เป็นทหาร(เกณฑ์)ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่มันน่ากลัวยิ่งกว่าที่ไม่ได้คิด1

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ผมขออนุญาติเขียนแบ่งปันประสบการณ์เรื่องราวในการเป็นทหาร(เกณฑ์) ของผมครับ กำลังฝึกเขียนและเรียบเรียงด้วยครับ

ซึ่งอาจจะดูไม่ค่อยไม่ค่อยมีสาระอะไรมากมายแค่อยากแบ่งประสบการณ์ให้ทุกท่านที่กำลังจะเข้าสู่การรับใช้ชาติ หรือคนที่เคยผ่านมา และทุกๆคนได้อ่าน

"ชายที่มีสัญชาติไทย เมื่ออายุย่างเข้า 18 ปี บริบูรณ์ในพุทธศักราชใด ต้องไปแสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกินภายในพุทธศักราชนั้น [1] ที่อำเภอท้องที่ที่มีภูมิลำเนาอยู่โดยจะได้รับใบสำคัญ สด. ๙ เมื่อลงบัญชี ณ อำเภอใดแล้ว อำเภอนั้นจะเป็นภูมิลำเนาทหารของทหารกองเกินผู้นั้น ภูมิลำเนาทหารเป็นภูมิลำเนาเฉพาะไม่เกี่ยวข้องกับทะเบียนบ้านหรือสำมะโนครัว การจะย้ายภูมิลำเนาทหารต้องกระทำที่อำเภอแยกต่างหากจากการย้ายภูมิลำเนาตามทะเบียนราษฎร ทหารกองเกินที่ย้ายทะเบียนราษฎร์จะย้ายภูมิลำเนาทหารด้วยหรือไม่ก็ได้ แต่มีหน้าที่แจ้งต่อนายอำเภอทุกครั้งที่ไปอยู่ต่างถิ่นเป็นเวลาเกินกว่า 30 วัน[2] หากไม่แจ้งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินสองร้อยบาท"

อ้างอิงจาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2

เชื่อว่าชายทุกท่านที่อายุเข้า 17 ปี ทุกคนจะมีประสบการณ์แบบนี้ครับ คือการขึ้นทะเบียนทหาร รายละเอียดลองเข้าไปอ่านได้ครับ ตรงนี้จะไม่พูดมาก

ความรู้สึกแรกที่ผมยังจำได้คือ เราเริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้วเหรอ? เราต้องออกรบหรือไม่(3จว.ใต้) ?? ฯลฯ

ก็มีเวลาให้นั่งคิดอีก 4 ปีก่อนจะอายุ 21ปี พอถึงวันที่ผมต้องเข้ารับการคัดเลือกตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ชั้น ป.ตรี ปี3 จึงยื่นขอผ่อนผันออกไปอีก1 ปี

แล้วปีหน้าค่อยมาใหม่ เพื่อนผมที่เรียนด้วยกันก็ทำเหมือนกัน แต่มีหลายคนติงมา (คนที่เรียน รด.) บอกว่า "จับเลย ผ่อนผันทำไม"

เอ่ ยังไง ทำไมถึงพูดอย่างนั้น มาทราบคราวหลังว่า คนที่เรียน รด.ปี3 ไม่ต้องรับการคัดเลือก  ต่อ อืม มันยังไงนะ ก็ไม่เป็นไร เขาจะพูดยังไงก็ช่าง

ตอนเพื่อนชวนเรียน รด.ตอน ม.ปลาย ไม่ได้สนใจ เพราะไม่ชอบฝึกอะไรอย่างนั้น ตอนนั้นเรียนลูกเสือช่วงมัธยม ครูที่เป็นครูสอนลูกเสือ เคยเป็นทหาร

มาก่อน การฝึกลูกเสือจึงคล้ายๆการฝึกทหารย่อมๆ ซึ่งผมเจอมาก็ขยาด จึงไม่เข้าเรียน รด. พอถึงเวลาจะเกณฑ์ทหารจริงนึกเสียดายแต่ไม่เป็นไร

"เอาน่ายังเหลือเวลาอีกตั้งปีหนึ่ง"  ได้แต่ปลอบใจตัวเองกับเพื่อนอีกคนที่ประสบชะตากรรมเดียวกัน เพราะในชั้นปีผมในมหาลัยนั้น เกินครึ่งเรียน รด.

และอีกส่วนเป็นคนที่มีอายุมาเรียน ก็ผ่านการเกณฑ์มาแล้วและได้ใบดำ และอีกจำพวกคือคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจึงได้รับการ "ยกเว้น"

อันนั้นผมไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ทางเหนือจะมีเยอะมากครับ โดยเฉพาะพี่น้องชาวไทยภูเขา อันนี้ผมขอพูดตามความเข้าใจ คือว่า จากที่เคยได้ยินมา

ในสมัยก่อนยังมีชาวไทยภูเขาจำนวนหนึ่งที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์ และคนที่อพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น ผู้ชายจะได้รับการ

ยกเว้นไม่ต้องเข้ารับราชการทหาร ซึ่งผมคิดว่าคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคง เพื่อนผมมีอีกส่วนที่เป็นคนจำพวกนี้ครับ เอาละ หนึ่งปีผ่านไปเร็วมาก

ถึงวันที่ต้องจับฉลาก อำเภอที่ผมขึ้นทะเบียนนั้นของจังหวัดเชียงราย ต้องรับการจับฉลากทุกวันที่ 1 เมษายนของทุกปี และอำเภออื่นๆถัดๆไป

วันที่ผมไปนั้นไปเอง ไม่มีญาติหรือใครไปด้วยทั้งนั้น ถามว่าน้อยใจมั้ย? ไม่เลยครับ ดีซะอีกจะได้ฝึกความอดทนขั้นแรกในการเผชิญชีวิตเอง

ครับ มาถึงอันดับแรกก็ต้องตรวจสอบว่าปีนี้มีคนเข้ารับกี่คน และปีนั้น จทบ.ต้องการทหารกี่คน ปีผมถ้าจำไม่ผิดคือมีคนเข้ารับการตรวจทั้งหมด

สองร้อยเกือบสามร้อย และต้องการทหารอยู่ 49 คน หลายคนอาจจะคิดว่า "โหคนจับตั้ง สามร้อยเอาแค่ ไม่ถึงห้าสิบน้อยจัง"

แต่อย่าเพิ่งครับ ความคิดนี้ผมก็เข้าใจอย่างนั้นจนถึงเวลาจริง คือสองสามร้อยคนนี้ คือคนที่ต้องเข้ามารับการคัดเลือก ไม่ใช่คนที่จะจับ

ซึ่งเมื่อถึงเวลาคัดเลือก ก็จะคัดออกประมาณนี้ครับ

1.คนที่ยื่นขอการผ่อนผัน เนื่องจากยังเรียนไม่จบ และด้วยเหตุผลอื่นๆที่กองทัพอนุญาติ พวกนี้จะหายไปแล้ว ของปีผมนั้น ประมาณ132 คน

2.คนที่ไม่ได้ขนาด คือ ส่วนสูงไม่ถึง 159 ซม. และรอบอกไม่ถึง 75 ซม. นี่ก็จะหายไปอีกเยอะ

3.คนที่มีรูปร่างและโรคประจำตัวที่ไม่เหมาะแก่การรับราชการ คนที่ค่า BMI เกิน 35 จะไม่ได้เป็น ส่วนของผมอยู่ที่ 33

แต่ค่า BMI ต้องเกินเท่าไรไม่แน่ใจครับ และคนที่มีโรคประจำตัวร้ายแรง และมีใบรับรองแพทย์ จากโรงพยาบาล(ค่าย) ว่าไม่สามารถรับราชการ

ทหารได้ คนพวกนี้ก็หายไปอีกเยอะ

4.คนที่สมัคร หลายท่านอาจงงว่าทำไม คือผมขอบอกงี้ครับ ถ้าปีนั้นต้องการทหารอยู่ 50 คน แต่มีคนสมัครไปแล้ว 10 คน ใบแดงก็จะลดลง คนจับก็

จะลดลงด้วย ซึ่งในปีของผมนั้นมีคนสมัคร 19 คน 17คนเต็มใจสมัคร อีกสองคนถูกบังคับสมัครเพราะหนีการคัดเลือกมาปีก่อน ถ้าไม่สมัคร

ก็ต้องติดคุกครับ

5.คนที่เรียน รด.ปี3 ขึ้นไป และคนที่ได้รับการยกเว้นอีกต่างๆ เยอะแยะมากมาย

ก็ประมาณนี้ครับ

สรุปแล้วทั้งหมดทั้งสิ้นของปีที่ผมจับคือ 120 คน ส่วนใบแดงเหลือ 28 ใบ ว้าวโอกาสจะไม่โดนมีนะ ซึ่งก่อนจับ คณะกรรมการสัสดีจังหวัด

จะเรียกกำนันของแต่ละตำบล ซึ่งอำเภอผมมีแค่ 5 ตำบล และพวกผ่อนผันอีก ออกมาจับสลากว่าตำบลไหนจะได้จับก่อน

ของผมคือตำบลที่ 3 ครับ

ถึงเวลาที่รอคอย เวลานี้ใครมีของดีอะไร งัดออกมากันนัว ไหว้นู้นนั้นที คราวนี้ คณะกรรมการก็จะขานชื่อคนแรก อำเภอผมใบแดงออกตั้งแต่ใบแรก

"ทบ.1ชม" ขอธิบายนิดหนึ่งก่อนที่เราจะจับนั้นคณะกรรมการก็จะบอกเราก่อนว่าปี้นี้ มีทหารจากที่ไหนที่ต้องการบ้างใน 49 คน ซึ่งเชียงรายจะมีแค่ ทบ.

ก็จะมีสามที่ครับ คือ เชียงราย พะเยา เชียงใหม่

พอคนแรกออกใบแดงเท่านั้นผมก็ดีใจใหญ่ อะหายไปละหนึ่ง เราตำบลที่สามสบายเลย ใบแดงออกมาอีกติดๆกันเรื่อย จนหยุดที่สิบต้น และพวกผม

ตำบลที่สามก็ออกไป ใจตอนนั้นผมคิดอย่างเดียวเลยว่าเป็นแน่ ความคิดตลอดทั้งวันนั้นของผมมีแต่คำว่าเป็นอย่างเดียว ติดอย่างเดียว

เอา คนหน้าผมสามคนติดหมดเลย ทบ.นู้นนี่นั้น หนึ่งสองหนึ่งสอง จนมาถึงผม ทบ.2 ชม. สายตาผมตอนนั้นเหลือไปเห็นพ่อพอดี ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าแกมา

เมื่อไร แกยิ้มให้ (เชอะดีใจละซิ อิอิ) พ่อผมอยากให้ผมเป็นครับ เพราะตระกูลผมตั้งแต่ปู่มายังไม่มีใครเคยเป็นทหารเลย ผมคนแรกดีใจละซิ

พอเสร็จแล้วก็ ต้องเอาเอกสารของเรา สด.40 ไปยื่นให้คณะกรรมการเพื่อบันทึกผลการจับฉลากซึ่ง คนได้ดำ ไปอีกที่ คนได้แดงก็ไปอีกที่แยกกัน

เมื่อเซ็นอะไรเสร็จ ผมก็ต้องยื่นหนังสือการสำเร็จการศึกษาด้วย ซึ่ง คณะกรรมการสัสดีจังหวัดจะย้ำถามว่า "จบก่อนวันจับมั้ย" ถ้าในหนังสือรับรอง

ของเราระบุไว้ว่าจบวันไหน ถ้าจบก่อนวันจับก็จะสามารถขอลดหน่อยการรับราชการได้ แต่ถ้าจบหลังจากวันจับต้องเป็นสองปีเต็มครับ

ของผมใน Transcript นั้นระบุไว้คือ 30 มีนาคม ซึ่งก่อนวันจับคือ 1เมษายน ฉะนั้นผมจึงยื่นขอลดสิทธิ์การรับราชการจากสองปีหรือหนึ่งปีครับ

ขอเพิ่มเติมนิดหน่อย ในส่วนของคนที่สมัคร ถ้าจบ ปวส.ขึ้นไป จะได้รับสิทธิ์ในการขอลดหย่อนเป็นแค่ 6 เดือน และ1 ปีสำหรับคนที่จบ ปวส.ขึ้นไปแต่จับ

ใบแดงได้เท่านั้น (ซึ่งต้องยื่นคำร้องก่อนจับนะครับ)

จากนั้นก็ออกมา และกลับไปทำงานตามปกติ ชีวิตผมหลังจากนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไร ผมต้องไปทำงานไกลบ้านคือ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี แฟน

ในตอนนั้นอยู่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ผมกับแฟนเริ่มห่างกันมากขึ้น เขาก็เริ่มมองเห็นอนาคตของผม ซึ่งเราได้คุยกัน และผมได้ไปเยี่ยมบ้านเขา

และเราก็ขอจากกันโดยดี ของผมนี่เลิกกับแฟนก่อนจะมาเป็นทหารหลายเดือน

แหม พล่ามมาซะยาว อันนี้เป็นประสบการณ์วันก่อนจะเข้าไปใช้ชีวิตในค่ายอีก 11 สัปดาห์

วันนี้ขอพอเท่านี้ก่อนยังไงจะมาเขียนภาคต่อนะครับ ขอบคุณทุกท่านครับ
(แท๊กไม่ถูกแนะนำด้วยนะครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่