จุดอ่อนของ เชลซี?

นานแล้วที่ไม่เห็นพลพรรคปีศาจแดงสาธิตวิธีโกงความตายในช่วงทดเวลาบาดเจ็บแบบนี้ บทสรุปของการศึกระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ เชลซี เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเหมือนทีมสิงห์บลูส์จะถูกปล้นชัยชนะอย่างอุกอาจพลางเอา 3 แต้มที่สมควรจะได้ไปยัดลงโถส้วมแล้วกดชักโครกทิ้งอย่างน่าเสียดายซะมากกว่า แต่หนึ่งแต้มที่หลงเหลือกลับมาจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เช่นเดียวกับหนึ่งแต้มที่ได้มาจาก เอติฮัด สเตเดี้ยม นั่นแหละ

        การกลับออกมาจากบ้านของ แมนฯ ซิตี้ และ แมนฯ ยูไนเต็ด พร้อม 1 แต้มในมือถือว่าไม่เลวนะครับ - ที่สำคัญ เชลซี ยังคงนำโด่งเป็นจ่าฝูง ชนิดที่ไม่รู้จักกับความพ่ายแพ้นับตั้งแต่เปิดฤดูกาล (สถิติเดิมที่ทำไว้คือ 11 นัดติดต่อกันในฤดูกาล 2005-06 ก่อนจะพ่ายศึกที่ โอล แทร็ฟฟอร์ด แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-1) แถมยังยืดระยะห่างจากทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ ทีมเดียวที่คาดว่าจะเป็นหอกข้างแคร่ออกไปเป็น 6 แต้มแล้ว
  
         ฤดูกาลนี้ โชเซ่ มูรินโญ่ ได้ตัวผู้เล่นใหม่ในตำแหน่งที่เคยมีปัญหา ไม่เพียงแต่จะได้กองหน้าอย่าง ดิเอโก้ คอสต้า มาถล่มตาข่ายให้มันสิ้นซาก ยังได้ตัวขับเคลื่อนเกมอย่าง เชส ฟาเบรกาส มาเพิ่มประสิทธิภาพในเกมรุกอีกคน ทีมสิงห์น้ำเงินจึงกลายเป็นคนละทีมกับเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ด้วยมีทีมที่ลงตัวและสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
  
         ไม่เพียงเท่านั้น
  
         ผู้จัดการทีมโรคจิตอย่าง "จ่ามู" ยังยึดมั่นในปรัชญาเดิมที่เคยช่วยให้ เชลซี พุ่งชนความสำเร็จ นั่นคือการเน้นผลการแข่งขันมากกว่าความสะเด่าไปเลยอีน้องส์ของท่านผู้ชม พี่แกเป็นกุนซือที่ใส่ใจในรายละเอียดแทบจะทุกเม็ด แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ยอมปล่อยผ่าน เรียกว่าเขี้ยวลากดิน รอบคอบ ไม่ละเลย ไม่เลินเล่อ และไม่อะลุ้มอะล่วย
  
         ...ว่าแล้วขอยกตัวอย่างเกมที่ออกไปเยือน คริสตัล พาเลซ เมื่อสัปดาห์ก่อน
  
         เชลซี ครองบอลบุกมากกว่าตามเชิง ก่อนจะขึ้นนำอย่างรวดเร็ว และหลังจากนำห่างเป็น 2-0 ผู้เป็นกุนซือก็ปรับกลยุทธให้ลูกทีม "ปิดเกม" ทันที
  
         นั่นคือการเล่นอย่างรัดกุมมากขึ้น เน้นการครอบครองบอลมากกว่าการบุกเพื่อทำประตูเพิ่มที่อาจหมายถึงความเสี่ยง ขณะเดียวกับที่ คริสตัล พาเลซ ดูจะถอดใจยอมรับความปราชัยโดยดุษณี - รูปเกมหลังจากนั้นจึงออกมาน่าเบื่อเหมือนดูนักเตะ เชลซี เล่นลิงชิงบอลซะมากกว่า ซึ่งดูแล้วไม่มีปัญหา ชัยชนะเป็นของพวกเขาแน่
  
         15 นาทีสุดท้าย เชลซี ยังเหลือโควต้าเปลี่ยนผู้เล่นได้อีก 2 ตัว สถานการณ์แบบนี้ โชเซ่ มูรินโญ่ น่าจะถือโอกาสพักตัวสำคัญพลางมอบโอกาสให้ตัวสำรองหรือดาวรุ่งลงสนามบ้าง ทันใดภาพก็จับไปที่ โดมินิค โซลันเก้ กองหน้าดาวรุ่งอายุแค่ 17 ปีกับอีก 1 เดือนที่มีชื่อติดทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิต
  
         เขาออกมาวอร์มอยู่ข้างสนาม ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เจ้าหนูสิงห์นักเตะชาวอังกฤษผู้นี้จะถูกส่งลงมาทำสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของ เชลซี ที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก
  
         เหลือ 10 นาทีสุดท้าย รูปเกมของ เชลซี ยังเหนือกว่าทุกเหลี่ยมมุม มิหนำเจ้าถิ่นก็มิได้คุกคามอะไรมากมาย เรียกว่าร้องเพลง "ยอมยกธง" ของพี่กี้ร์ ตะกายตึก เป็นที่เรียบร้อย แต่ "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" ก็ยังไม่ยอมส่งตัวสำรองลงสนาม
  
         กระทั่ง 5 นาทีสุดท้ายก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนครับ เข้าใจว่าคงจะเอาให้ชัวร์ คือถ้าจะเปลี่ยนก็ต้องให้แน่ใจว่าจะไม่ส่งผลเสียต่อทีม
  
         นาทีต่อมา โมฮาเหม็ด ซาล่า ถูกส่งลงไปแทน เอแด็น อาซาร์ ที่ลากเลื้อยจนเหนื่อยแล้ว
  
         อีก 1 นาทีจะหมดเวลานั่นแหละ โดมินิค โซลันเก้ ถึงออกมายืนรอที่ริมเส้นพร้อมผู้ตัดสินที่ 4
  
         อืมมมมม...ดูใจคอของพี่แกซีครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกลัวอะไรนักหนา เอ๊ย!...ไม่ใช่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะละเอียดรอบคอบอะไรขนาดนั้น
  
         แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เพราะอยู่ดีๆ คริสตัล พาเลซ ที่ทำท่าว่าจะสิ้นลมปราณ วิญญาณล่องลอยออกจากร่างไปแบบไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดไปแล้วดันมีฮึดลืมตาขึ้นมาแสยะยิ้มซะอย่างนั้น ด้วยตีไข่แตกไล่ตามมาเป็น 2-1 ในนาทีสุดท้าย ก่อนทดเวลาบาดเจ็บ
  
         อ้าว!...ยิ้มสิครับแบบนี้ เพราะแทนที่เยาวชนของชาติอย่าง โดมินิค โซลันเก้ จะถูกส่งลงมาสร้างประวัติศาสตร์ สถานการณ์นั้นกลับทำให้ผู้จัดการทีมต้องเปลี่ยนใจเป็นการส่ง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ที่มีความจัดเจนสนามมากกว่าลงมาแทน

        อันที่จริงต่อให้ โซลันเก้ บนวัย 17 ขวบถูกส่งลงมาเป็นกองหน้าในเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดของช่วงทดเจ็บ ระดับ เชลซี ก็น่าจะเอาอยู่ได้ไม่ยาก แต่กุนซือระดับ "หนึ่งเดียวคนนี้" ไม่เสี่ยงครับ เดี๋ยวทำพลาดแล้วจะยุ่ง นี่คือความเขี้ยวของแก
  
         ทีนี้ย้อนกลับไปในเกมที่บุกไปเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน
  
         เชลซี เดินทางไปที่นั่นพร้อมรถบัสจำนวน 2 คันที่เช่าจากเจ๊ย์เกียว
  
         นี่คือประสงค์ของกุนซือจอมโอหังนะครับ คือไปเล่นเกมรับอย่างรัดกุมประหนึ่งเอารถบัสไปจอดขวางหน้าประตูตัวเอง หวังแค่แต้มเดียวไม่เสียหาย แมนฯ ซิตี้ จึงเป็นฝ่ายบุกกระหน่ำอยู่ข้างเดียว แต่นอกจากจะเจาะไม่เข้า ซ้ำร้าย ปาโบล ซาบาเลต้า ดันพลาดท่าโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม
  
         คดีพลิกเลยครับท่านผู้ชม เมื่อคู่แข่งเหลือตัวผู้เล่นน้อยกว่า เชลซี ก็อาศัยความได้เปรียบนี้ให้เป็นประโยชน์จนได้ประตูนำ หลังจากผู้เล่นของ แมนฯ ซิตี้ โดนไล่ออกแค่ 5 นาทีเท่านั้น
  
         นำ 1-0 แถมตัวผู้เล่นมากกว่า โอ้วซ์ซ์ซ์...เฟ็ดเฟ่! แบบนี้มันก็ "จบแล้วครับนาย" แต่แทนที่จะใช้ตัวผู้เล่นมากกว่าให้เป็นประโยชน์ เชลซี กลับหันมาเล่นเกมรับอย่างเต็มรูปแบบ โดยหวังรักษาสกอร์นำมากกว่าจะเดินหน้าเพื่อฆ่าให้ตายสนิทไปเลย
  
         สุดท้าย แมนฯ ซิตี้ ที่ไม่มีอะไรจะเสียก็ส่ง แฟรงค์ แลมพาร์ด ลงมาพร้อมความหวังว่ามันอาจจะเกิดเรื่องคลาสสิกขึ้น
  
         เกมลูกหนังกับเรื่องคลาสสิกนี่เป็นของคู่กัน ว่าแล้ว "พี่แฟรงค์" ก็ดันยิงทีมเก่าได้จริงๆ ช่วยให้ แมนฯ ซิตี้ รอดพ้นจากความปราชัยทั้งที่ตัวผู้เล่นเหลือน้อยกว่า
  
         เหตุเพราะการถอนคันเร่งแล้วหันมาเล่นเกมรับอย่างรัดกุมนี่แหละ
         เช่นเดียวกับเกมล่าสุดที่โรงละครแห่งความฝัน
         เชลซี ออกนำ 1-0 รูปเกมโดยรวมก็เหนือกว่าเจ้าถิ่นเล็กน้อย
  
         ทว่าหลังทำประตูนำแล้ว ผู้เล่นในชุดสีน้ำเงินก็เริ่มถอนตีนจากคันเร่ง ขี้เกียจบุกซะอย่างนั้น ขณะที่ มูรินโญ่ ทยอยส่งผู้เล่นประเภทตัวรับลงมาแทนตัวรุก
  
         มิดฟิลด์รับตัดเกมอย่าง จอห์น โอบี มิเคล ถูกส่งลงมาแทนตัวขับเคลื่อนอย่าง ออสการ์ ก่อนที่ เคิร์ต ซูม่า ที่เป็นกองหลังจะถูกส่งลงมาแทน วิลเลี่ยน ที่เป็นกองกลาง เรียกว่าแสดงเจตนารักษาสกอร์นำอย่างชัดแจ้งแทงตรงจุด ทั้งที่จะว่าไป...เกมรุกของปีศาจแดงก็ไม่ได้สยดสยองสร้างความลำบากใจให้ เชลซี สักเท่าไหร่ ก่อนจะมาโดนตีเสมอแบบจับผลัดจับพลูจากลูกตั้งเตะในนาทีสุดท้ายของช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
  
         เรื่องนี้ท่านผู้ชมทางบ้านอย่างผมมองว่าถ้า เชลซี เล่นตามเกมของตัวเองเหมือนเดิม ไม่ถอนตีนออกจากคันเร่งเปลี่ยนไปเน้นเกมรับซะก่อน พวกเขาน่าจะกลับออกไปจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด พร้อม 3 คะแนนเต็ม
  
         เพราะในเมื่อเหนือกว่า ก็ไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจท่านซาตาน ไอ้ที่ถูกปล้นชัยชนะอย่างอุกอาจในวินาทีสุดท้าย มันเกิดจากการผ่อนเกมเอง แถมดูจะชะล่าใจเกินไปหน่อย ด้วยคิดว่าเกมรับของตัวเองนี่เจ๋งแบบเต็มประดา
  
         หากสังเกตให้ดีจะพบว่าจ่าฝูง & ว่าที่แชมป์อย่าง เชลซี เสียประตูเกือบทุกนัดเหมือนกันนะครับ โดยหลายประตูเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาออกนำคู่แข่งแล้วหันมาเล่นเกมรับ
  
         จุดแข็งของ เชลซี คือความละเอียดของ โชเซ่ มูรินโญ่ ลูกทีมของเขาเล่นบนความแน่นอน รัดกุม และปลอดภัยไว้ก่อน เน้นผลการแข่งขันมากกว่าการบุกแบบเอาตาย ถ้ามันหมายถึงความเสี่ยงที่จะถูกสวนกลับ เฉพาะอย่างยิ่งหลังจากทำประตูนำคู่แข่ง ซึ่งในขณะเดียวกันมันเท่ากับกวักมือเรียกให้คู่แข่งเดินหน้าเข้าใส่แบบไม่มีอะไรจะเสีย
  
         ถามว่าจุดอ่อนของ เชลซี อยู่ตรงไหน?
  
         จุดอ่อนของ เชลซี มันก็แอบซ่อนอยู่ในจุดแข็งของตัวเองนั่นแหละครับ เข้าใจว่าผู้อ่านทุกท่านน่าจะตอบคำถามนี้ได้ไม่ยาก และถ้าไม่ปอดแหกซะอย่าง แมนฯ ซิตี้ กับ แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะเด๊ดห่าคาบ้านไปแล้ว!

"บอ.บู๋"


ขอบคุณ "บอ.บู๋" นะครับ ที่ช่วยวิเคราะห์จุดอ่อนให้กับสิงห์บลู
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่