ก่อนอื่นขอชี้แจงก่อนว่าที่บ้านผมเปิดร้านค้าขายของชำ (โชห่วย) ในเขตชานเมืองมานานหลาย 10 ปี
เมื่อก่อนนี้ มีโต๊ะสนุ๊กเกอร์ให้บริการด้วย แต่ก็ขายโต๊ะทิ้งไปหลายปีแล้ว และเมื่อวานก็เจอลูกค้าที่เคยมีหนี้ที่ร้านค้า
และหานหน้าหายตาไป ไม่ยอมเข้าร้านมา 5-6 ปี กลับเข้ามาซื้อของอีกครั้ง ก็เลยนึกถึงประสบกาณณ์ต่างๆ ที่ผมเคยเจอมา
เอามาบอกเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง เผื่อใครมีร้านค้าเหมือนกัน ได้แชร์ประสบการณ์กันครับ
1. เชื่อของแล้วหายหน้า
ลูกค้าประเภทนี้ หลายราย แรก ๆ จะมาซื้อของด้วยเงินสดก่อน โดยพยายามสร้างเครคิด และพยายามพูดคุยโปรโมทตัวเองว่า ตนเองมีนิสัยไม่ชอบโกงใคร มีความรับผิดชอบสูง หากเชื่อของไปแล้ว จะต้องรีบนำมาจ่ายทันที พอแรก ๆ ที่ร้านปล่อยเชื่อ (เริ่มสนิท,กลัวเสียลูกค้า,เกรงใจ) จะรีบกระวีกระวาดนำเงินมารีบใช้หนี้ในทันที และไม่ลืมที่จะพูดจาสร้างเครดิตให้ตัวเองอีกด้วย
พอที่ร้านเริ่มวางใจ พวกนี้จะออกฤทธิ์ทันที เชื่อไปทีก็หายหน้าไปนานเป็นปี ไม่น่าเชื่อว่าบางคนหนี ไม่ยอมเข้าร้านเพราะติดหนี้ไว้มูลค่าของไม่เกิน 100 บาท ขับรถมอเตอร์ไซด์ผ่านหน้าร้านก็หันไปมองทุ่งนา ดงมะพร้าว ฝั่งตรงข้ามร้าน ไม่มองมาที่ร้านเลย หรือบางคนพาแฟนมาร้าน ตัวเองจอดรถห่างจากร้าน หลบโคนต้นไม้ริมถนน ให้แฟนเดินเข้ามาซื้อของแทน (ที่ร้านมีนโยบาย ใครเชื่อ ก็ทวงเงินจากคนนั้น ไม่ทวงคนอื่นๆ ในครอบครัว)
บางคนไม่มีเงินมาเชื่อที่ร้าน แต่พอมีเงินก็ไปเดินซื้อของในห้างสรรพสินค้า พอพ่อผมไปเจอ และพอเอ่ยถามเบา ๆ (ไม่ได้ทวงเสียงดัง หรือประจานอะไรเลย) ก็ไม่มาเข้าร้านอีกเลย เสียทั้งของ เสียทั้งลูกค้า
2. ยืมเงินแล้วเชิด
ในสมัยมีโต๊ะสนุ๊กเกอร์ เย็น ๆ ค่ำ ๆ ก็จะมีกลุ่มลูกค้าที่แวะเวียนมาที่ร้าน เพื่อมาสังสรรค์ร่ำสุรา และเฮฮากับกีฬาสนุ๊กเกอร์ (ที่มีเดิมพันติดปลายนวม)
บางคนได้ตัง บางคนเสียตัง และไอ้ที่เสียตังนี่แหละ คือประเด็นหลัก เสียตังแล้วแทนที่จะกลับบ้าน กลับมาขอยืมตังที่ร้าน "ขอไปทำทุนต่อ" บางคนก็คืน บางคนก็แทงหนี้สูญรอได้เลย แต่แสบทรวงสุด ๆ ก็คือ พวกทำเนียนยืมตัง มาขอยืมตังที่ร้าน 500 -1000 บาท เอาไปทำทุนสนุ๊กเกอร์ พอเอาเข้าจริง ๆ เล่นแค่ 1-2 ตา (ได้เสียไม่เกิน 100 บาท) พวกก็เลิก เปิดก้นไปเที่ยวร้านอาหาร-ซ่องต่อ โดยใช้เงินของพ่อผม
ระยะหลังมีเหตุการณ์แบบนี้บ่อยขึ้น-ถี่ขึ้น และหนี้พวกนี้ก็สูญเป็นส่วนใหญ่ และนี่เป็นสาเหตุหลักและประเด็นสำคัญที่ทำให้ที่ร้านต้องขายโต๊ะสนุ๊กเกอร์ทิ้งไปเลย
3. แบงค์ชำรุด
อันน็โดนกับตัวผมเลย นอกจากเปิดร้านขายของแล้ว ที่บ้านยังมีปั๊มน้ำมันหลอดแก้วด้วย ซึ่งผมจำได้ฝังใจว่ามีลูกค้ารุ่นพี่มาเติมน้ำมัน และให้แบงค์ 50 ขาดครึ่งท่อนมาให้ผมเป็นค่าน้ำมัน โดยที่ตัวผมเองก็พลาด ไม่ได้เช็คให้ดี กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็เสียรู้และโดนพ่อด่าจมหูไปแล้ว
4. เชื่อคนนั้น จ่ายคนนี้
ที่บ้านมีคนขายของอยู่ 3 คน พ่อ พี่สาว และผม ตอนก่อน ผมและพี่สาวจะต้องไปเรียนเวลา 07.30 ที่บ้านจะเปิดร้านตอน 06.00 ช่วงนี้พ่อจะไม่อยู่ร้าน ปล่อยให้ผมและพี่สาวขายของกันเองก่อน พ่อจะไปซื้อของในตัวเมือง ซึ่งทำให้มีคนขายหลายคน มีลูกค้าท่านหนึ่งไม่แน่ใจว่าลืมจริงหรือตีเนียน ทุก ๆ เช้า แกจะมาสั่งกาแฟกระป๋อง 1 กระป๋อง บุหรี่ 1 ซอง และนั่งยาวจนผมและพี่สาวไปโรงเรียน ซึ่งผมและพี่สาวก็เข้าใจว่าแกคงจะจ่ายเงินกับพ่อ พอระยะนึงผมเอะใจ ก็เลยไปถามพ่อว่าตาคนนี้เคยให้ค่ากาแฟบ้างไหม พ่อตอบว่า เอ้า เวลาหนูหยิบให้เขาไป เขาไม่ได้จ่ายเลยเหรอ ? ทำให้ผมกับพ่อรู้เลยว่าพวกมาเนียนแน่ ๆ พอวันรุ่งขึ้น พ่อเลยถามคุณลูกค้าผู้มีอุปการะคุณว่าจ่ายค่ากาแฟรึยัง ? พวกก็ตบกระเป๋าซ้ายที ขวาที บอกว่าลืมเอาตังมา ติดไว้ก่อน ..พออีกวันในตอนเช้าบอกผมว่า จ่ายแล้วนะ จ่ายกับพ่อ พอผมไปโรงเรียนแล้วก็บอกพ่อว่า จ่ายแล้วนะ จ่ายกับผม ....สุดยอดมาก (ตอนนี้รู้ทันแกแล้ว แกสั่งอะไร ที่ร้านจะจดโน๊ตไว้ตลอด จ่ายกับใครก็มาลบให้ ทุกวันนี้ตาคนนี้เผลอไม่ได้ ต้องระวัง ต้องเช็คกันตลอด)
5. อ้างอิงคนสนิท
4 ประเภทข้างบน ยังต้องชิดซ้ายเมื่อเจอชนิดที่ 5 วัยรุ่นนอกหมู่บ้าน แต่ก็เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว เนื่องจากเจ้าตัวมีประวัติโชกโชนทั้งลักทรัพย์ และยาเสพติด วันหนึ่ง เจ้าตัวมาที่ร้าน มาเติมน้ำมันรถมอเตอร์ไซด์ 2 ลิตร และบอกว่าตนเองไม่มีเงิน แต่ตนเอง (สมมุติชื่อ นายเอ) เอาสายโทรศัพท์มาขายให้ลุงบี
ซึ่งถ้าเอ่ยชื่อลุงบี ผมรู้จักเป็นอย่างดี เพราะลุงบีเป็นเพื่อนที่สนิทของพ่อผม นายเอ (มีศักดิเป็นหลานลุงบีด้วย) อ้างว่า ลุงบีให้เอารถมาเติมน้ำมันได้ที่นี่ เดี๋ยวลุงบีมาจ่ายเอง.....
แน่นอน อีกวันนึงลุงบีมาที่ร้าน พอผมทวงค่าน้ำมันจากลุงบี ลุงบีถึงกับงง พร้อมกับเอ่ยว่า "ไอ้หลานเอ้ยยย ไม่น่าทำลุงเลย" ลุงบีก็เลยเล่าให้ฟังต่อว่า นายเอมาหาลุงบีจริง บอกว่าตัวเองมีสายโทรศัพท์ที่เหลือใช้ (บ้านคนทำกล้วยไม้จะใช้สายโทรศัพท์มัดต้นกล้วยไม้) เลยจะเอามาขายต่อให้ คิดเป็นเงิน 4,500 บาท นายเอถามว่าลุงบีจะเอาไหม ลุงบีตอบตกลง นายเอก็เลยขอเอาเงินไปเลย แล้วเดี๋ยวจะขนสายมาให้ ปรากฎว่า ลุงบีก็รอไปเถอะ นายเอก็ไม่มา แถมยังเอาชื่อลุงบีมาอ้างเชื่อน้ำมันไปอีก
6. สั่งของเพิ่ม
ข้อนี้ก็เป็นวีรกรรมของนายเอ คนเก่าเจ้าเดิมจากข้อ 5 หลังจากก่อวีรกรรมในข้อ 5 ไว้ นายเอก็หายหน้าหายตาไปนานมาก ๆ จนวันนึง นายเอแวะมาเติมน้ำมันที่ร้าน (ปั๊มหลอดแก้วอยู่ห่างจากบ้าน 10 เมตร ไม่ได้อยู่ในเขตบ้าน เนื่องจากการเป็นข้อกำหนดในการขอใบอนุญาตเปิดร้านค้า เพื่อป้องกันอันตรายจากวัตถุไวไฟ) ซึ่งผมก็เป็นคนไปเติมให้ พอเติมเสร็จ คิดเงิน นายเอทำท่าล้วงกระเป๋ากางเกงจะหยิบเงิน แต่แล้วก็ทำท่าทางนึกอะไรบางอย่าง สุดท้ายก้บอกผมว่า "น้อง พี่ซื้อบุหรี่ซองนึง" พอผมเดินกลับเข้าบ้านไปหยิบบุหรี่ พวกก็สตาร์ทรถเปิดก้นแน่บก่อนไป....แน่นอน ผมโดนด่าตามระเบีบย เสียรู้นายเอเป็นครั้งที่ 2 จนได้ (แต่ผมก็ได้ประสบกาณ์จากนายเอ ทุกวันนี้ผมไปเติมน้ำมัน ถ้าเป็นวัยรุ่น ดูไม่น่าไว้ใจ ถ้าไม่ควักตังมาให้เห็น ไม่ส่งเงินมาให้ ผมไม่ปล่อยน้ำมันให้เป็นอันขาด เข็ดเลย)
แท็คติกของลูกค้ากับร้านขายของชำ จากประสบการณ์ของผม
เมื่อก่อนนี้ มีโต๊ะสนุ๊กเกอร์ให้บริการด้วย แต่ก็ขายโต๊ะทิ้งไปหลายปีแล้ว และเมื่อวานก็เจอลูกค้าที่เคยมีหนี้ที่ร้านค้า
และหานหน้าหายตาไป ไม่ยอมเข้าร้านมา 5-6 ปี กลับเข้ามาซื้อของอีกครั้ง ก็เลยนึกถึงประสบกาณณ์ต่างๆ ที่ผมเคยเจอมา
เอามาบอกเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง เผื่อใครมีร้านค้าเหมือนกัน ได้แชร์ประสบการณ์กันครับ
1. เชื่อของแล้วหายหน้า
ลูกค้าประเภทนี้ หลายราย แรก ๆ จะมาซื้อของด้วยเงินสดก่อน โดยพยายามสร้างเครคิด และพยายามพูดคุยโปรโมทตัวเองว่า ตนเองมีนิสัยไม่ชอบโกงใคร มีความรับผิดชอบสูง หากเชื่อของไปแล้ว จะต้องรีบนำมาจ่ายทันที พอแรก ๆ ที่ร้านปล่อยเชื่อ (เริ่มสนิท,กลัวเสียลูกค้า,เกรงใจ) จะรีบกระวีกระวาดนำเงินมารีบใช้หนี้ในทันที และไม่ลืมที่จะพูดจาสร้างเครดิตให้ตัวเองอีกด้วย
พอที่ร้านเริ่มวางใจ พวกนี้จะออกฤทธิ์ทันที เชื่อไปทีก็หายหน้าไปนานเป็นปี ไม่น่าเชื่อว่าบางคนหนี ไม่ยอมเข้าร้านเพราะติดหนี้ไว้มูลค่าของไม่เกิน 100 บาท ขับรถมอเตอร์ไซด์ผ่านหน้าร้านก็หันไปมองทุ่งนา ดงมะพร้าว ฝั่งตรงข้ามร้าน ไม่มองมาที่ร้านเลย หรือบางคนพาแฟนมาร้าน ตัวเองจอดรถห่างจากร้าน หลบโคนต้นไม้ริมถนน ให้แฟนเดินเข้ามาซื้อของแทน (ที่ร้านมีนโยบาย ใครเชื่อ ก็ทวงเงินจากคนนั้น ไม่ทวงคนอื่นๆ ในครอบครัว)
บางคนไม่มีเงินมาเชื่อที่ร้าน แต่พอมีเงินก็ไปเดินซื้อของในห้างสรรพสินค้า พอพ่อผมไปเจอ และพอเอ่ยถามเบา ๆ (ไม่ได้ทวงเสียงดัง หรือประจานอะไรเลย) ก็ไม่มาเข้าร้านอีกเลย เสียทั้งของ เสียทั้งลูกค้า
2. ยืมเงินแล้วเชิด
ในสมัยมีโต๊ะสนุ๊กเกอร์ เย็น ๆ ค่ำ ๆ ก็จะมีกลุ่มลูกค้าที่แวะเวียนมาที่ร้าน เพื่อมาสังสรรค์ร่ำสุรา และเฮฮากับกีฬาสนุ๊กเกอร์ (ที่มีเดิมพันติดปลายนวม)
บางคนได้ตัง บางคนเสียตัง และไอ้ที่เสียตังนี่แหละ คือประเด็นหลัก เสียตังแล้วแทนที่จะกลับบ้าน กลับมาขอยืมตังที่ร้าน "ขอไปทำทุนต่อ" บางคนก็คืน บางคนก็แทงหนี้สูญรอได้เลย แต่แสบทรวงสุด ๆ ก็คือ พวกทำเนียนยืมตัง มาขอยืมตังที่ร้าน 500 -1000 บาท เอาไปทำทุนสนุ๊กเกอร์ พอเอาเข้าจริง ๆ เล่นแค่ 1-2 ตา (ได้เสียไม่เกิน 100 บาท) พวกก็เลิก เปิดก้นไปเที่ยวร้านอาหาร-ซ่องต่อ โดยใช้เงินของพ่อผม
ระยะหลังมีเหตุการณ์แบบนี้บ่อยขึ้น-ถี่ขึ้น และหนี้พวกนี้ก็สูญเป็นส่วนใหญ่ และนี่เป็นสาเหตุหลักและประเด็นสำคัญที่ทำให้ที่ร้านต้องขายโต๊ะสนุ๊กเกอร์ทิ้งไปเลย
3. แบงค์ชำรุด
อันน็โดนกับตัวผมเลย นอกจากเปิดร้านขายของแล้ว ที่บ้านยังมีปั๊มน้ำมันหลอดแก้วด้วย ซึ่งผมจำได้ฝังใจว่ามีลูกค้ารุ่นพี่มาเติมน้ำมัน และให้แบงค์ 50 ขาดครึ่งท่อนมาให้ผมเป็นค่าน้ำมัน โดยที่ตัวผมเองก็พลาด ไม่ได้เช็คให้ดี กว่าจะรู้ตัวอีกที ผมก็เสียรู้และโดนพ่อด่าจมหูไปแล้ว
4. เชื่อคนนั้น จ่ายคนนี้
ที่บ้านมีคนขายของอยู่ 3 คน พ่อ พี่สาว และผม ตอนก่อน ผมและพี่สาวจะต้องไปเรียนเวลา 07.30 ที่บ้านจะเปิดร้านตอน 06.00 ช่วงนี้พ่อจะไม่อยู่ร้าน ปล่อยให้ผมและพี่สาวขายของกันเองก่อน พ่อจะไปซื้อของในตัวเมือง ซึ่งทำให้มีคนขายหลายคน มีลูกค้าท่านหนึ่งไม่แน่ใจว่าลืมจริงหรือตีเนียน ทุก ๆ เช้า แกจะมาสั่งกาแฟกระป๋อง 1 กระป๋อง บุหรี่ 1 ซอง และนั่งยาวจนผมและพี่สาวไปโรงเรียน ซึ่งผมและพี่สาวก็เข้าใจว่าแกคงจะจ่ายเงินกับพ่อ พอระยะนึงผมเอะใจ ก็เลยไปถามพ่อว่าตาคนนี้เคยให้ค่ากาแฟบ้างไหม พ่อตอบว่า เอ้า เวลาหนูหยิบให้เขาไป เขาไม่ได้จ่ายเลยเหรอ ? ทำให้ผมกับพ่อรู้เลยว่าพวกมาเนียนแน่ ๆ พอวันรุ่งขึ้น พ่อเลยถามคุณลูกค้าผู้มีอุปการะคุณว่าจ่ายค่ากาแฟรึยัง ? พวกก็ตบกระเป๋าซ้ายที ขวาที บอกว่าลืมเอาตังมา ติดไว้ก่อน ..พออีกวันในตอนเช้าบอกผมว่า จ่ายแล้วนะ จ่ายกับพ่อ พอผมไปโรงเรียนแล้วก็บอกพ่อว่า จ่ายแล้วนะ จ่ายกับผม ....สุดยอดมาก (ตอนนี้รู้ทันแกแล้ว แกสั่งอะไร ที่ร้านจะจดโน๊ตไว้ตลอด จ่ายกับใครก็มาลบให้ ทุกวันนี้ตาคนนี้เผลอไม่ได้ ต้องระวัง ต้องเช็คกันตลอด)
5. อ้างอิงคนสนิท
4 ประเภทข้างบน ยังต้องชิดซ้ายเมื่อเจอชนิดที่ 5 วัยรุ่นนอกหมู่บ้าน แต่ก็เป็นที่รู้จักกันไปทั่ว เนื่องจากเจ้าตัวมีประวัติโชกโชนทั้งลักทรัพย์ และยาเสพติด วันหนึ่ง เจ้าตัวมาที่ร้าน มาเติมน้ำมันรถมอเตอร์ไซด์ 2 ลิตร และบอกว่าตนเองไม่มีเงิน แต่ตนเอง (สมมุติชื่อ นายเอ) เอาสายโทรศัพท์มาขายให้ลุงบี
ซึ่งถ้าเอ่ยชื่อลุงบี ผมรู้จักเป็นอย่างดี เพราะลุงบีเป็นเพื่อนที่สนิทของพ่อผม นายเอ (มีศักดิเป็นหลานลุงบีด้วย) อ้างว่า ลุงบีให้เอารถมาเติมน้ำมันได้ที่นี่ เดี๋ยวลุงบีมาจ่ายเอง.....
แน่นอน อีกวันนึงลุงบีมาที่ร้าน พอผมทวงค่าน้ำมันจากลุงบี ลุงบีถึงกับงง พร้อมกับเอ่ยว่า "ไอ้หลานเอ้ยยย ไม่น่าทำลุงเลย" ลุงบีก็เลยเล่าให้ฟังต่อว่า นายเอมาหาลุงบีจริง บอกว่าตัวเองมีสายโทรศัพท์ที่เหลือใช้ (บ้านคนทำกล้วยไม้จะใช้สายโทรศัพท์มัดต้นกล้วยไม้) เลยจะเอามาขายต่อให้ คิดเป็นเงิน 4,500 บาท นายเอถามว่าลุงบีจะเอาไหม ลุงบีตอบตกลง นายเอก็เลยขอเอาเงินไปเลย แล้วเดี๋ยวจะขนสายมาให้ ปรากฎว่า ลุงบีก็รอไปเถอะ นายเอก็ไม่มา แถมยังเอาชื่อลุงบีมาอ้างเชื่อน้ำมันไปอีก
6. สั่งของเพิ่ม
ข้อนี้ก็เป็นวีรกรรมของนายเอ คนเก่าเจ้าเดิมจากข้อ 5 หลังจากก่อวีรกรรมในข้อ 5 ไว้ นายเอก็หายหน้าหายตาไปนานมาก ๆ จนวันนึง นายเอแวะมาเติมน้ำมันที่ร้าน (ปั๊มหลอดแก้วอยู่ห่างจากบ้าน 10 เมตร ไม่ได้อยู่ในเขตบ้าน เนื่องจากการเป็นข้อกำหนดในการขอใบอนุญาตเปิดร้านค้า เพื่อป้องกันอันตรายจากวัตถุไวไฟ) ซึ่งผมก็เป็นคนไปเติมให้ พอเติมเสร็จ คิดเงิน นายเอทำท่าล้วงกระเป๋ากางเกงจะหยิบเงิน แต่แล้วก็ทำท่าทางนึกอะไรบางอย่าง สุดท้ายก้บอกผมว่า "น้อง พี่ซื้อบุหรี่ซองนึง" พอผมเดินกลับเข้าบ้านไปหยิบบุหรี่ พวกก็สตาร์ทรถเปิดก้นแน่บก่อนไป....แน่นอน ผมโดนด่าตามระเบีบย เสียรู้นายเอเป็นครั้งที่ 2 จนได้ (แต่ผมก็ได้ประสบกาณ์จากนายเอ ทุกวันนี้ผมไปเติมน้ำมัน ถ้าเป็นวัยรุ่น ดูไม่น่าไว้ใจ ถ้าไม่ควักตังมาให้เห็น ไม่ส่งเงินมาให้ ผมไม่ปล่อยน้ำมันให้เป็นอันขาด เข็ดเลย)