ทริปนี้ขอบอกเลยว่าไม่รู้จักภูทับเบิกมาก่อน ตอนแรกจะไป ปาย แต่เหลือเวลาแค่สามวัน วันจันทร์จะต้องเปิดเทอม ปีสองเทอมสองแล้ว เลยตัดสินใจหา จังหวัดใกล้ๆ เดินทางไม่นานมาก ดูไปดูมาก็ตกมาที่ภูทับเบิก ผมเลยตัดสินใจคืนวันพฤหัสละ หาข้อมูลตอนเช้าเล็กน้อย มาทำกิจกรรมที่มหาลัย เย็นเสร็จก็ลุย ทริปนี้กะจะโบกรถตามรีวิว ละกางเต็นท์รับลมหนาวให้ฉ่ำใจก่อนเปิดเทอม เอ้อ รูปที่ถ่ายมามาจากกล้อง Canon กับ Ipad mini ของ จขกท นะ
ผมใช้พันทิปในการเที่ยว หลายต่อหลายครั้งเลยอยากจะลองเขียนรีวิวเอาดู เผื่อเกิดประโยชน์แก่คนอื่นบ้าง จะพยายามดึงความทรงจำมาให้มากที่สุด ถ้าอ่านไม่รู้เรื่อง หรือ ทำอะไรผิดพลาด ขอโทษ ด้วยนะครับ
เริ่มแรก ผม ได้โทรไปจองที่พักของ ภูนับดาว ตกลงราคากันก็อยู่ที่ 500 บาท มีเต็นท์ เครื่องนอน และอาหารเช้า
กะจะไปซื้อตั๋วที่หมอชิต 2 เพชรประเสริฐทัวร์ รอบ 22.00 น่าจะถึงหล่มสักประมาณ ตี สี่กว่าๆ แต่พอไปถึงประมาณ สามทุ่ม ตั๋ว ก็เหลือแค่ ปอ.2 รอบ 23.30 ผมก็โอเค ไม่เป็นไร ปอ.2 ราคาอยู่ที่ 250 ก็นั่งรอไป สองชั่วโมงกว่าๆ (ถ้าใครจะเดินทางแนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้าดีกว่า )
ผม ถึงหล่มสักตอน ตีสี่ครึ่ง ลงมาด้วยความ งกๆ งงๆ อะไรที่ไหน งง ไปหมด เลยเดินหาตลาดเพราะจำได้ว่าในรีวิวสามารถโบกรถขนผักขึ้นไปภูทับเบิกได้ (เส้นทาง ที่จะไปภูทับเบิกคือ หล่มสัก > หล่มเก่า > แยกภูทับเบิก )
เดินถามข้อมูลคนในตลาดหล่มสัก เค้าก็บอกให้ไปโบกรถตรงตลาดผัก ม้งจะเยอะมาก เราก็เลย ทำการโบกรถคันแรกเพื่อไปตลาดผัก กว่าจะโบกได้ถึงตลาดผักก็ตีห้าเกือบครึ่ง
อากาศค่อนข้างเย็นมากในช่วงเช้ามืด แวะกิน น้ำเต้าหู้กับปาท๋องโก๋ พอถามราคา ถึงกับอ้าปากค้าง เพราะน้ำเต้าหู้ถุงละ 3 บาท ปาท๋องโก๋ อีก 7 ตัว รวมทั้งหมด 10 บาท เรายืนงง พร้อมถามว่า เท่าไหร่ครับ อยู่ประมาณสองสามครั้ง แม่ค้าน้ำเต้าหู้ใจดี คาวาอี้ ฝุดๆ บอกให้เรานั่งรอที่ร้าน ประมาณ หกโมง ม้งก็จะเริ่มลงมาแล้ว ( น้ำเต้าหู้ อร่อยจริงจัง )
ไอเรา ก็ โบกรถประมาณสองถึงสามคัน ไม่มีคันไหนขึ้น ภูทับเบิกเลย จนอยู่ดีๆ ก็มีรถม้งขับผ่านหน้าไป พร้อมทั้งท้ายกระบะมีหญิงสาว ดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยว นั่งหลังกระบะ อยู่อีก 3 คน
ไม่กล้าขอถ่ายรูปสาวๆเลย เรามาคนเดียวหน้าตาก็ค่อนข้างจะเป็นมิจฉาชีพซะด้วย ขอสงบเสงี่ยมเรียบร้อยจะดีกว่า แต่ นางสามคน เฮฮาตลอดทาง มีเอฟเฟ็คบ้างเวลารถหักเลี้ยว ทำให้การขึ้นภูดูไม่เหงาอีกต่อไป พอถึงแยกที่จะขึ้นภูทับเบิก ภารกิจตามล่า พระอาทิตย์ก็เกิดขึ้น
ไอที่ว่าภารกิจตามล่า พระอาทิตย์ คือ การเก็บภาพพระอาทิตย์ให้ทันนั่นเอง เพราะชาวม้งขับรถประหนึ่งเราเป็นกะหล่ำปลีที่อยู่หลังรถ โค้งก็มี แต่ไม่ถึงกับมาก รถค่อนข้างขับเร็ว หลังกระบะเกิดการสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา มือนึงต้องเกี่ยว ราวเหล็กด้านข้างไว้ อีกมือนึงก็รอกดชัตเตอร์ เป็นอะไรที่ทุลักทุเลมาก กว่าจะถ่ายพระอาทิตย์ได้ (ถ่ายไม่ทันบ้าง ต้นไม้บังบ้าง เบลอบ้าง ) เหนื่อยยยยยย แต่มันส์ดี
ก่อนจะถึงภูทับเบิก กะเริ่มเข้าสู่โหมด Silent hill หมอกตีหน้า อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ พี่ม้งวอร์คเกอร์ก็เริ่มชะลอรถให้ช้าลง เพราะหมอกสองข้างทางเริ่มหนาขึ้น
จากนั้นเราก็ถึงภูทับเบิก ซะที ลงรถด้วยความ งงอีกตามเคย ไม่รู้เป็นอะไร เวลามีฉากลงรถนี่ ต้อง งงง ทุกที T^คือไม่รู้จะเริ่มจากไหน ที่พักอยู่ไหนไม่รู้ ถามว่า D-tac มีสัญญาณมั๊ย ตอบเลยว่าไม่มี เราเลยเดินไปถามร้านหมูกระทะว่า ภูนับดาวอยู่ไหนครับ เค้าก็บอกทางว่าเดินไปฝั่งนี้นะ อีก 5 กิโล จย้าาาาาา 5 กิโล นางเห็นเราหมดหนทางเลยบอกว่า หาที่พักเอาแถวนี้เถอะ ให้เดินขึ้นไปตรง วิสาหกิจ ดู


(ขอโทษ ภูนับดาว ด้วยค้าบบบ )
เราก็เดินหาที่พักไปเรื่อย ส่วนใหญ่เหลือแต่ที่กางเต็นท์ เดินถามเรื่อยๆ ราคาก็อยู่ที่ 400-500 คือมีเต๊นท์ เครื่องนอน อาหารเช้า แต่ถ้าเอาเต็นท์มาเองก็ 50 – 100 ต่อคน ไอเราก็เดินหาอยู่นั่นแหละ หาวิวที่สวยที่สุด จนรู้สึกล้าและหนาวมาก จึงหยุดอยู่ที่ ภูทับเบิก รีสอร์ท ตัดสินใจเอาที่นี่เพราะเหนื่อย และไม่อยากหาแล้ว
เจ้าของรีสอร์ทบอกให้เรากลับมาอีกที เที่ยงๆ เพราะตอนนี้ ยังไม่เตรียมเต๊นท์ และคนยัง เช็คเอาท์ออกไม่หมด เราจึงขอฝากสัมภาระไว้ พี่เค้าก็รับฝากนะ คิดว่าจะเดินเล่นแถวนี้ แล้วไป วัดป่าภูทับเบิก Land mark ที่สำคัญอีกที่
*รอยยิ้มจากเด็กๆม้ง แจกความสดใส เป็นการต้อนรับที่มุ้งมิ้งดี
เดินเล่นไปเรื่อย ก็เห็น คนเค้ามุงอะไรกัน กำลังกิน เจ้าสีม่วงๆ มีเปลือก คือ ผมเป็นคนไม่รู้จักมันเผา T^T เลยจัดซักหน่อย ปกติเป็นคนกินอะไรซ้ำๆ
แต่ถ้าได้ออกมาเที่ยวแล้ว อะไรที่ไม่เคยกิน เราจะฟาดเรียบ แต่ก็อายๆอยู่เหมือนกันเพราะไม่รู้ว่าต้องแกะเปลือกก่อน แล้วกิน คือกัดไปแล้วเค้าก็หัวเราะแล้วบอกเราว่า"แกะปลอกก่อนค่ะๆ"
ดอกไม้ น้ำค้าง ในสายหมอก
ถ้าในโลกนี้เธอคือดอกไม้ ฉันก็เหมือนผีเสื้อโบยบินข้างกาย
เกาะกายกันทุกวัน เราจะมีกันไม่ไปไหน ,,,
กลับไปถามทางพี่ร้านหมูกระทะอีกรอบ ถามเรื่องการไปที่วัดป่าภูทับเบิก พี่เค้าก็บอกว่าอยู่อีกฝั่งนู้นนน เลย 5-6 กิโล โบกรถไปเถอะไอหนู !!!!
เอาวะ งานโบกต้องมา เราเลยกะจะเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ พร้อมกับโบกรถไปด้วย แต่ตอนนนี้แวะซื้อถุงมือก่อน (คู่ละ 40บาท) หนาววววว เกินไป ไม่ไหวแล้ว
เดินไปก็แวะถ่ายกะหล่ำปลีซักหน่อยเดี๊ยวเค้าจะว่าเรามาไม่ถึงอีก (สัญลักษณ์ประจำภูทับเบิก)
คือมาคนเดียวเว้ย ไม่มีใครถ่ายรูปให้เลยเว้ยย เซลฟีก็ได้เว้ยย ไม่เป็นไรเว้ยย T^T
เดินหล่อไปเรื่อยๆ รถไม่รับซักคัน ไม่เป็นไร เราเข้าใจ เรามันหน้าโจรใช่ไหม ระหว่างทางก็มีชาวม้งเอาผัก มาขาย
หึหึหึ.. ในที่สุด ก็มีคนรับไปส่งวัดป่าซักที พี่เค้าใจดีมากๆ นะ แบบไปส่งละรอเราถ่ายรูปด้วย แล้วจะพากลับมาส่งอีก คือ เราเคยเป็นผัวเมียเมื่อชาติที่แล้วรึป่าววว ? ทำไมใจดีอย่างนี้ T^T
ถึงวัดแล้วค้าบบบ บบ

คือรถขึ้นมาเยอะมาก โชคดีที่เราโบกมอไซต์มา ซอกแซก ซอกแซกจนถึงด้านบนสุดได้ไม่ยาก พี่แกก็บอกเข้าไปถ่ายรูปเลยเดี๊ยวรอ T^T เราก็โครตจะเกรงใจเลย รีบเดินให้ทั่ว ใช้เวลาให้น้อยที่สุด
ภายในวัดครับ
ภายนอกวัดครับ เหมือนเจดีย์กำลังสร้างอยู่ เห็นเค้าบอกว่าสร้างมานานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ ทางขึ้นลำบาก เลยทำให้ อุปกรณ์ กว่าจะมาถึงมัน
*วันนนี้พอแค่นี้ก่อนนนะครับ พรุ่งนี้มาต่อนะ T^T เหนื่อยย กิจกรรมมหาลัยทำเอาเพลีย
[CR] Review: แบกเป้ ลุยเดี่ยว ภูทับเบิก ...หนุ่มใต้ไม่ชินอากาศหนาวเล้ยยยยยยย
ผมใช้พันทิปในการเที่ยว หลายต่อหลายครั้งเลยอยากจะลองเขียนรีวิวเอาดู เผื่อเกิดประโยชน์แก่คนอื่นบ้าง จะพยายามดึงความทรงจำมาให้มากที่สุด ถ้าอ่านไม่รู้เรื่อง หรือ ทำอะไรผิดพลาด ขอโทษ ด้วยนะครับ
เริ่มแรก ผม ได้โทรไปจองที่พักของ ภูนับดาว ตกลงราคากันก็อยู่ที่ 500 บาท มีเต็นท์ เครื่องนอน และอาหารเช้า
กะจะไปซื้อตั๋วที่หมอชิต 2 เพชรประเสริฐทัวร์ รอบ 22.00 น่าจะถึงหล่มสักประมาณ ตี สี่กว่าๆ แต่พอไปถึงประมาณ สามทุ่ม ตั๋ว ก็เหลือแค่ ปอ.2 รอบ 23.30 ผมก็โอเค ไม่เป็นไร ปอ.2 ราคาอยู่ที่ 250 ก็นั่งรอไป สองชั่วโมงกว่าๆ (ถ้าใครจะเดินทางแนะนำให้จองตั๋วล่วงหน้าดีกว่า )
ผม ถึงหล่มสักตอน ตีสี่ครึ่ง ลงมาด้วยความ งกๆ งงๆ อะไรที่ไหน งง ไปหมด เลยเดินหาตลาดเพราะจำได้ว่าในรีวิวสามารถโบกรถขนผักขึ้นไปภูทับเบิกได้ (เส้นทาง ที่จะไปภูทับเบิกคือ หล่มสัก > หล่มเก่า > แยกภูทับเบิก )
เดินถามข้อมูลคนในตลาดหล่มสัก เค้าก็บอกให้ไปโบกรถตรงตลาดผัก ม้งจะเยอะมาก เราก็เลย ทำการโบกรถคันแรกเพื่อไปตลาดผัก กว่าจะโบกได้ถึงตลาดผักก็ตีห้าเกือบครึ่ง
อากาศค่อนข้างเย็นมากในช่วงเช้ามืด แวะกิน น้ำเต้าหู้กับปาท๋องโก๋ พอถามราคา ถึงกับอ้าปากค้าง เพราะน้ำเต้าหู้ถุงละ 3 บาท ปาท๋องโก๋ อีก 7 ตัว รวมทั้งหมด 10 บาท เรายืนงง พร้อมถามว่า เท่าไหร่ครับ อยู่ประมาณสองสามครั้ง แม่ค้าน้ำเต้าหู้ใจดี คาวาอี้ ฝุดๆ บอกให้เรานั่งรอที่ร้าน ประมาณ หกโมง ม้งก็จะเริ่มลงมาแล้ว ( น้ำเต้าหู้ อร่อยจริงจัง )
ไอเรา ก็ โบกรถประมาณสองถึงสามคัน ไม่มีคันไหนขึ้น ภูทับเบิกเลย จนอยู่ดีๆ ก็มีรถม้งขับผ่านหน้าไป พร้อมทั้งท้ายกระบะมีหญิงสาว ดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยว นั่งหลังกระบะ อยู่อีก 3 คน
ไม่กล้าขอถ่ายรูปสาวๆเลย เรามาคนเดียวหน้าตาก็ค่อนข้างจะเป็นมิจฉาชีพซะด้วย ขอสงบเสงี่ยมเรียบร้อยจะดีกว่า แต่ นางสามคน เฮฮาตลอดทาง มีเอฟเฟ็คบ้างเวลารถหักเลี้ยว ทำให้การขึ้นภูดูไม่เหงาอีกต่อไป พอถึงแยกที่จะขึ้นภูทับเบิก ภารกิจตามล่า พระอาทิตย์ก็เกิดขึ้น
ไอที่ว่าภารกิจตามล่า พระอาทิตย์ คือ การเก็บภาพพระอาทิตย์ให้ทันนั่นเอง เพราะชาวม้งขับรถประหนึ่งเราเป็นกะหล่ำปลีที่อยู่หลังรถ โค้งก็มี แต่ไม่ถึงกับมาก รถค่อนข้างขับเร็ว หลังกระบะเกิดการสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา มือนึงต้องเกี่ยว ราวเหล็กด้านข้างไว้ อีกมือนึงก็รอกดชัตเตอร์ เป็นอะไรที่ทุลักทุเลมาก กว่าจะถ่ายพระอาทิตย์ได้ (ถ่ายไม่ทันบ้าง ต้นไม้บังบ้าง เบลอบ้าง ) เหนื่อยยยยยย แต่มันส์ดี
ก่อนจะถึงภูทับเบิก กะเริ่มเข้าสู่โหมด Silent hill หมอกตีหน้า อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ พี่ม้งวอร์คเกอร์ก็เริ่มชะลอรถให้ช้าลง เพราะหมอกสองข้างทางเริ่มหนาขึ้น
จากนั้นเราก็ถึงภูทับเบิก ซะที ลงรถด้วยความ งงอีกตามเคย ไม่รู้เป็นอะไร เวลามีฉากลงรถนี่ ต้อง งงง ทุกที T^คือไม่รู้จะเริ่มจากไหน ที่พักอยู่ไหนไม่รู้ ถามว่า D-tac มีสัญญาณมั๊ย ตอบเลยว่าไม่มี เราเลยเดินไปถามร้านหมูกระทะว่า ภูนับดาวอยู่ไหนครับ เค้าก็บอกทางว่าเดินไปฝั่งนี้นะ อีก 5 กิโล จย้าาาาาา 5 กิโล นางเห็นเราหมดหนทางเลยบอกว่า หาที่พักเอาแถวนี้เถอะ ให้เดินขึ้นไปตรง วิสาหกิจ ดู
เราก็เดินหาที่พักไปเรื่อย ส่วนใหญ่เหลือแต่ที่กางเต็นท์ เดินถามเรื่อยๆ ราคาก็อยู่ที่ 400-500 คือมีเต๊นท์ เครื่องนอน อาหารเช้า แต่ถ้าเอาเต็นท์มาเองก็ 50 – 100 ต่อคน ไอเราก็เดินหาอยู่นั่นแหละ หาวิวที่สวยที่สุด จนรู้สึกล้าและหนาวมาก จึงหยุดอยู่ที่ ภูทับเบิก รีสอร์ท ตัดสินใจเอาที่นี่เพราะเหนื่อย และไม่อยากหาแล้ว
เจ้าของรีสอร์ทบอกให้เรากลับมาอีกที เที่ยงๆ เพราะตอนนี้ ยังไม่เตรียมเต๊นท์ และคนยัง เช็คเอาท์ออกไม่หมด เราจึงขอฝากสัมภาระไว้ พี่เค้าก็รับฝากนะ คิดว่าจะเดินเล่นแถวนี้ แล้วไป วัดป่าภูทับเบิก Land mark ที่สำคัญอีกที่
*รอยยิ้มจากเด็กๆม้ง แจกความสดใส เป็นการต้อนรับที่มุ้งมิ้งดี
เดินเล่นไปเรื่อย ก็เห็น คนเค้ามุงอะไรกัน กำลังกิน เจ้าสีม่วงๆ มีเปลือก คือ ผมเป็นคนไม่รู้จักมันเผา T^T เลยจัดซักหน่อย ปกติเป็นคนกินอะไรซ้ำๆ
แต่ถ้าได้ออกมาเที่ยวแล้ว อะไรที่ไม่เคยกิน เราจะฟาดเรียบ แต่ก็อายๆอยู่เหมือนกันเพราะไม่รู้ว่าต้องแกะเปลือกก่อน แล้วกิน คือกัดไปแล้วเค้าก็หัวเราะแล้วบอกเราว่า"แกะปลอกก่อนค่ะๆ"
ดอกไม้ น้ำค้าง ในสายหมอก
ถ้าในโลกนี้เธอคือดอกไม้ ฉันก็เหมือนผีเสื้อโบยบินข้างกาย
เกาะกายกันทุกวัน เราจะมีกันไม่ไปไหน ,,,
กลับไปถามทางพี่ร้านหมูกระทะอีกรอบ ถามเรื่องการไปที่วัดป่าภูทับเบิก พี่เค้าก็บอกว่าอยู่อีกฝั่งนู้นนน เลย 5-6 กิโล โบกรถไปเถอะไอหนู !!!!
เอาวะ งานโบกต้องมา เราเลยกะจะเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ พร้อมกับโบกรถไปด้วย แต่ตอนนนี้แวะซื้อถุงมือก่อน (คู่ละ 40บาท) หนาววววว เกินไป ไม่ไหวแล้ว
เดินไปก็แวะถ่ายกะหล่ำปลีซักหน่อยเดี๊ยวเค้าจะว่าเรามาไม่ถึงอีก (สัญลักษณ์ประจำภูทับเบิก)
คือมาคนเดียวเว้ย ไม่มีใครถ่ายรูปให้เลยเว้ยย เซลฟีก็ได้เว้ยย ไม่เป็นไรเว้ยย T^T
เดินหล่อไปเรื่อยๆ รถไม่รับซักคัน ไม่เป็นไร เราเข้าใจ เรามันหน้าโจรใช่ไหม ระหว่างทางก็มีชาวม้งเอาผัก มาขาย
หึหึหึ.. ในที่สุด ก็มีคนรับไปส่งวัดป่าซักที พี่เค้าใจดีมากๆ นะ แบบไปส่งละรอเราถ่ายรูปด้วย แล้วจะพากลับมาส่งอีก คือ เราเคยเป็นผัวเมียเมื่อชาติที่แล้วรึป่าววว ? ทำไมใจดีอย่างนี้ T^T
ถึงวัดแล้วค้าบบบ บบ
ภายในวัดครับ
ภายนอกวัดครับ เหมือนเจดีย์กำลังสร้างอยู่ เห็นเค้าบอกว่าสร้างมานานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ ทางขึ้นลำบาก เลยทำให้ อุปกรณ์ กว่าจะมาถึงมัน
*วันนนี้พอแค่นี้ก่อนนนะครับ พรุ่งนี้มาต่อนะ T^T เหนื่อยย กิจกรรมมหาลัยทำเอาเพลีย