เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นจริง เมื่อประมาณ 16 ปีที่แล้วค่ะ เราเก็บเรื่องนี้ไว้นานและไม่คิดอะไร จนวันนึงเราโตขึ้นแล้วมองกลับไป แล้วก็คิดได้ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเป็น “กรรม” คือผลจากการกระทำในสิ่งที่ผิดของเราเอง และเราก็ต้องก้มหน้ารับผลกรรมอันนั้นไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย
เราเป็นผู้หญิงทั่วๆไป หน้าตาก็ธรรมดา จัดไปในทางค่อนข้างดี แต่ไม่ได้สวยเด่นอะไร ช่วยเรียนมัธยมเรามีแฟนมาตลอด จนกระทั่งเข้าปี 1 ก็ได้เลิกกับแฟนที่คบกันไป ตลอดมาเราเป็นคนเลิกก่อนตลอด จนกระทั่งขึ้นปี 2 เราก็ได้เข้าเรียนวิชาในภาค แล้วก็ได้รู้จักกับรุ่นพี่คนนึงในภาคเดียวกัน สมมุติว่าชื่อ “พี่น็อต”
พี่น็อตเป็นผู้ชายขาวๆ ตี๋ๆ ไม่จัดว่าหล่อ อาศัยหุ่นดี และมีรถขับ (สมัยนั้น นศ. ไม่ค่อยมีรถขับ แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือก็จะมีเฉพาะคนที่ฐานะร่ำรวยเท่านั้น) จึงทำให้พี่น็อตดูมีภาษีดีกว่าคนอื่นๆ ทุกๆคนในภาคก็รู้กันว่าพี่น็อตมีแฟนแล้วเป็นรุ่นพี่ที่เรียนจบและทำงานแล้ว
เรามีเพื่อนสนิทคนนึงที่มักจะไปไหนมาด้วยกันสมมุติว่าชื่อ “เอ็มม่า” เรากะเอ็มม่าอยู่หอเดียวกัน มาเรียนพร้อมกัน กินข้าวเช้า-กลางวัน-เย็น พร้อมกันตลอด เรียกว่าสนิทกันมาก ตอนหลังๆ พี่น็อตมักมาขอไปกินข้าวกลางวันกับเราสองคน เพราะพี่เค้าไม่มีเพื่อนกินข้าวแฟนเค้าเพิ่งจบไป เราและเอ็มม่าก็ไม่อะไรให้ไปด้วยเพราะพี่เค้าก็ดูไม่มีพิษมีภัย โดยพี่น็อตก็สนิทกับเราทั้งสองคนพอๆ กัน
ต่อมาพี่น็อตชักเริ่มโทรศัพท์หาเราที่หอบ่อยขึ้น (โทรศัทพ์ที่หอจะเป็นโทรศัพท์รวมแบบแม่บ้านต้องกด intercom เรียกแล้วลงมารับข้างล่าง) ชวนคุยนู่นนี่โดยช่วงแรกๆจะเป็นเรื่องเรียน (พี่น็อตเรียนตกชั้นมาเรียนกะเรา) แต่หลังๆ ชักเริ่มคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้นอกเรื่อง เราก็บอกเอ็มม่าแบบไม่ปิดบังเพราะสนิทกัน เอ็มม่ากับเราก็ลงความเห็นว่าพี่น็อตจีบเราแน่ เอ็มม่าแนะนำว่าให้ถามพี่น็อตเรื่องแฟนเค้า สมมุตว่าชื่อ “พี่เบ๊นซ์” ว่าเลิกกับพี่เบ๊นซ์รึยัง ถ้ายังก็ให้เลิกมายุ่งกะเราได้แล้ว เราก็เลยไปถามพี่น็อต พี่น็อตบอกว่าอยากเลิกมากเพราะพี่เบ๊นซ์ขี้หึงมากเกาะติดเค้าตลอด พอทะเลาะกันแล้วบอกเลิกทีไรพี่เบ๊นซ์ก็มักจะขู่ว่าจะฆ่าตัวตายตลอด เลยเลิกกันไม่ได้ซะที แต่พี่น็อตชอบเรา ตอนนั้นเราก็บอกพี่น็อตว่าไม่เอา เราไม่เคยคิดแย่งแฟนคนอื่น มันบาป และบอกให้พี่น็อตเลิกโทร.หาเราได้แล้ว แต่พี่น็อตก็ไม่เคยทำตามคำขอเลย ยังคงโทร.หาเราตลอด ถึงเราจะพูดไม่ดี ไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป หลังๆ นี่โทร.รายงานตัวตลอดว่าอยู่ไหน ให้คุยกะเพื่อนที่ชมรมด้วยว่าอยู่ที่ชมรมจริงๆ ไม่ได้ไปเจอพี่เบ๊นซ์เลย เป็นอย่างงี้อยู่หลายเดือน เราเองเลยเริ่มใจอ่อน ทั้งๆ ที่พี่น็อตก็ยังไม่เลิกกะพี่เบ๊นซ์ คือเรามันก็เลวเองที่ใจอ่อน จนยอมไปไหนมาไหนด้วย เช่น ไปดูหนัง ไปกินข้าวเย็น และไปเจอแม่พี่น็อตด้วย
ตลอดระยะเวลาที่คบกันประมาณ 2 ปี เอ็มม่าก็รู้ตลอดและไม่เคยเห็นด้วยเลย แต่เราก็ยังดื้อ ไม่ยอมเลิกคบกะพี่น็อต จนเอ็มม่าเริ่มห่างๆ ออกไป ยิ่งพอเรียนจบ ต่างคนต่างทำงาน เรายิ่งไม่มีใครคอยห้ามคอยเตือน ก็ยิ่งเหมือนได้ใจ คบกะพี่น็อตเป็นแฟนเลยก็ว่าได้ โดยเราไม่ยอมบอกที่บ้านว่าพี่น็อตมีแฟนอยู่ก่อนแล้ว และยังไม่เลิกกับแฟน พี่น็อตก็เข้านอกออกในบ้านเราจนพ่อแม่เรารักและไว้ใจ ให้ไปรับไปส่งบ้านตอนเสาร์อาทิตย์กลับบ้านและรับกลับไปทำงานวันจันทร์ (ตอนทำงานเราไม่ได้พักอยู่ที่บ้านค่ะ)
ทีนี้พอคบกันมาได้อีกซักปีนึงเราก็เริ่มถามพี่น็อตแล้วว่าจะเอายังไงแน่กับอนาคต พ่อแม่ก็เริ่มถามเรื่องแต่งงาน เพราะเทียวไปเทียวมาก็บ่อย คบกันก็ 3 ปีแล้ว พอเราถามพี่น็อต พี่น็อตก็เริ่มอึกอัก บอกว่าอยากแต่ง ขอเวลาถึงตอนเรียนจบ ป.โท แล้วจะเคลียร์เรื่องพี่เบ๊นซ์ให้จบ ตอนนั้นพี่น็อตเรียน ป.โท ด้วย และด้วยความที่พี่น็อตไม่เก่งภาษา แล้วต้องเขียน Thesis เป็นภาษาอังกฤษ เราเลยต้องเขียนให้พี่น็อตทั้งหมด จนกระทั่งพี่น็อตเรียนจบ ป.โท และครบระยะเวลา 6 เดือน ที่พี่น็อตขอไว้ เราทวงสัญญาพี่น็อตก็บอกว่ายังเลิกไม่ได้
เราเองเริ่มรู้สึกว่า พี่น็อตไม่ได้พยายามเลิกกะพี่เบ๊นซ์อย่างที่ปากว่าเลย ประกอบกับเราโดนพี่เบ๊นซ์โทร.มาด่าถึงที่หอ แล้วพี่เบ๊นซ์จะหาเบอร์หอเราได้ไง ถ้าไม่ได้จากพี่น็อต เราเลยกลับมานั่งทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดดู แล้วนึกถึงตัวเราเองว่า เราเองก็หน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ (ถ้าเทียบกันก็ดูดีกว่าพี่น็อต) เรียนหนังสือก็ดี (ขนาดที่ว่าจบเกียรตินิยมเหรียญทอง เป็นที่ 1 ของคณะ และได้ทุนเรียนถึงปริญญาเอก) ภาษาก็ดีจนเคยได้ทุนไปเมืองนองเมืองนา หน้าที่การงานก็ดี แล้วเราสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องอยู่ในฐานนะเป็นแฟนน้อยผู้ชายคนนี้ที่ไม่ได้มีดีไปกว่าเราเลย แถมยังเห็นแก่ตัว คบทีละสองคน ไม่พยายามแก้ปัญหาอะไร ปล่อยให้ผู้หญิงเค้าฟาดฟันกันเอง ใครทนไม่ได้ก็ไปซะ แล้วยังหลอกให้เราช่วยเขียน Thesis จนจบแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำตามสัญญาเลย เราเลยตัดสินใจคุยกะพี่น็อตตามตรงในวันหนึ่ง
เราบอกพี่น็อตอย่างที่เราคิดทุกอย่าง พี่น็อตก็บอกว่ารักเราจริงๆ ไม่ได้หลอกให้ช่วยให้เรียนจนจบ แต่เค้าทนดูพี่เบ๊นซ์ฆ่าตัวตายไม่ได้จริงๆ พี่เบ๊นซ์รู้ความจริงแล้วว่าพี่น็อตไม่ได้รัก แต่ทำใจไม่ได้ ขอให้พี่น็อตอยู่กับเค้าไปทั้งๆ ที่ไม่รักเค้าก็ทนได้ พี่น็อตจะไปมีกิ๊กอีกกี่คนก็ได้ (ทั้งๆ ที่พี่เบ๊นซ์เป็นคนขี้หึงมาก อาละวาดด่ากิ๊กพี่น็อตจนกระเจิงมาแล้วหลายคน อันนี้พี่น็อตเล่าให้ฟังค่ะ) จะไปอาบอบนวดก็ได้ พี่เบ๊นซ์ยอมตามใจทุกอย่าง ขออย่างเดียวขอให้พี่น็อตอย่างทิ้งเค้าไปเท่านั้น เราก็ถามพี่น็อตว่าแล้วจะเอายังไง พี่น็อตบอกว่าต้องรอให้พี่เบ๊นซ์เจอแฟนใหม่แล้วเลิกกะพี่น็อตไปเอง ดูสิคะ ดูเค้าตอบ.......
เรารับไม่ได้ในคำตอบ เลยบอกพี่น็อตว่า เราทนอยู่ในสภาพคบกันแบบลักกินขโมยกิน และต้องหวาดผวาว่าพี่เบ๊นซ์จะเอาน้ำกรดมาสาดหน้าเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ (พี่เบ๊นซ์ขู่ไว้ตอนโทร.มาด่าเราที่หอค่ะ) ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ในเมื่อพี่น็อตคิดว่าทำอะไรไม่ได้ เราก็ขอไปเอง พี่น็อตก็ไม่ยอม บอกว่ายังไงก็ยังจะโทร.หาอยู่อย่างงี้ จะดูและเราอย่างงี้ไปตลอด แล้วเค้าก็ทำจริงๆ ค่ะ โทร.หาที่หอตลอด ซึ่งเราไม่รับก็ไม่ได้เพราะแม่บ้านรับ แล้วโฟนเรียก ไม่รู้ว่าเป็นใคร เผื่อพ่อแม่โทร.มา พี่น็อตก็ตื๊อตลอด จนเราไม่ไหว ถ้าเป็นแบบนี้มีหวังเลิกกันไม่ขาดซักที เราเลยบอกพ่อแม่ว่าจะย้ายไปอยู่บ้านอา เพื่อจะได้ไม่ต้องติดต่อกับพี่น็อตอีก แล้วอีก 1 เดือน ต่อมาเราก็ย้ายออกจากหอ ไปอยู่กับอา และไม่ติดต่อกับพี่น็อตอีก พี่น็อตพยามมาหาที่ทำงาน เคยมา pop-up ที่ทำงานครั้งนึง แต่เราสั่งห้ามเด็ดขาด เพราะงานที่เราทำเป็นงานราชการ ถ้ามีกรณีพี่เบ๊นซ์บุกมาด่า เราต้องโดนสอบสวนแน่ๆ เลยบอกพี่น็อตว่า ถ้ายังเหลือความหวังดีอยู่บ้างก็อย่าทำให้เราเดือนร้อนเลย จากนั้นมาพี่น็อตก็ไม่ได้มาหาเราที่ทำงานอีก ก็เลยได้เลิกกันขาดนับแต่ตอนนั้น
เรากินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายเดือน เพราะต้องเลิกทั้งๆ ที่ก็ยังรักอยู่ ตื่นนอนก็ร้องไห้ ก่อนนอนก็รองไห้จนหลับ ช่วงนั้นผอมมาก น้ำหนักเหลือประมาณ 38-39 จาก 44-45 (เราสูง 158 cm) ถึงขนาดต้องไปหาจิตแพทย์เพราะทำท่าจะเป็นโรคซึมเศร้า เราเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเรานึกถึงเรื่องพี่น็อตแบบไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป รวมๆ หลังจากเลิกก็ประมาณ 1 ปี
หลังจากนั้นเราก็มีแฟนใหม่ เป็นญาติของเพื่อนที่ทำงาน สมมุติชื่อ “มอส” เค้านิสัยดี หน้าตาดี รวยมาก ถึงกะจะยอมใช้ทุนเรียนปริญญาเอกให้เรา เพื่อที่พอเราเรียนจบแล้วจะได้ย้ายไปทำงานใกล้ๆ เค้าได้ แต่เราไม่รับ เราบอกว่ายังไม่ได้แต่งงานกัน จะมาออกเงินให้เราเป็นแสนเป็นล้านได้ไง เราคบกันด้วยดีมาเรื่อยๆ ประมาณปีกว่าๆ เค้าก็เริ่มไม่ค่อยมาหาเรา อ้างว่าไปแข่งบอลบ้าง ต้องทำงานเลิกเย็นบ้าง แต่ก็ยังโทร.คุยกันตลอดทุกวัน เราก็ไม่ได้สงสัยอะไร จนกระทั่งมีอยู่วันนึงเรากำลังไปดูหนังกันนั่งอยู่ในรถดีๆ เค้าก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา เราถามว่าเป็นอะไรเค้าก็บอกว่าไม่เป็นอะไร แต่เราได้ยินเหมือนเสียงโทรศัพท์สั่น แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะว่าปกติเค้าจะเปิดเสียงตลอด และรับโทรศัพท์ต่อหน้าเราตลอด เราก็แอบเก็บความสงสัยเอาไว้เงียบๆ กะว่าจะสืบดูก่อน
จนวันนึงมอสบอกว่าขอไปกินเลี้ยงบ้านเพื่อนผู้ชาย ซึ่งเป็นประเพณีว่าจะต้องกินกันจนเมาหลับไป และจะค้างที่บ้านเพื่อนเลย เราก็โอเคเพราะรู้จักเพื่อนคนนี้ จนกระทั่งตอนเช้า มอสโทร.หาเรา เราก็รับ แต่มอสไม่พูด เราก็ไม่วางรอฟังเสียง ก็ได้ยินเสียงเหมือนกำลังอยู่ในรถและรถวิ่งอยู่ แต่ไม่มีเสียงพูดคุยอะไร รออยู่ซักพัก ได้ยินเสียงมอสบอกคนขับแท็กซี่ว่า “เข้าซอยนี้ครับ” แล้วก็ “จอดหน้าบ้านนี้ครับ และพี่รอผมแป๊บ ผมเอาของให้เพื่อนแป๊บนึง”
เดี๋ยวมาต่อค่ะ
เวรกรรมจากการแอบเป็น "แฟนน้อย"
เราเป็นผู้หญิงทั่วๆไป หน้าตาก็ธรรมดา จัดไปในทางค่อนข้างดี แต่ไม่ได้สวยเด่นอะไร ช่วยเรียนมัธยมเรามีแฟนมาตลอด จนกระทั่งเข้าปี 1 ก็ได้เลิกกับแฟนที่คบกันไป ตลอดมาเราเป็นคนเลิกก่อนตลอด จนกระทั่งขึ้นปี 2 เราก็ได้เข้าเรียนวิชาในภาค แล้วก็ได้รู้จักกับรุ่นพี่คนนึงในภาคเดียวกัน สมมุติว่าชื่อ “พี่น็อต”
พี่น็อตเป็นผู้ชายขาวๆ ตี๋ๆ ไม่จัดว่าหล่อ อาศัยหุ่นดี และมีรถขับ (สมัยนั้น นศ. ไม่ค่อยมีรถขับ แม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือก็จะมีเฉพาะคนที่ฐานะร่ำรวยเท่านั้น) จึงทำให้พี่น็อตดูมีภาษีดีกว่าคนอื่นๆ ทุกๆคนในภาคก็รู้กันว่าพี่น็อตมีแฟนแล้วเป็นรุ่นพี่ที่เรียนจบและทำงานแล้ว
เรามีเพื่อนสนิทคนนึงที่มักจะไปไหนมาด้วยกันสมมุติว่าชื่อ “เอ็มม่า” เรากะเอ็มม่าอยู่หอเดียวกัน มาเรียนพร้อมกัน กินข้าวเช้า-กลางวัน-เย็น พร้อมกันตลอด เรียกว่าสนิทกันมาก ตอนหลังๆ พี่น็อตมักมาขอไปกินข้าวกลางวันกับเราสองคน เพราะพี่เค้าไม่มีเพื่อนกินข้าวแฟนเค้าเพิ่งจบไป เราและเอ็มม่าก็ไม่อะไรให้ไปด้วยเพราะพี่เค้าก็ดูไม่มีพิษมีภัย โดยพี่น็อตก็สนิทกับเราทั้งสองคนพอๆ กัน
ต่อมาพี่น็อตชักเริ่มโทรศัพท์หาเราที่หอบ่อยขึ้น (โทรศัทพ์ที่หอจะเป็นโทรศัพท์รวมแบบแม่บ้านต้องกด intercom เรียกแล้วลงมารับข้างล่าง) ชวนคุยนู่นนี่โดยช่วงแรกๆจะเป็นเรื่องเรียน (พี่น็อตเรียนตกชั้นมาเรียนกะเรา) แต่หลังๆ ชักเริ่มคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้นอกเรื่อง เราก็บอกเอ็มม่าแบบไม่ปิดบังเพราะสนิทกัน เอ็มม่ากับเราก็ลงความเห็นว่าพี่น็อตจีบเราแน่ เอ็มม่าแนะนำว่าให้ถามพี่น็อตเรื่องแฟนเค้า สมมุตว่าชื่อ “พี่เบ๊นซ์” ว่าเลิกกับพี่เบ๊นซ์รึยัง ถ้ายังก็ให้เลิกมายุ่งกะเราได้แล้ว เราก็เลยไปถามพี่น็อต พี่น็อตบอกว่าอยากเลิกมากเพราะพี่เบ๊นซ์ขี้หึงมากเกาะติดเค้าตลอด พอทะเลาะกันแล้วบอกเลิกทีไรพี่เบ๊นซ์ก็มักจะขู่ว่าจะฆ่าตัวตายตลอด เลยเลิกกันไม่ได้ซะที แต่พี่น็อตชอบเรา ตอนนั้นเราก็บอกพี่น็อตว่าไม่เอา เราไม่เคยคิดแย่งแฟนคนอื่น มันบาป และบอกให้พี่น็อตเลิกโทร.หาเราได้แล้ว แต่พี่น็อตก็ไม่เคยทำตามคำขอเลย ยังคงโทร.หาเราตลอด ถึงเราจะพูดไม่ดี ไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป หลังๆ นี่โทร.รายงานตัวตลอดว่าอยู่ไหน ให้คุยกะเพื่อนที่ชมรมด้วยว่าอยู่ที่ชมรมจริงๆ ไม่ได้ไปเจอพี่เบ๊นซ์เลย เป็นอย่างงี้อยู่หลายเดือน เราเองเลยเริ่มใจอ่อน ทั้งๆ ที่พี่น็อตก็ยังไม่เลิกกะพี่เบ๊นซ์ คือเรามันก็เลวเองที่ใจอ่อน จนยอมไปไหนมาไหนด้วย เช่น ไปดูหนัง ไปกินข้าวเย็น และไปเจอแม่พี่น็อตด้วย
ตลอดระยะเวลาที่คบกันประมาณ 2 ปี เอ็มม่าก็รู้ตลอดและไม่เคยเห็นด้วยเลย แต่เราก็ยังดื้อ ไม่ยอมเลิกคบกะพี่น็อต จนเอ็มม่าเริ่มห่างๆ ออกไป ยิ่งพอเรียนจบ ต่างคนต่างทำงาน เรายิ่งไม่มีใครคอยห้ามคอยเตือน ก็ยิ่งเหมือนได้ใจ คบกะพี่น็อตเป็นแฟนเลยก็ว่าได้ โดยเราไม่ยอมบอกที่บ้านว่าพี่น็อตมีแฟนอยู่ก่อนแล้ว และยังไม่เลิกกับแฟน พี่น็อตก็เข้านอกออกในบ้านเราจนพ่อแม่เรารักและไว้ใจ ให้ไปรับไปส่งบ้านตอนเสาร์อาทิตย์กลับบ้านและรับกลับไปทำงานวันจันทร์ (ตอนทำงานเราไม่ได้พักอยู่ที่บ้านค่ะ)
ทีนี้พอคบกันมาได้อีกซักปีนึงเราก็เริ่มถามพี่น็อตแล้วว่าจะเอายังไงแน่กับอนาคต พ่อแม่ก็เริ่มถามเรื่องแต่งงาน เพราะเทียวไปเทียวมาก็บ่อย คบกันก็ 3 ปีแล้ว พอเราถามพี่น็อต พี่น็อตก็เริ่มอึกอัก บอกว่าอยากแต่ง ขอเวลาถึงตอนเรียนจบ ป.โท แล้วจะเคลียร์เรื่องพี่เบ๊นซ์ให้จบ ตอนนั้นพี่น็อตเรียน ป.โท ด้วย และด้วยความที่พี่น็อตไม่เก่งภาษา แล้วต้องเขียน Thesis เป็นภาษาอังกฤษ เราเลยต้องเขียนให้พี่น็อตทั้งหมด จนกระทั่งพี่น็อตเรียนจบ ป.โท และครบระยะเวลา 6 เดือน ที่พี่น็อตขอไว้ เราทวงสัญญาพี่น็อตก็บอกว่ายังเลิกไม่ได้
เราเองเริ่มรู้สึกว่า พี่น็อตไม่ได้พยายามเลิกกะพี่เบ๊นซ์อย่างที่ปากว่าเลย ประกอบกับเราโดนพี่เบ๊นซ์โทร.มาด่าถึงที่หอ แล้วพี่เบ๊นซ์จะหาเบอร์หอเราได้ไง ถ้าไม่ได้จากพี่น็อต เราเลยกลับมานั่งทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดดู แล้วนึกถึงตัวเราเองว่า เราเองก็หน้าตาไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ (ถ้าเทียบกันก็ดูดีกว่าพี่น็อต) เรียนหนังสือก็ดี (ขนาดที่ว่าจบเกียรตินิยมเหรียญทอง เป็นที่ 1 ของคณะ และได้ทุนเรียนถึงปริญญาเอก) ภาษาก็ดีจนเคยได้ทุนไปเมืองนองเมืองนา หน้าที่การงานก็ดี แล้วเราสิ้นไร้ไม้ตอกขนาดต้องอยู่ในฐานนะเป็นแฟนน้อยผู้ชายคนนี้ที่ไม่ได้มีดีไปกว่าเราเลย แถมยังเห็นแก่ตัว คบทีละสองคน ไม่พยายามแก้ปัญหาอะไร ปล่อยให้ผู้หญิงเค้าฟาดฟันกันเอง ใครทนไม่ได้ก็ไปซะ แล้วยังหลอกให้เราช่วยเขียน Thesis จนจบแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำตามสัญญาเลย เราเลยตัดสินใจคุยกะพี่น็อตตามตรงในวันหนึ่ง
เราบอกพี่น็อตอย่างที่เราคิดทุกอย่าง พี่น็อตก็บอกว่ารักเราจริงๆ ไม่ได้หลอกให้ช่วยให้เรียนจนจบ แต่เค้าทนดูพี่เบ๊นซ์ฆ่าตัวตายไม่ได้จริงๆ พี่เบ๊นซ์รู้ความจริงแล้วว่าพี่น็อตไม่ได้รัก แต่ทำใจไม่ได้ ขอให้พี่น็อตอยู่กับเค้าไปทั้งๆ ที่ไม่รักเค้าก็ทนได้ พี่น็อตจะไปมีกิ๊กอีกกี่คนก็ได้ (ทั้งๆ ที่พี่เบ๊นซ์เป็นคนขี้หึงมาก อาละวาดด่ากิ๊กพี่น็อตจนกระเจิงมาแล้วหลายคน อันนี้พี่น็อตเล่าให้ฟังค่ะ) จะไปอาบอบนวดก็ได้ พี่เบ๊นซ์ยอมตามใจทุกอย่าง ขออย่างเดียวขอให้พี่น็อตอย่างทิ้งเค้าไปเท่านั้น เราก็ถามพี่น็อตว่าแล้วจะเอายังไง พี่น็อตบอกว่าต้องรอให้พี่เบ๊นซ์เจอแฟนใหม่แล้วเลิกกะพี่น็อตไปเอง ดูสิคะ ดูเค้าตอบ.......
เรารับไม่ได้ในคำตอบ เลยบอกพี่น็อตว่า เราทนอยู่ในสภาพคบกันแบบลักกินขโมยกิน และต้องหวาดผวาว่าพี่เบ๊นซ์จะเอาน้ำกรดมาสาดหน้าเราเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ (พี่เบ๊นซ์ขู่ไว้ตอนโทร.มาด่าเราที่หอค่ะ) ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ในเมื่อพี่น็อตคิดว่าทำอะไรไม่ได้ เราก็ขอไปเอง พี่น็อตก็ไม่ยอม บอกว่ายังไงก็ยังจะโทร.หาอยู่อย่างงี้ จะดูและเราอย่างงี้ไปตลอด แล้วเค้าก็ทำจริงๆ ค่ะ โทร.หาที่หอตลอด ซึ่งเราไม่รับก็ไม่ได้เพราะแม่บ้านรับ แล้วโฟนเรียก ไม่รู้ว่าเป็นใคร เผื่อพ่อแม่โทร.มา พี่น็อตก็ตื๊อตลอด จนเราไม่ไหว ถ้าเป็นแบบนี้มีหวังเลิกกันไม่ขาดซักที เราเลยบอกพ่อแม่ว่าจะย้ายไปอยู่บ้านอา เพื่อจะได้ไม่ต้องติดต่อกับพี่น็อตอีก แล้วอีก 1 เดือน ต่อมาเราก็ย้ายออกจากหอ ไปอยู่กับอา และไม่ติดต่อกับพี่น็อตอีก พี่น็อตพยามมาหาที่ทำงาน เคยมา pop-up ที่ทำงานครั้งนึง แต่เราสั่งห้ามเด็ดขาด เพราะงานที่เราทำเป็นงานราชการ ถ้ามีกรณีพี่เบ๊นซ์บุกมาด่า เราต้องโดนสอบสวนแน่ๆ เลยบอกพี่น็อตว่า ถ้ายังเหลือความหวังดีอยู่บ้างก็อย่าทำให้เราเดือนร้อนเลย จากนั้นมาพี่น็อตก็ไม่ได้มาหาเราที่ทำงานอีก ก็เลยได้เลิกกันขาดนับแต่ตอนนั้น
เรากินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายเดือน เพราะต้องเลิกทั้งๆ ที่ก็ยังรักอยู่ ตื่นนอนก็ร้องไห้ ก่อนนอนก็รองไห้จนหลับ ช่วงนั้นผอมมาก น้ำหนักเหลือประมาณ 38-39 จาก 44-45 (เราสูง 158 cm) ถึงขนาดต้องไปหาจิตแพทย์เพราะทำท่าจะเป็นโรคซึมเศร้า เราเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเรานึกถึงเรื่องพี่น็อตแบบไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป รวมๆ หลังจากเลิกก็ประมาณ 1 ปี
หลังจากนั้นเราก็มีแฟนใหม่ เป็นญาติของเพื่อนที่ทำงาน สมมุติชื่อ “มอส” เค้านิสัยดี หน้าตาดี รวยมาก ถึงกะจะยอมใช้ทุนเรียนปริญญาเอกให้เรา เพื่อที่พอเราเรียนจบแล้วจะได้ย้ายไปทำงานใกล้ๆ เค้าได้ แต่เราไม่รับ เราบอกว่ายังไม่ได้แต่งงานกัน จะมาออกเงินให้เราเป็นแสนเป็นล้านได้ไง เราคบกันด้วยดีมาเรื่อยๆ ประมาณปีกว่าๆ เค้าก็เริ่มไม่ค่อยมาหาเรา อ้างว่าไปแข่งบอลบ้าง ต้องทำงานเลิกเย็นบ้าง แต่ก็ยังโทร.คุยกันตลอดทุกวัน เราก็ไม่ได้สงสัยอะไร จนกระทั่งมีอยู่วันนึงเรากำลังไปดูหนังกันนั่งอยู่ในรถดีๆ เค้าก็สะดุ้งเฮือกขึ้นมา เราถามว่าเป็นอะไรเค้าก็บอกว่าไม่เป็นอะไร แต่เราได้ยินเหมือนเสียงโทรศัพท์สั่น แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะว่าปกติเค้าจะเปิดเสียงตลอด และรับโทรศัพท์ต่อหน้าเราตลอด เราก็แอบเก็บความสงสัยเอาไว้เงียบๆ กะว่าจะสืบดูก่อน
จนวันนึงมอสบอกว่าขอไปกินเลี้ยงบ้านเพื่อนผู้ชาย ซึ่งเป็นประเพณีว่าจะต้องกินกันจนเมาหลับไป และจะค้างที่บ้านเพื่อนเลย เราก็โอเคเพราะรู้จักเพื่อนคนนี้ จนกระทั่งตอนเช้า มอสโทร.หาเรา เราก็รับ แต่มอสไม่พูด เราก็ไม่วางรอฟังเสียง ก็ได้ยินเสียงเหมือนกำลังอยู่ในรถและรถวิ่งอยู่ แต่ไม่มีเสียงพูดคุยอะไร รออยู่ซักพัก ได้ยินเสียงมอสบอกคนขับแท็กซี่ว่า “เข้าซอยนี้ครับ” แล้วก็ “จอดหน้าบ้านนี้ครับ และพี่รอผมแป๊บ ผมเอาของให้เพื่อนแป๊บนึง”
เดี๋ยวมาต่อค่ะ