สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 54
คนไทยส่วนใหญ่ไม่อยากเป็นลูกน้อง ไม่อยากเป็นลูกจ้าง มองว่าโดนกดขี่
จะโทษลูกน้องอย่างเดียวก็ไม่ได้ เจ้านายบริษัทในไทยส่วนใหญ่ก็มองลูกน้องเป้นลูกน้องจริงๆ
จะเห็นความสำคัญก็ตอนจะลาออกแล้วเท่านั้นแหละ แต่ถ้าได้คนใหม่ก็ไม่สนใจ
ในขณะที่ต่างประเทศจะให้ความสำคัญมาก เป็นส่วนนึงของบริษัท (ถึงแม้จะเสแสร้งหรือไม่ก็ตาม)
ดูแลทุกอย่างของพนักงานในบริษัท รวมไปถึงครอบครัว
อีกอย่างคนไทยส่วนมากจะคิดเหมือนคห.บนๆ คือทำไปก็เท่านั้น เจ้าของรวย เราไม่ได้รวยหนิ
ถ้าทุกคนคิดแบบนี้หมด ต่อให้คุณเป็นเจ้าของกิจการ แล้วใครจะมาเป็นลูกจ้าง
บริษัทใหญ่ๆอย่าง google, apple ก็ไม่ได้เกิดหรอกครับ เพราะบริษัทเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะมีผู้นำที่ดี
ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะมีภาวะการเป็นผู้นำที่ดี คุณขาดตรงนี้บริษัทคุณก็ไม่ไปไหนอยู่ดี
แทนที่จะมีบริษัทยิ่งใหญ่ แข็งแรงสัก สองสามบริษัท กลายเป็นว่าได้บริษัทอ่อนๆไปร้อยบริษัท ไม่ส่งผล GDPประเทศเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่างที่สำคัญมากๆ มันผิดพลาดมาตั้งแต่ระบบการศึกษาของไทยแล้ว
คนส่วนมากไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยในด้านที่ตัวเองอยากเรียน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนอะไร
ตอนเรียนมัธยมเรียนไปเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ แต่แทบจะไม่พูดถึงอาชีพว่าเด็กอยากทำอะไร
บางคนเรียนมหาลัยจะจบแล้วยังไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วชอบอะไร เพราะตอนเข้ามาขอให้ติดมหาวิทยาลัยมีชื่อไว้ก่อน
พอจบออกมาก็ไม่อยากทำ เพราะไม่ได้มีความชอบในงาน หรือฝรั่งเค้าเรียกว่า passion ในสิ่งที่ตัวเองทำ
ในขณะที่ต่างชาติเค้าเน้นการค้นหาตัวเองตั้งแต่สมัยมัธยม บางอาชีพไม่จำเป็นต้องเรียนต่อมหาวิทยาลัย
การเป็นพนักงานออฟฟิศของเค้าจึงมีความสุขกว่าเรามาก เพราะเค้ารักในงานที่เค้าทำ
อย่างบริษัทใหญ่ๆทั้งหลายแหล่ พวกเค้ารู้สึกภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้เป็นส่วนนึง
CEO ทั้งหลายแหล่ก็ใต่เต้ามาจากระดับล่างๆทั้งนั้น ดังนั้นคำที่ว่าทำไปก็มีแต่เจ้าของรวยจึงใช้ได้แต่ประเทศนี้เท่านั้น
ลองถามหลายๆคนที่ได้ทำงานที่ตัวเองใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กสิครับ ว่าเค้ารู้สึกยังไงที่ต้องเป็นมนุษย์เงินเดือน
คำตอบคือรู้สึกดี ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ ทำแล้วสนุกแถมยังได้เงินทุกเดือนด้วยซ้ำ 55
คนพวกนี้ต่อให้ได้เป็น CEO หรือเจ้าของกิจการ ตัวเองก็จะลงมาทำงานด้วยกับลูกน้องอยู่ดีครับ
บางทีทำมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นส่วนนึงขอชีวิตไปแล้ว
คำว่า passion ในการทำงานนี่แหละครับ ที่คนไทยส่วนใหญ่ขาดไป
จะโทษลูกน้องอย่างเดียวก็ไม่ได้ เจ้านายบริษัทในไทยส่วนใหญ่ก็มองลูกน้องเป้นลูกน้องจริงๆ
จะเห็นความสำคัญก็ตอนจะลาออกแล้วเท่านั้นแหละ แต่ถ้าได้คนใหม่ก็ไม่สนใจ
ในขณะที่ต่างประเทศจะให้ความสำคัญมาก เป็นส่วนนึงของบริษัท (ถึงแม้จะเสแสร้งหรือไม่ก็ตาม)
ดูแลทุกอย่างของพนักงานในบริษัท รวมไปถึงครอบครัว
อีกอย่างคนไทยส่วนมากจะคิดเหมือนคห.บนๆ คือทำไปก็เท่านั้น เจ้าของรวย เราไม่ได้รวยหนิ
ถ้าทุกคนคิดแบบนี้หมด ต่อให้คุณเป็นเจ้าของกิจการ แล้วใครจะมาเป็นลูกจ้าง
บริษัทใหญ่ๆอย่าง google, apple ก็ไม่ได้เกิดหรอกครับ เพราะบริษัทเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะมีผู้นำที่ดี
ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะมีภาวะการเป็นผู้นำที่ดี คุณขาดตรงนี้บริษัทคุณก็ไม่ไปไหนอยู่ดี
แทนที่จะมีบริษัทยิ่งใหญ่ แข็งแรงสัก สองสามบริษัท กลายเป็นว่าได้บริษัทอ่อนๆไปร้อยบริษัท ไม่ส่งผล GDPประเทศเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่างที่สำคัญมากๆ มันผิดพลาดมาตั้งแต่ระบบการศึกษาของไทยแล้ว
คนส่วนมากไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยในด้านที่ตัวเองอยากเรียน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนอะไร
ตอนเรียนมัธยมเรียนไปเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ แต่แทบจะไม่พูดถึงอาชีพว่าเด็กอยากทำอะไร
บางคนเรียนมหาลัยจะจบแล้วยังไม่รู้เลยว่าจริงๆแล้วชอบอะไร เพราะตอนเข้ามาขอให้ติดมหาวิทยาลัยมีชื่อไว้ก่อน
พอจบออกมาก็ไม่อยากทำ เพราะไม่ได้มีความชอบในงาน หรือฝรั่งเค้าเรียกว่า passion ในสิ่งที่ตัวเองทำ
ในขณะที่ต่างชาติเค้าเน้นการค้นหาตัวเองตั้งแต่สมัยมัธยม บางอาชีพไม่จำเป็นต้องเรียนต่อมหาวิทยาลัย
การเป็นพนักงานออฟฟิศของเค้าจึงมีความสุขกว่าเรามาก เพราะเค้ารักในงานที่เค้าทำ
อย่างบริษัทใหญ่ๆทั้งหลายแหล่ พวกเค้ารู้สึกภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้เป็นส่วนนึง
CEO ทั้งหลายแหล่ก็ใต่เต้ามาจากระดับล่างๆทั้งนั้น ดังนั้นคำที่ว่าทำไปก็มีแต่เจ้าของรวยจึงใช้ได้แต่ประเทศนี้เท่านั้น
ลองถามหลายๆคนที่ได้ทำงานที่ตัวเองใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กสิครับ ว่าเค้ารู้สึกยังไงที่ต้องเป็นมนุษย์เงินเดือน
คำตอบคือรู้สึกดี ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ ทำแล้วสนุกแถมยังได้เงินทุกเดือนด้วยซ้ำ 55
คนพวกนี้ต่อให้ได้เป็น CEO หรือเจ้าของกิจการ ตัวเองก็จะลงมาทำงานด้วยกับลูกน้องอยู่ดีครับ
บางทีทำมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นส่วนนึงขอชีวิตไปแล้ว
คำว่า passion ในการทำงานนี่แหละครับ ที่คนไทยส่วนใหญ่ขาดไป
ความคิดเห็นที่ 49
เพราะคนที่ทำงานกินเงินเดือนส่วนมากไม่มีประสบการณ์ครับ(ไม่ได้ดูถูกนะครับ ให้เกียรติและเป็นห่วงมากๆ) คือผ่านโลกมาน้อย และมักจะคิดว่าโลกนี้มักจะเป็นไปตามฝันตนเอง(โลกสวยว่างั้น) คิดว่าที่เราทำน่าจะโอ ก็ลุยเลย และจากการที่โลกสวย ก็เลยส่งผลให้ทำการบ้านน้อย คิด+วางแผนยังไม่ถึง End of business cycle ก็จัดละ เอาเงิน 6 แสน(น่าจะเก็บได้จากการทำงานราว 8-10ปี) ไปลุย โดยไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้
*ใครจะซื้อ
*ใครเป็นคู่แข่งบ้าง
*จะ copy กุแล้วตั้งข้างๆร้านกุ แต่พ่อมันรวย... ดั้มราคาแข่ง...แถมชนะกุด้วย ตอนนั้นกุทำไง เอาไรสู้ดี
อันนี้แค่ตอนเริ่มต้น ไหนจะระหว่างกลาง ทำเสร็จ พี่แกก็จะเจอว่า.... เฮ้ย เม่งน่าจะกำไรดีก่านี้ดิ ไมเป็นงี้(วะ) ก็ต้องแก้ปัญหาไปทีละเปราะ นั่นแหละครับ
ผมเองเป็นคนหนึ่ง ที่ผันตัวมาทำธุรกิจ แต่โชคดีมากๆ ที่พออยู่ได้ แต่ถ้าถามผมนะ ผมว่าสุดท้ายแล้วจบลงที่เดียวกัน คือทำแล้วมีเงินเหลือ พอเหลือแล้วก็ไปฝาก/ลงทุนให้ผลมันงอก จนพอจะเงย... เพราะผมลาออกตอนเงินเดือน 50,000 ออกมาทำตอนนี้ 4 ปีผ่านไป เงินเดือน... 30,000 แต่กินอยู่ดีขึ้น สบายขึ้น อะไรๆดีขึ้นหมดยกเว้นเงินเดือนตัวเอง ต้องขึ้นเป็นคนสุดท้าย และจ่ายเงินเดือนคนอื่นก่อน ไม่เคยได้โบนัส ไม่เคยได้ไป Outting ฟรีๆ กินข้าวกับเพื่อนร่วมงาน ต้องจ่ายมากกว่าคนอื่น ที่สำคัญโลกใบนี้จะไม่สวยอีกต่อไป เขี้ยวท่านจะเริ่มยาวกว่าคนอื่นมากจนแม้กระทั่งกระทบถึงการคบเพื่อน ว่าคนที่เข้ามารู้จักเราใหม่ๆ จะหวังอะไรจากเราหรือเปล่า พวกนี้เป็นข้อเสียครับ
ข้อดีก็มีอยู่ คนอื่นออกทำงาน6.30 ผมออก9.30 ได้เวลาคืนมา 3ชม. เลี้ยงมาคอว์ตัวนึง(ดูเก๋นะ แต่นรกชัดๆ) มีบ้าน2หลัง ลูกน้อง 5-6 คน รถ1-2คัน(คันห่วยของผม คันเก๋ของเมีย) พักเที่ยง 12.30 เข้างาน15.00 เลิกงาน16.30 ไปสวนหลวงออกกำลัง คนอื่นรถติด ผมพักกินข้าวตอนกลับจากสวนหลวง เวลาเดินทางจากบ้านไปออฟฟิส 3นาทีถ้ากด 8นาทีถ้ารถติด(อยู่ซอยเดียวกัน ยังไม่ออกถนนใหญ่เลย) คือชีวิตลั้นลามากๆ แค่ไม่มีเงิน555 ตอนนี้พยายามเก็บเงินเดือนละ 3พัน แต่เมียขอออกเบนส์(ผมคงฝันสลายกะการเก็บเงินแน่ๆ) รายได้ผมเท่านี้แต่ทำให้รายได้เมียงอกขึ้นเป็น 3 เท่า เมียทำงานราว 2-3ชม.ต่อวัน เมียฟินมากๆครับ เหล่านี้เป็นข้อดีที่ส่วนมากตกเป็นของเมีย เมื่อท่านทำธุรกิจครับ เงินเราก็เหมือนเงินเขา หารเท่า แต่เวลาเก็บได้ เงินเมียก็คือเงินเมีย เงินผมก็คือเงินผม(กุไม่มีเก็บ...)
ถ้าถามผม มนุษย์เงินเดือน ท่าน ไม่ต้องลงทุน 6-7ปี แล้วค่อยมาเริ่มเก็บเงินตอนปีที่8 โดยเริ่มจาก 3 พันบาทหรอกครับ ท่านเริ่มเก็บเลย แล้วสัก 15 ปี ท่านก็มีชีวิตแบบนี้ได้โดยไม่ผ่านคำว่า "ความเสี่ยง" ผมว่าก็โอฯ นะครับ ท่านลองพิจารณาให้ดี
หมายเหตุสุดท้าย
*สำหรับท่านที่ไม่เห็นด้วย กรุณาอย่าคิดเห็นว่าผมดูถูกความรู้ความสามารถท่านในการทำธุรกิจ หากแต่ท่านเป็นคนในกลุ่มที่ผมไม่ได้พูดถึง คือเป็นท่านที่มีความสามารถพร้อมกับการประกอบธุรกิจอยู่แล้ว ทำให้อะไรๆเป็นเรื่องง่ายสำหรับท่านครับ และผมขอนับถือท่านด้วยความจริงใจ และยกย่องเป็นไอดอล
*สำหรับท่านที่มองว่าผมอวด กรุณาอย่าคิดเช่นนั้น ผมพยายามทำโลกที่แสนขรุขระของผมให้เป็นเรื่องขำขัน น่าอ่าน สอดแทรกประสบการณ์สำหรับท่านที่วางแผนจะดันทุรังแบบผม เพื่อจะได้เป็นวิทยาทานต่อคนดีๆที่อยากทำธุรกิจอีกหลายๆคน จริงๆผมลำบากมากครับ เงินเก็บทั้งหมด 8 ปี reset ใหม่เท่ากับศูนย์ แค่นี้ก็รับได้ยากมากแล้วครับ
และขอให้ท่านที่ต้องการทำธุรกิจอย่างสุจริต ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรืองทุกท่านนะครัช
*ใครจะซื้อ
*ใครเป็นคู่แข่งบ้าง
*จะ copy กุแล้วตั้งข้างๆร้านกุ แต่พ่อมันรวย... ดั้มราคาแข่ง...แถมชนะกุด้วย ตอนนั้นกุทำไง เอาไรสู้ดี
อันนี้แค่ตอนเริ่มต้น ไหนจะระหว่างกลาง ทำเสร็จ พี่แกก็จะเจอว่า.... เฮ้ย เม่งน่าจะกำไรดีก่านี้ดิ ไมเป็นงี้(วะ) ก็ต้องแก้ปัญหาไปทีละเปราะ นั่นแหละครับ
ผมเองเป็นคนหนึ่ง ที่ผันตัวมาทำธุรกิจ แต่โชคดีมากๆ ที่พออยู่ได้ แต่ถ้าถามผมนะ ผมว่าสุดท้ายแล้วจบลงที่เดียวกัน คือทำแล้วมีเงินเหลือ พอเหลือแล้วก็ไปฝาก/ลงทุนให้ผลมันงอก จนพอจะเงย... เพราะผมลาออกตอนเงินเดือน 50,000 ออกมาทำตอนนี้ 4 ปีผ่านไป เงินเดือน... 30,000 แต่กินอยู่ดีขึ้น สบายขึ้น อะไรๆดีขึ้นหมดยกเว้นเงินเดือนตัวเอง ต้องขึ้นเป็นคนสุดท้าย และจ่ายเงินเดือนคนอื่นก่อน ไม่เคยได้โบนัส ไม่เคยได้ไป Outting ฟรีๆ กินข้าวกับเพื่อนร่วมงาน ต้องจ่ายมากกว่าคนอื่น ที่สำคัญโลกใบนี้จะไม่สวยอีกต่อไป เขี้ยวท่านจะเริ่มยาวกว่าคนอื่นมากจนแม้กระทั่งกระทบถึงการคบเพื่อน ว่าคนที่เข้ามารู้จักเราใหม่ๆ จะหวังอะไรจากเราหรือเปล่า พวกนี้เป็นข้อเสียครับ
ข้อดีก็มีอยู่ คนอื่นออกทำงาน6.30 ผมออก9.30 ได้เวลาคืนมา 3ชม. เลี้ยงมาคอว์ตัวนึง(ดูเก๋นะ แต่นรกชัดๆ) มีบ้าน2หลัง ลูกน้อง 5-6 คน รถ1-2คัน(คันห่วยของผม คันเก๋ของเมีย) พักเที่ยง 12.30 เข้างาน15.00 เลิกงาน16.30 ไปสวนหลวงออกกำลัง คนอื่นรถติด ผมพักกินข้าวตอนกลับจากสวนหลวง เวลาเดินทางจากบ้านไปออฟฟิส 3นาทีถ้ากด 8นาทีถ้ารถติด(อยู่ซอยเดียวกัน ยังไม่ออกถนนใหญ่เลย) คือชีวิตลั้นลามากๆ แค่ไม่มีเงิน555 ตอนนี้พยายามเก็บเงินเดือนละ 3พัน แต่เมียขอออกเบนส์(ผมคงฝันสลายกะการเก็บเงินแน่ๆ) รายได้ผมเท่านี้แต่ทำให้รายได้เมียงอกขึ้นเป็น 3 เท่า เมียทำงานราว 2-3ชม.ต่อวัน เมียฟินมากๆครับ เหล่านี้เป็นข้อดีที่ส่วนมากตกเป็นของเมีย เมื่อท่านทำธุรกิจครับ เงินเราก็เหมือนเงินเขา หารเท่า แต่เวลาเก็บได้ เงินเมียก็คือเงินเมีย เงินผมก็คือเงินผม(กุไม่มีเก็บ...)
ถ้าถามผม มนุษย์เงินเดือน ท่าน ไม่ต้องลงทุน 6-7ปี แล้วค่อยมาเริ่มเก็บเงินตอนปีที่8 โดยเริ่มจาก 3 พันบาทหรอกครับ ท่านเริ่มเก็บเลย แล้วสัก 15 ปี ท่านก็มีชีวิตแบบนี้ได้โดยไม่ผ่านคำว่า "ความเสี่ยง" ผมว่าก็โอฯ นะครับ ท่านลองพิจารณาให้ดี
หมายเหตุสุดท้าย
*สำหรับท่านที่ไม่เห็นด้วย กรุณาอย่าคิดเห็นว่าผมดูถูกความรู้ความสามารถท่านในการทำธุรกิจ หากแต่ท่านเป็นคนในกลุ่มที่ผมไม่ได้พูดถึง คือเป็นท่านที่มีความสามารถพร้อมกับการประกอบธุรกิจอยู่แล้ว ทำให้อะไรๆเป็นเรื่องง่ายสำหรับท่านครับ และผมขอนับถือท่านด้วยความจริงใจ และยกย่องเป็นไอดอล
*สำหรับท่านที่มองว่าผมอวด กรุณาอย่าคิดเช่นนั้น ผมพยายามทำโลกที่แสนขรุขระของผมให้เป็นเรื่องขำขัน น่าอ่าน สอดแทรกประสบการณ์สำหรับท่านที่วางแผนจะดันทุรังแบบผม เพื่อจะได้เป็นวิทยาทานต่อคนดีๆที่อยากทำธุรกิจอีกหลายๆคน จริงๆผมลำบากมากครับ เงินเก็บทั้งหมด 8 ปี reset ใหม่เท่ากับศูนย์ แค่นี้ก็รับได้ยากมากแล้วครับ
และขอให้ท่านที่ต้องการทำธุรกิจอย่างสุจริต ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรืองทุกท่านนะครัช

ความคิดเห็นที่ 13
เพราะนั่นคือสิ่งมี่มนุษย์เงินเดือนชอบคิด เป็นวิถีชีวิตที่มนุษย์เงินเดือนเจออยู่ทุกวัน พอเจอทุกวันมันก็เป็นกรอบให้มนุษย์เงินเดือนคิดแบบนั้น คนเราอยู่ในกรอบแบบไหนก็จะคิดแบบนั้น มันเป๋นเรื่องปกติ เพราะไม่เคยอยู่นอกกรอบความคิดมันก็เลยคิดได้แบบนั่น และการคิดนอกกรอบโดยไม่รู้จริงมันก็ยิ่งอันตราย เป็นการเสี่ยงโดยไม่สาามารถคาดการณ์ได้ นั้นละคือเหตุผลว่าทำไมมนุษย์เงินเดือนถึงทำแบลนั่น
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
มนุษย์เงินเดือน
เจ้าของธุรกิจ
ทำไมมนุษย์เงินเดือน 80% ถ้าลาออก ชอบไปลงทุนเปิดร้านอาหาร ทำอาหารขาย
รองๆลงมา ก็ขายเครื่องสำอาง ยาบำรุงธาตุ (อาหารผิว)
แต่ถ้าลองไปเทียบกับ อเมริกัน ยุโรป สิงคโปร ตะวันออกกลาง ใต้หวัน
คนจะทำอาชีพนี้ไม่มากเท่ากับมนุษย์เงินเดือนบ้านเรา