนบ้านใกล้ๆ กัน บ้างเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บ้างเห็นแก่ตัว ชีวิตนี้ของใครของมัน อย่างว่า ชีวิตที่แตกต่างความคิดมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
สองแม่ลูกกับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ กำลังจะเคลื่อนออกจากบ้าน “ไปก่อนนะเจ้าตะโก้” “เดี๋ยวเอาของอร่อยมาฝากนะ...” เสียงของอ้อที่บอกกับเจ้าตะโก้ “โฮ่งๆ” เจ้าตะโก้เห่าตอบรับ มันดูดีใจที่จะได้กินของอร่อยๆ มันยืนกระดิกหางไปมาอยู่หน้าบ้าน ก่อนที่แม่และอ้อขับรถออกไป เหมือนมาส่งอ้อและแม่ไปงานเลี้ยง ซึ่งดูจะเป็นเรื่องปกติ เพราะเวลาอ้อจะไปโรงเรียนหรือกลับจากโรงเรียน มันจะมารับมาส่งเป็นประจำทุกวัน หรือไม่ว่าจะเป็นใครที่อยู่ในบ้านต้องมีเจ้าสี่ขาตัวนี้ค่อยรับค่อยส่งอยู่เสมอ
งานเลี้ยงที่ล่วงเลยมานานนับหลายชั่วโมง ทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่ถูกวางเรียงรายดูจะเหลือน้อยเต็มที่ ไม่ช้างานเลี้ยงต้องเลิกราไปเหลือทิ้งไว้แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ได้ผ่อนคลายจากงานที่หนักมาหลายเดือน “แม่คะ...กลับเถอะค่ะ” อ้อพูดขึ้น “จ้ะๆ......ไปลูกไป” แม่ตอบรับ ก่อนจะพากันลุกจากโต๊ะอาหารไปจับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ คันเดิมกลับบ้านด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
ที่นอนอุ่นๆ ข้างบ้านที่ถูกปูด้วยผ้าเก่าๆ มีไว้สำหรับเจ้าตะโก้ มันนั่งๆ นอนๆ อยู่นับชั่วโมง พลางมองไปทางหน้าบ้านเหมือนเฝ้ารออะไรบางอย่าง มันคงจะรอเพื่อนซี้ที่ให้สัญญาเอาไว้ เวลาล่วงเลยไปอีกนับหลายชั่วโมงเจ้าตะโก้ยังรออย่างใจใจจ่อ มันลุกเดินไปนอนรออยู่ที่หน้าบ้านได้ไม่นานนัก อาหารแสนอร่อยที่มันรอคอย กระดูกหมูชิ้นใหญ่ต้มมาใหม่ๆ ดูน่ากินวางอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าเจ้าตะโก้ไม่รอช้า มันเข้าไปคาบมาขบกินอย่างเอร็ดอร่อย
.....เสียงรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ ที่คุ้นหูดังมาแต่ไกลและกำลังเข้าใกล้มาเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน อ้อและแม่มาถึง...อ้อมองเห็นเจ้าสี่ขาเพื่อนคู่ใจ
นอนอยู่ จึงลงจากรถด้วยความดีใจพร้อมถุงหิ้วใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหารและเศษกระดูกที่อ้อตั้งใจเอามาให้เจ้าตะโก้ตามสัญญา “ตะโก้...ของอร่อยมาแล้วจ้ะ” เสียงพูดของอ้อดังขึ้นและกำลังเดินเข้าไปหาเจ้าตะโก้
ลำตัวสีน้ำตาลเข้มนอนตะแคงมองเห็นหน้าแค่ด้านเดียว ปลายหางสีขาวโบกไปมาอย่างแผ่วเบา ขาทั้งสี่ข้างขยับไปมาเป็นระยะ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตมีน้ำใสๆ ไหลออกมา ปากของมันเต็มไปด้วยน้ำลายที่มีแต่ฟองอากาศไหลออกมาอย่างไม่หยุด “แม่ค่ะ!!!...แม่!!...ตะโก้มันเป็นอะไรไม่รู้...” เสียงที่เรียกแม่อย่างตกใจ “ไหนลูก!!...ไหน...แม่ดูหน่อยซิ” แม่ของอ้อพูดพลางรีบลงจากรถมอเตอร์ไซค์เพื่อมาดูมัน “ตะโก้!!!” แม่ของอ้อร้องขึ้นเสียงดัง “ถอยออกมาก่อนนะลูก” “อย่าโดนน้ำลายมันนะ” “มันน่าจะโดนยา” แม่หันไปบอกอ้อ
กระดูกชิ้นสุดท้ายของ....ตะโก้
ทุกชีวิตบนโลกต่างเกิดมาเพื่อดำรงอยู่และดับไป ไม่ว่าจะเป็น “คน” หรือ “สัตว์” ต่างคน ต่างจิต ต่างใจ ต่างเชื้อชาติ ต่างเผ่าพันธุ์ ย่อมดำรงชีวิตที่แตกต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข หากใช้จิตใจที่ดีงามเข้าหากัน เรื่องราวที่เขียนขึ้นนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงแค่ อยากให้ทุกๆ คน ตระหนักถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมโลก ไม่ว่าจะ “คน” หรือ ”สัตว์” ต่างมีชีวิตและจิตใจ การกระทำของใครบางคนในเรื่องนี้ อาจทำให้คุณฉุกคิดได้ว่า แม้เพียงสิ่งมีชีวิตเพียงชีวิตเดียวต้องจากไป แต่นั้นอาจเป็นการสูญเสียสิ่งสำคัญของใครหลายๆ คนไปเลยก็ได้......
ท้องฟ้าก่อนรุ่งสางอากาศช่างกำลังเย็นสบาย จนไม่อยากนำร่างกายที่เหนื่อยล้าจากวันวานลุกขึ้นมาจากกองผ้าห่มที่แสนจะอบอุ่น แต่ ณ เวลานี้หลายๆ ชีวิตกำลังตื่นขึ้นเพื่อเผชิญชีวิตในวันใหม่ที่กำลังจะมาถึง โดยไม่รู้ว่าจะเจอชีวิตในรูปแบบใด แต่ต่างคนต่างมีชีวิตเป็นของตนเอง บ้างเห็นแก่ตัว บ้างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนกันทั้งยามทุกข์และยามสุข ไม่ว่าจะเป็น “คน” หรือ “สัตว์” ที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบเดียวกัน
เช่นเดียวกับบ้านหลังนี้ บ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ มีระเบียงด้านหน้าไว้ตื่นมาชมวิวสวยๆ ยามเช้า ด้านหลังเป็นครัวชั้นเดียวยกใต้ถุนสูง ทำด้วยไม้ทั้งหลังที่ต้องขึ้นบันไดไปสี่ขั้น เจ้าสี่ขาแสนรู้มาเขย่าประตูปลุกทุกคนเป็นประจำทุกๆ วัน ชีวิตที่ดูเหมือนจะใช้มาเยอะกว่าคนอื่นได้ตื่นขึ้น ยายตื่นขึ้นมาพร้อมกับแม่ของอ้อ เพื่อหุงข้าวและทำกับข้าว เตรียมใส่บาตรและเลี้ยงทุกชีวิตในครอบครัว
หลังจากยายทำกับข้าวเตรียมใส่บาตรเสร็จ “อ้อ...ตื่นได้แล้ว มาใส่บาตรกับยายมาลูก” เสียงเรียกของยายที่ดังขึ้นหลังจากเคาะประตู ร่างเล็กๆ กำลังตื่นขึ้นขยี้ตาแล้วลุกไปเปิดประตู “หนูขอไปล้างหน้าก่อนนะคะ...” คำพูดของอ้อในอาการงัวเงียที่บอกกับยาย “จ้ะลูก...แล้วตามยายมานะ” คำพูดของยายที่บอกอ้อ พร้อมกับลูบหัวอ้อเบาๆ
ท่ามกลางอากาศแจ่มใส แสงสว่างยามอรุณอันอบอวลไปด้วยความสุข ส่องกระทบแววตาเป็นประกาย ใบหน้าปนเปื้อนด้วยรอยยิ้มของ “อ้อ” เด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังมองคุณยายอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปมองเจ้าตะโก้ที่วิ่งวนไปวนมาระหว่างยายกับอ้อที่ยืนอยู่หน้าบ้านเพื่อเตรียมใส่บาตร
“ตะโก้...หยุดวิ่งได้แล้ว มาเร็ว...” สิ้นเสียงของอ้อ เจ้าสี่ขาที่กำลังวิ่งก็หยุดยืนอยู่กับที่ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโต บนตามีขนสีน้ำตาลอ่อนๆ เป็นวงกลมๆ มีขนตาสีดำงอกออกมาสามถึงสี่เส้น ดูแล้วเหมือนมีสี่ตา มองมาที่อ้อ จากนั้นลำตัวสีน้ำตาลเข้มปลายหางสีขาวเริ่มขยับ ต้นขาสีขาวเหมือนใส่ถุงเท้ากำลังก้าวเดินมาหยุดนั่งอยู่ข้างๆ และหันมองอ้อที่กำลังยิ้มให้อีกรอบ
“พระมาแล้ว...” เสียงยายพูดขึ้น ทุกคนอยู่กับที่ด้วยความสำรวม คุณยายค่อยๆ ตักข้าวใส่ลงในบาตร มือน้อยๆ ของอ้อกำลังหยิบถุงต้มจับฉ่ายสีดูน่ากินที่มัดเป็นถุงๆ เรียงอยู่ในถาดใส่ตามคุณยาย เจ้าตะโก้ก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ อ้อ เสมือนว่ามันกำลังช่วยอ้อใส่บาตรอยู่ ทั้งสองคนและอีกหนึ่งตัวรับศีลรับพรอย่างสงบ ก่อนที่พระจะเดินบิณฑบาตต่อไป
“ปริ๊น.....ปริ๊น.....” เสียงรถกระบะคันเก่าๆ ซึ่งขายขนมและกับข้าว (ส่วนใหญ่จะเป็นขนมมากกว่า) เด็กหญิงตัวเล็กกับเจ้าตะโก้วิ่งไปหยุดอยู่ข้างๆ รถ ร่างเล็กๆ ของอ้อกำลังปีนขึ้นไปบนรถกระบะคันนั้น สิ่งแรกที่เธอหยิบขึ้นมาเป็นขนมสีขาวๆ มีใบตองเย็บเป็นกระทงขนาดพอประมาณใส่อยู่ มันคือ “ขนมตะโก้” แสนอร่อยที่อ้อและเจ้าตะโก้ชอบกินเป็นที่สุด อ้อจะเอาชั้นกะทิที่อยู่ด้านบนให้เจ้าตะโก้กิน ซึ่งมันก็ชอบซะด้วย นี่แหละที่มาของชื่อเจ้าตะโก้ ส่วนที่เหลือเป็นของโปรดของอ้อมันคือส่วนตัวของตะโก้ ทำจากแป้งกวนกับเผือกหรือข้าวโพดฝานบางๆ เมื่อกวนได้ที่จะเป็นแป้งใสๆ หยอดใส่ในกระทง โดยอ้อจะชอบเผือกมากกว่า ส่วนค่าเสียหายหลังจากกินขนมกันอย่างเอร็ดอร่อย ยายก็เป็นคนจ่ายอีกตามเคย
“วันนี้ดีจัง...ได้ทำบุญแล้วก็กินขนมด้วยค่ะ” คำพูดของเด็กหญิงที่หันไปยิ้มแล้วบอกกับยาย ยายและอ้อเดินเข้าบ้านมาด้วยความอิ่มเอมใจ เจ้าตะโก้เองก็วิ่งไปวิ่งมาดูออกจะร่าเริงเป็นพิเศษ ภายในบ้านเหมือนทุกๆ ชีวิตพึ่งจะตื่นขึ้น เพราะกลิ่นอาหารอันหอมหวนชวนกินของแม่ครัวที่รสชาติไม่เป็นสองรองใคร ทุกชีวิตในบ้านมารวมกันที่โต๊ะกินข้าวโดยมิได้นัดหมายอย่างพร้อมเพรียงกัน อาหารถูกจัดวางดูน่ากิน ไม่นานจานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะก็เหลือเพียงแค่จานเปล่าๆ
วันนี้เป็นวันหยุดเลยไม่มีใครไปทำงาน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ อ้อเองด้วยความที่ไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่ใกล้บ้านจึงไม่ได้ออกไปเล่นที่ไหน จะมีก็แต่เพื่อนคู่ใจอย่างเจ้าตะโก้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์รวมสุขกันเสมอ เจ้าตะโก้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ตั้งแต่อ้อยังไม่เกิด มันจึงเป็นเพื่อนที่อ้อรักมากที่สุด เวลาอ้อร้องไห้มันจะมานั่งอยู่ใกล้ๆ เหมือนจะปลอบให้สบายใจ มันไม่เคยรำคาญหรือหนีไปเวลาโดนอ้อแกล้ง มันชอบมาเขย่าประตูปลุกทุกๆ คนในบ้าน แต่จริงๆ แล้วมันน่าจะหิวมากกว่านะ เวลามีเรื่องอะไรอ้อจะชอบเล่าให้มันฟัง โดยเฉพาะความลับที่บอกแม่ไปอาจจะโดนตีนี่แหละ ถือได้ว่าเจ้าตะโก้จะเป็นเพื่อนตัวแรกที่ได้รับรู้เลยก็ว่าได้
เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงวันสุดหรรษา เวลาที่ใครหลายๆ คนหิวโหยจากการเผชิญชีวิตมาได้ครึ่งหนึ่งของวัน หลังจากวิ่งเล่นด้วยกันอย่างเหน็ดเหนื่อย ท้องของอ้อกับเจ้าตะโก้ดูเหมือนว่าต้องการการเติมเต็มด้วยอาหารอันแสนอร่อย “มาเร็วๆ ตะโก้ หาอะไรกินกัน” “หิวจัง...ดูซิว่ามีอะไรให้กินบ้าง” คำพูดที่พลางเดินพลางวิ่งของอ้อ พร้อมกับเจ้าตะโก้เพื่อนคู่ใจที่ตามมาติดๆ
ครัวที่ต้องขึ้นบันไดไปสี่ขั้น ในตู้กับข้าวมีเพียงต้มจับฉ่ายที่ยายพึ่งทำมันเมื่อเช้าเหลืออยู่ในหม้อ “มีต้มจับฉ่ายอย่างเดียวเอง” อ้อพูดขึ้นหลังจากเปิดตู้กับข้าวครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ยกหม้อต้มจับฉ่ายที่ดูสียังน่ากิน เทลงในถ้วยกระเบื้องได้เกือบจะเต็มถ้วย ข้าวสวยที่หุงตั้งแต่เช้าถูกเก็บอยู่ในหม้อ ทำให้มันยังพออุ่นๆ ดูยังน่ากินอยู่ จานกระเบื้องอีกหนึ่งใบกำลังถูกใส่ข้าวจนเต็ม วันนี้อ้อดูจะหิวเป็นพิเศษ อาหารที่ดูเหมือนเยอะตอนนี้มันช่างดูไม่น่าจะพอสำหรับท้องน้อยๆ ของอ้อซะแล้ว
ถ้วยกระเบื้องที่ใส่ต้มจับฉ่ายไว้จนเกือบเต็ม ตอนนี้เหลือเพียงก้นถ้วยเล็กน้อย จานกระเบื้องที่ใส่ข้าวสวย ตอนนี้เหลือเพียงเศษกระดูกซี่โครงหมูที่ถูกกินส่วนเนื้อที่ติดอยู่ไปจนเกือบหมดวางอยู่ในจาน หลังจากที่ท้องน้อยๆ ของอ้อจุมันไว้จนเต็ม “อิ่มจัง...” อ้อพูดพลางเอามือลูบท้อง
“โอ๊ะ!!!” เสียงอุทานที่พึ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนแสนรู้รออยู่ ร่างเล็กๆ รีบนำเศษกระดูกซี่โครงหมูในจานและน้ำต้มจับฉ่ายก้นถ้วยเทลงในกะละมังเก่าๆ ใบไม่ใหญ่มาก ในนั้นมีข้าวก้นหม้อที่ยายตักใส่ไว้ เมื่อผสมทุกอย่างรวมกันแล้ว ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงอันแสนโปรดของเจ้าตะโก้ กระดูกหมูนี่แหละอาหารอันโอชาที่เจ้าสี่ข้าทั้งหลายต่างยกขาหน้าให้ ขบกินเล่นอร่อยไม่มีเบื่อแถมฟันแข็งแรงอีกด้วย
เมื่อเห็นอ้อถือกะละมังใบนั้นมาเจ้าตะโก้ก็ลุกขึ้นทันที หลังจากนอนมองด้วยสายตาอย่างมีความหวังตรงขั้นบันได มันรู้ว่าต้องเป็นอาหารแสนอร่อยที่เฝ้ารอมาแสนนาน ไม่ช้ากะละมังใบนั้นวางลงกับพื้น เจ้าตะโก้วิ่งเข้าไปกินอย่างไม่ลังเล แถมขบของโปรดเสียงดังดูอร่อยจนน่าอิจฉา
มื้อเที่ยงกับอาหารแสนโอชาก็ผ่านพ้นไป ช่วงเวลายามบ่ายที่มาเยือนเหมาะสำหรับการพักผ่อนนอนหลับซะจริงๆ เปลใต้ต้นมะม่วงข้างบ้านถูกจับจอง ร่างเล็กๆ กำลังหลับสบายท่ามกลางสายลมอ่อนๆ ยามบ่าย ภายใต้เปลมีเจ้าสี่ขาคู่ใจนอนอยู่ เวลาล่วงเลยไปสองเพื่อนซี้ยังคงหลับใหล “อ้อ...ลูก” “ตื่นได้แล้ว” “อาบน้ำแต่งตัวไปงานเลี้ยงกับแม่เร็ว” เสียงแม่ของอ้อที่มาปลุก และเสียงนั้นยังปลุกเจ้าตะโก้ให้ตื่นขึ้นพร้อมๆ กัน วันนี้แม่กับอ้อมีนัดไปงานเลี้ยง ที่ถูกจัดขึ้นบริเวณสนามกีฬาข้างโรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งแม่ของอ้อทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ที่นั่นมาห้าปีแล้ว อ้อตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงียก่อนจะลุกจากเปลไปอาบน้ำแต่งตัว
พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ยามเย็นแบบนี้หลายๆ ชีวิตกำลังเตรียมพักผ่อนจากกิจกรรมต่างๆ แต่ถ้าเป็นในเมืองใหญ่ช่วงนี้หละก็ คงแออัดไปด้วยผู้คน และรถติดเป็นแถวยาวเหยียด บ้านสวนที่อยู่นอกเมืองใหญ่ครอบครัวนี้ ต่างกันโดยสิ้นเชิง บรรยากาศอันเงียบสงบได้ยินเสียงพลิ้วไหวของใบไม้อยู่รายรอบ มีเพียงเพื่อนบ้านใกล้ๆ กัน บ้างเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บ้างเห็นแก่ตัว ชีวิตนี้ของใครของมัน อย่างว่า ชีวิตที่แตกต่างความคิดมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
สองแม่ลูกกับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ กำลังจะเคลื่อนออกจากบ้าน “ไปก่อนนะเจ้าตะโก้” “เดี๋ยวเอาของอร่อยมาฝากนะ...” เสียงของอ้อที่บอกกับเจ้าตะโก้ “โฮ่งๆ” เจ้าตะโก้เห่าตอบรับ มันดูดีใจที่จะได้กินของอร่อยๆ มันยืนกระดิกหางไปมาอยู่หน้าบ้าน ก่อนที่แม่และอ้อขับรถออกไป เหมือนมาส่งอ้อและแม่ไปงานเลี้ยง ซึ่งดูจะเป็นเรื่องปกติ เพราะเวลาอ้อจะไปโรงเรียนหรือกลับจากโรงเรียน มันจะมารับมาส่งเป็นประจำทุกวัน หรือไม่ว่าจะเป็นใครที่อยู่ในบ้านต้องมีเจ้าสี่ขาตัวนี้ค่อยรับค่อยส่งอยู่เสมอ
งานเลี้ยงที่ล่วงเลยมานานนับหลายชั่วโมง ทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่ถูกวางเรียงรายดูจะเหลือน้อยเต็มที่ ไม่ช้างานเลี้ยงต้องเลิกราไปเหลือทิ้งไว้แต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ได้ผ่อนคลายจากงานที่หนักมาหลายเดือน “แม่คะ...กลับเถอะค่ะ” อ้อพูดขึ้น “จ้ะๆ......ไปลูกไป” แม่ตอบรับ ก่อนจะพากันลุกจากโต๊ะอาหารไปจับรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ คันเดิมกลับบ้านด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
ที่นอนอุ่นๆ ข้างบ้านที่ถูกปูด้วยผ้าเก่าๆ มีไว้สำหรับเจ้าตะโก้ มันนั่งๆ นอนๆ อยู่นับชั่วโมง พลางมองไปทางหน้าบ้านเหมือนเฝ้ารออะไรบางอย่าง มันคงจะรอเพื่อนซี้ที่ให้สัญญาเอาไว้ เวลาล่วงเลยไปอีกนับหลายชั่วโมงเจ้าตะโก้ยังรออย่างใจใจจ่อ มันลุกเดินไปนอนรออยู่ที่หน้าบ้านได้ไม่นานนัก อาหารแสนอร่อยที่มันรอคอย กระดูกหมูชิ้นใหญ่ต้มมาใหม่ๆ ดูน่ากินวางอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าเจ้าตะโก้ไม่รอช้า มันเข้าไปคาบมาขบกินอย่างเอร็ดอร่อย
.....เสียงรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ ที่คุ้นหูดังมาแต่ไกลและกำลังเข้าใกล้มาเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน อ้อและแม่มาถึง...อ้อมองเห็นเจ้าสี่ขาเพื่อนคู่ใจ
นอนอยู่ จึงลงจากรถด้วยความดีใจพร้อมถุงหิ้วใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาหารและเศษกระดูกที่อ้อตั้งใจเอามาให้เจ้าตะโก้ตามสัญญา “ตะโก้...ของอร่อยมาแล้วจ้ะ” เสียงพูดของอ้อดังขึ้นและกำลังเดินเข้าไปหาเจ้าตะโก้
ลำตัวสีน้ำตาลเข้มนอนตะแคงมองเห็นหน้าแค่ด้านเดียว ปลายหางสีขาวโบกไปมาอย่างแผ่วเบา ขาทั้งสี่ข้างขยับไปมาเป็นระยะ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตมีน้ำใสๆ ไหลออกมา ปากของมันเต็มไปด้วยน้ำลายที่มีแต่ฟองอากาศไหลออกมาอย่างไม่หยุด “แม่ค่ะ!!!...แม่!!...ตะโก้มันเป็นอะไรไม่รู้...” เสียงที่เรียกแม่อย่างตกใจ “ไหนลูก!!...ไหน...แม่ดูหน่อยซิ” แม่ของอ้อพูดพลางรีบลงจากรถมอเตอร์ไซค์เพื่อมาดูมัน “ตะโก้!!!” แม่ของอ้อร้องขึ้นเสียงดัง “ถอยออกมาก่อนนะลูก” “อย่าโดนน้ำลายมันนะ” “มันน่าจะโดนยา” แม่หันไปบอกอ้อ