นิพพานธาตุ

นิพพานในฐานะเป็นแดนดับ นี่ก็ หมายถึงสภาวธรรมตามธรรมชาติอันหนึ่ง หรือชนิดหนึ่ง ที่มนุษย์อาจจะเข้าถึงได้ หรือรู้สึกได้ ด้วยจิตของมนุษย์นั้นเอง นี่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นสิ่งที่ต้องรู้ หรือต้องรู้จัก ที่เรียกสิ่งนี้ว่าสภาวธรรมก็หมายความว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว มีอยู่เองตามธรรมชาติ เมื่อใครยังไม่ถึง หรือยังไม่ทำให้ปรากฏได้ ก็ดูคล้ายกับว่าไม่มี พอใครปฏิบัติถูกต้องได้ ก็ถึงแดนนั้นเขตนั้น หรือสภาวะอันนั้น นี้ออกจะเป็นโวหารสักหน่อย ที่ว่าแดนดับทุกข์ สภาวะดับทุกข์นั่นมันมีอยู่ตามธรรมชาติ ทั้งนี้ก็เพื่อจะป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจว่าเราสร้างมันขึ้นมา เราไม่ถือว่าเราอาจจะสร้างนิพพาน หรือสร้างความเย็น หรือสร้างอะไรขึ้นมาได้ นิพพานเป็นสิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติ เราต้องทำให้ถูกเรื่องแล้วสิ่งนั้นก็จะปรากฏแต่จิตมนุษญ์ นี้เรียกว่าเป็นสภาวธรรมตามธรรมชาติ ที่มนุษย์อาจจะเข้าถึงได้ด้วยการรู้สึกทางจิต หรือต้องเข้าถึงโดยจิต นิพพานในลักษณะที่เป็นแดนดับของความทุกข์ อย่างนี้ บางทีก็เรียกว่านิพพานธาตุ คือธาตุแห่งนิพพาน แปลว่าธาตุอันเป็นที่ดับของธาตุที่ไม่ใช่นิพพาน หมายความว่าธาตุนี้มีมากอย่างเดียวกัน นิพพานธาตุก็เป็นความดับของธาตุ อื่นๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า : อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ น อาโป น เตโช ฯลฯ ยืดยาวออกไป; อันมีใจความสั้นๆ เพียงแต่ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งนั้นมีอยู่คือ สิ่งซึ่งไม่ใช่ดิน ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่ไฟ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่อากาศ ไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ดวงจันทร์ ไม่เป็นการไป ไม่เป็นการมา ไม่เป็นการหยุดอยู่ อะไรทำนองนี้ ปฏิเสธหมดเรื่อยๆ ไป แต่สิ่งนั้นมีอยู่ และนั่นแหละเป็นที่ดับของทุกข์ เป็นที่สิ้นสุดของความทุกข์ อย่างนี้ท่านเล็งถึงนิพพานธาตุ หรือแดนเป็นที่ดับของความทุกข์ อันนี้ถูกเข้าใจผิด หรือว่าจะไม่เข้าใจผิดก็สุดแท้ แต่มันถูกสมมติให้เป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นนคร เรียกว่า นิพพานมหานคร หรือนครนิพพานหรืออะไรขึ้นมา นี่เรียกว่า พูดอย่างบุคคลาธิษฐาน สำหรับคนที่ฟังอย่างลึกซึ้งไม่ออก ก็พูดไว้คล้ายๆ เป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นโลกๆ หนึ่ง ให้พยายามปฏิบัติเพื่อจะได้ไปอยู่ในโลกนั้น ถ้าจะว่าโดยเนื้อแท้ก็เป็นสภาวธรรม ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่เมือง ไม่ใช่โลก แต่เป็นสภาพทางจิตชนิดหนึ่ง ที่เมื่อปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนเหมาะสมแล้ว สภาพนั้นก็จะปรากฏออกมา พระพุทธเจ้าท่านเรียกสิ่งนี้ว่า อายตนะอันหนึ่ง แต่ไม่ใช่อายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือไม่ใช่แม้แต่อายตนะคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ มันเป็นอายตนะที่ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เป็นวิสังขาร เป็นนิพพาน แต่ก็ต้องเรียกว่ามันเป็น “สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งมีอยู่ ที่เรียกว่านิพพานว่าอายตนะก็เพราะว่า เป็นสิ่งที่มนุษย์อาจจะรู้สึกได้ หรืออาจจะถูกรู้สึกได้ด้วยจิตใจของมนุษย์ ดังนั้นจึงเรียกว่าอายตนะด้วยเหมือนกัน แต่อย่าเอาไปปนกับอายตนะภายนอก อายตนะภายใน ทำนองนั้น นี้เรียกว่า นิพพานในฐานะเป็นแดนดับ อะไรเข้าไปถึงนั่นแล้วจะต้องดับ

คำบรรยายประจำวันเสาร์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๑๔ ในสวนโมกขพลาราม ของ พุทธทาสภิกขุ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่