*ได้โปรดเพื่อนๆอ่านให้จบ
หลังจากภาพยนต์อภิมหาปรัชญาอย่าง Lucy ฉายไปแล้ว 2 เดือนได้ถ้าจำไม่ผิด มันทำให้ผมชอบ "ปรัชญา" วิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ก่อนหน้านั้น Trancendence ที่มีปรัชญาหลักๆคือ "มนุษย์มักกลัวในสิ่งที่ไม่เข้าใจ" จากเรื่องนี้สู่ Lucy ทำให้ผมกลับชอบปรัชญามากขึ้น ทั้งที่ภาพยนต์ประเภทนี้ ทำให้ผู้ชมเบื่อ แน่นอนครับผมก็เบื่อ แต่ความวิเคราะห์ปรัชญามันมากกว่าความเบื่อ มันทำให้เข้าถึงเนื้อหา สิ่งที่เรื่องพยายามจะสื่อมากขึ้น เอาเป็นว่าเข้าเรื่องเลยครับ ที่ผมจะสื่อในหัวข้อนี้คือ ปรัชญาที่ได้จากลูซี่ มาวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นด้วยกันนะครับ ^^
" ต้องของบอกไว้ก่อนว่า บางทีผมอาจจะสื่อไม่เข้าใจ ก็ต้องขออภัยนะครับ แต่ละปรัชญาผมไม่ได้เรียงตามในหนัง ให้จับประเด็นและเชื่อแต่ละบทให้เข้ากันเองนะครับ และก็บางทีผมก็เก็บมาไม่ได้ทุกบท "
ชีวิตมีจุดประสงค์เดียว คือก้าวผ่านเวลา
ชีวิตเราถูกมอบให้เมื่อ 1,000 ล้านปีก่อน เซลล์หนึ่งเซลล์คือชีวิต แต่ถ้าสองเซลล์มันจะเริ่มขยับตัว ไม่ว่าจะเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ ไม่ว่าจะไส้เดือนหรือมนุษย์ล้วนคือชีวิต แล้วเราใช้ชีวิตเพื่ออะไรอะไร?
"ก้าวผ่านเวลา" ใช่ ! มันดูเหมือนจุดประสงค์เดียวของเซลล์ทุกเซลล์ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีสองทางเลือกเท่านั้น คือเป็น "อมตะ หรือ แพร่ขยายพันธ์ุ"
ชีวิตมีสองทางเลือก อมตะหรือแพร่ขยายพันธ์ุ
ถ้าสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เซลล์จะเลือกการเป็นอมตะ แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย เซลล์จะเลือกทางแพร่ขยายพันธ์ุ เช่นนั้นเมื่อมันตายมันจะถ่ายจะถ่ายทอดข้อมูลความรู้สู่เซลล์รุ่นลูกหลานต่อไป ดังนั้นความรู้แล้วการเรียนรู้ถูกถ่ายทอดผ่านเวลา
* แพร่ขยายพันธ์ุ นั้นไม่เท่าไหร่ แต่หลายๆคนคงจะงงกับคำว่า อมตะในที่นี้ แน่นอนครับ ผมก็เช่นกัน ก็ไม่แน่ใจว่าแท้จริงเรื่องจะสื่อถึงอะไร แต่ที่ผมคิดได้มีอยู่สองอย่าง
- 1.อมตะในที่นี้อาจจะหมายถึง การเป็นอมตะจริงๆ ซึ่งในชีวิตจริงก็ไม่ปรากฎแน่ชัด แต่มีสิ่งที่ใกล้เคียงคือ แมงกระพรุนที่เราเรียกว่า "Turritopsis Nutricula" ไอ้เจ้าแมงกระพรุนชนิดนี้สามารถมีชีวิตที่เป็นอมตะ โดยการย้อนวัยกลับมาเอ๊าะๆเหมือนเดิม คือเมื่อเข้าสู่วัยผสม มันจะสามารถย้อนกลับมาเป็นตัวอ่อนเหมือนเดิมได้ (transdifferentiation) ข้อมูลเพิ่มเติมของเจ้าแมงกระพรุน (PDF) -
http://goo.gl/NJgmAh
- 2.อมตะในที่นี้อาจจะหมายถึง การเป็นอมตะของสายพันธุ์ คือไม่จำเป็นต้องผสมข้ามสายพันธ์ุ ไม่ต้องเอาสุนัขกับแมวผสมกัน หรือไม่ต้องเอาสัตว์พันธ์ุนั้น ผสมกับพันธุ์นี้ ไม่มีการผสมคนผิวขาวกับผิวดำ ประมาณนี้
สรุปถ้าแพร่ขยายพันธ์ุก็คือ นำสองสายพันธ์ุมาผสมกัน ถ้าอมตะก็สายพันธ์ุเดียวอยู่ยาว
มนุษย์มองตัวเองเป็นเอกลักษณ์ จึงวางรากฐานการมีตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์
เมื่อก่อนเราเฝ้าถามตัวเองว่า เราเกิดมาทำไม ? เพื่ออะไร ? เมื่อเรียนจบ จะทำงานอะไร ? อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร ? เมื่อเราเข้าใจดีแล้ว เราจะตระหนักว่า "อะไรทำให้เราเป็นเรา" เราก็จะรู้ว่ามันคือ "รากฐาน"
สรุปการมีตัวตนของเรา เพื่อจุดประสงค์อะไร "ก้าวผ่านเวลา" ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาที่ผ่านมา
สรุปอีกรอบ มนุษย์มองตนเองว่ามีสติปัญญา มองว่าตนเองพิเศษ มีจุดประสงค์ของชีวิต มันคือเอกลักษณ์ของมนุษย์
หนึ่งบวกหนึ่งไม่เคยเท่ากับสอง
เราสร้างมาตราวัดขึ้นมา เพื่อให้ลืมมาตราที่ไม่อาจวัดได้ และโลกไม่ได้อยู่ใต้กฎหลักคณิตศาสตร์ ไม่มีตัวเลข ไม่มีตัวหนังสือ ไม่มีสิ่งใด ทุกสิ่งเรานิยามมันขึ้นมา เพื่อให้ทำให้ในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ ให้สามารถที่จะเข้าใจได้
*ไม่แน่นะครับ สิ่งที่เราวาดไว้มันก็อาจจะไม่เป็นเหมือนที่เราคิด จักรวาลเป็นอย่างไร ดวงดาวเอย กาแล็กซี่เอย เราไม่รู้แน่ชัด หรือแม้แต่โลกที่เราอาศัยอยู่
ถ้ามนุษย์ไม่ใช่ค่าวัดที่เป็นหน่วย ถ้าโลกไม่ได้อยู่ใต้กฎหลักคณิตศาสตร์ มันอยู่ภายใต้กฎอะไร ?
เวลาให้ค่ากำหนดการมีตัวตน เวลาคือหน่วยจริงในการวัด หากไม่มีเวลาก็ไม่มีตัวตน
คำตอบของทั้งหมดทั้งมวลคือ "เวลา" การมีตัวตนของเราก็เพื่อก้าวผ่านเวลา ใช้ชีวิตไปตามกาลเวลา ว่ากันว่าเวลาเกิดก่อนจักรวาล จักรวาลกำเนิดได้เพราะเวลา การกำเนิดของดวงดาว ถ้าไม่มีเวลาก็ไม่ทำให้มันเปลี่ยนสภาพ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องใช้เวลาเพื่อให้เห็นผล
*และจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่เหนือกาลเวลา?
เราไม่เคยตายจริงๆหรอก
จนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร? ตายแล้วไปไหน? บทนี้อาจเป็นคำตอบของเรื่อง อยู่เหนือกาลเวลา? กลายเป็นพลังงานธรรมชาติ? เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล? เป็นวิญญาน? ตกนรก? ขึ้นสวรรค์?
- บทนี้มันทำให้ผมนึกถึงปรัชญาจากเรื่อง The Day the Earth Stood Still ที่ว่า "ไม่มีสิ่งใดตายอย่างแท้จริง จักรวาลไม่เคยสูญเสียสิ่งใดทุกสิ่งนั้นเพียงแค่แปรเปลี่ยนสภาพไป"
- สรุปบทนี้ผมก็ไม่รู้คำตอบ ฝากไว้ไปคิดเล่นๆแล้วกันครับ
จบแล้วครับ ความจริงปรัชญามีเยอะกว่านี้ แต่มันเป็นประเด็นย่อยเลยแฝงไว้ในรายละเอียดของแต่ละบท เพราะทุกบทนั้นเชื่อมโยงกัน บางคนอาจจะไม่เข้าใจ บางคนอาจจะเข้าใจในความหมายอื่น ก็มาแชร์กันครับ ส่วนสิ่งที่ผมเข้าใจ ก็ที่เขียนมาทั้งหมดนี่ล่ะครับ
นี่เป็นเวอร์ชั่นเก่าที่ผมเขียนไว้ในบล็อกผมเอง
http://tlab.tk/lucy/ ตอนนี้ย้ายไปบล็อกใหม่แล้วครับ
http://www.orthosies.tk/ แต่ยังเก็บบล็อกเก่าอยู่ เผื่อเข้าสู้รูปแบบเว็บอย่างเต็มตัว ก็จะใช้อันเก่า
ส่วนใครที่อยากจะติดตามผมแวะมาได้ครับที่ "ไทม์แล็บ"
https://www.facebook.com/thetimelab พูดถึงเกี่ยวกับเวลา
ทั้งหมดทั้งมวลที่เขียน ก็มาจากเด็ก ม.ปลายเกรียนๆอย่างผมนี่ล่ะ แรงบรรดาลใจ : บทสนทนารวมถึงปรัชญาจากลูซี่และศาสตราจารย์ นอร์แมน และ สนทนาไซ-ไฟ
สิ่งที่ผมจะสื่อในกระทู้นี้คือ วิเคราะห์ทฤษฎีปรัชญาในหนัง ซึ่งในความจริงทฤษฎีพวกนี้เป็นไปได้ยาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีปรัชญาธรรมดาอยู่เช่น มนุษย์มีความกระหาย ใคร่จะมีมากกว่าที่เป็นอยู่ ก็แสดงออกถึงความโลภของมนุษย์ / สิ่งที่สร้างปัญหาทั้งหมดคือความเขลา ไม่ใช่ความรู้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้I AM EVERYWHERE
สิ่งที่คุณได้จากภาพยนต์เรื่อง Lucy สวยพิฆาต
หลังจากภาพยนต์อภิมหาปรัชญาอย่าง Lucy ฉายไปแล้ว 2 เดือนได้ถ้าจำไม่ผิด มันทำให้ผมชอบ "ปรัชญา" วิทยาศาสตร์มากขึ้น แต่ก่อนหน้านั้น Trancendence ที่มีปรัชญาหลักๆคือ "มนุษย์มักกลัวในสิ่งที่ไม่เข้าใจ" จากเรื่องนี้สู่ Lucy ทำให้ผมกลับชอบปรัชญามากขึ้น ทั้งที่ภาพยนต์ประเภทนี้ ทำให้ผู้ชมเบื่อ แน่นอนครับผมก็เบื่อ แต่ความวิเคราะห์ปรัชญามันมากกว่าความเบื่อ มันทำให้เข้าถึงเนื้อหา สิ่งที่เรื่องพยายามจะสื่อมากขึ้น เอาเป็นว่าเข้าเรื่องเลยครับ ที่ผมจะสื่อในหัวข้อนี้คือ ปรัชญาที่ได้จากลูซี่ มาวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นด้วยกันนะครับ ^^
" ต้องของบอกไว้ก่อนว่า บางทีผมอาจจะสื่อไม่เข้าใจ ก็ต้องขออภัยนะครับ แต่ละปรัชญาผมไม่ได้เรียงตามในหนัง ให้จับประเด็นและเชื่อแต่ละบทให้เข้ากันเองนะครับ และก็บางทีผมก็เก็บมาไม่ได้ทุกบท "
ชีวิตมีจุดประสงค์เดียว คือก้าวผ่านเวลา
ชีวิตเราถูกมอบให้เมื่อ 1,000 ล้านปีก่อน เซลล์หนึ่งเซลล์คือชีวิต แต่ถ้าสองเซลล์มันจะเริ่มขยับตัว ไม่ว่าจะเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ ไม่ว่าจะไส้เดือนหรือมนุษย์ล้วนคือชีวิต แล้วเราใช้ชีวิตเพื่ออะไรอะไร?
"ก้าวผ่านเวลา" ใช่ ! มันดูเหมือนจุดประสงค์เดียวของเซลล์ทุกเซลล์ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีสองทางเลือกเท่านั้น คือเป็น "อมตะ หรือ แพร่ขยายพันธ์ุ"
ชีวิตมีสองทางเลือก อมตะหรือแพร่ขยายพันธ์ุ
ถ้าสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เซลล์จะเลือกการเป็นอมตะ แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย เซลล์จะเลือกทางแพร่ขยายพันธ์ุ เช่นนั้นเมื่อมันตายมันจะถ่ายจะถ่ายทอดข้อมูลความรู้สู่เซลล์รุ่นลูกหลานต่อไป ดังนั้นความรู้แล้วการเรียนรู้ถูกถ่ายทอดผ่านเวลา
* แพร่ขยายพันธ์ุ นั้นไม่เท่าไหร่ แต่หลายๆคนคงจะงงกับคำว่า อมตะในที่นี้ แน่นอนครับ ผมก็เช่นกัน ก็ไม่แน่ใจว่าแท้จริงเรื่องจะสื่อถึงอะไร แต่ที่ผมคิดได้มีอยู่สองอย่าง
- 1.อมตะในที่นี้อาจจะหมายถึง การเป็นอมตะจริงๆ ซึ่งในชีวิตจริงก็ไม่ปรากฎแน่ชัด แต่มีสิ่งที่ใกล้เคียงคือ แมงกระพรุนที่เราเรียกว่า "Turritopsis Nutricula" ไอ้เจ้าแมงกระพรุนชนิดนี้สามารถมีชีวิตที่เป็นอมตะ โดยการย้อนวัยกลับมาเอ๊าะๆเหมือนเดิม คือเมื่อเข้าสู่วัยผสม มันจะสามารถย้อนกลับมาเป็นตัวอ่อนเหมือนเดิมได้ (transdifferentiation) ข้อมูลเพิ่มเติมของเจ้าแมงกระพรุน (PDF) - http://goo.gl/NJgmAh
- 2.อมตะในที่นี้อาจจะหมายถึง การเป็นอมตะของสายพันธุ์ คือไม่จำเป็นต้องผสมข้ามสายพันธ์ุ ไม่ต้องเอาสุนัขกับแมวผสมกัน หรือไม่ต้องเอาสัตว์พันธ์ุนั้น ผสมกับพันธุ์นี้ ไม่มีการผสมคนผิวขาวกับผิวดำ ประมาณนี้
สรุปถ้าแพร่ขยายพันธ์ุก็คือ นำสองสายพันธ์ุมาผสมกัน ถ้าอมตะก็สายพันธ์ุเดียวอยู่ยาว
มนุษย์มองตัวเองเป็นเอกลักษณ์ จึงวางรากฐานการมีตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์
เมื่อก่อนเราเฝ้าถามตัวเองว่า เราเกิดมาทำไม ? เพื่ออะไร ? เมื่อเรียนจบ จะทำงานอะไร ? อนาคตของเราจะเป็นอย่างไร ? เมื่อเราเข้าใจดีแล้ว เราจะตระหนักว่า "อะไรทำให้เราเป็นเรา" เราก็จะรู้ว่ามันคือ "รากฐาน"
สรุปการมีตัวตนของเรา เพื่อจุดประสงค์อะไร "ก้าวผ่านเวลา" ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญาที่ผ่านมา
สรุปอีกรอบ มนุษย์มองตนเองว่ามีสติปัญญา มองว่าตนเองพิเศษ มีจุดประสงค์ของชีวิต มันคือเอกลักษณ์ของมนุษย์
หนึ่งบวกหนึ่งไม่เคยเท่ากับสอง
เราสร้างมาตราวัดขึ้นมา เพื่อให้ลืมมาตราที่ไม่อาจวัดได้ และโลกไม่ได้อยู่ใต้กฎหลักคณิตศาสตร์ ไม่มีตัวเลข ไม่มีตัวหนังสือ ไม่มีสิ่งใด ทุกสิ่งเรานิยามมันขึ้นมา เพื่อให้ทำให้ในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ ให้สามารถที่จะเข้าใจได้
*ไม่แน่นะครับ สิ่งที่เราวาดไว้มันก็อาจจะไม่เป็นเหมือนที่เราคิด จักรวาลเป็นอย่างไร ดวงดาวเอย กาแล็กซี่เอย เราไม่รู้แน่ชัด หรือแม้แต่โลกที่เราอาศัยอยู่
ถ้ามนุษย์ไม่ใช่ค่าวัดที่เป็นหน่วย ถ้าโลกไม่ได้อยู่ใต้กฎหลักคณิตศาสตร์ มันอยู่ภายใต้กฎอะไร ?
เวลาให้ค่ากำหนดการมีตัวตน เวลาคือหน่วยจริงในการวัด หากไม่มีเวลาก็ไม่มีตัวตน
คำตอบของทั้งหมดทั้งมวลคือ "เวลา" การมีตัวตนของเราก็เพื่อก้าวผ่านเวลา ใช้ชีวิตไปตามกาลเวลา ว่ากันว่าเวลาเกิดก่อนจักรวาล จักรวาลกำเนิดได้เพราะเวลา การกำเนิดของดวงดาว ถ้าไม่มีเวลาก็ไม่ทำให้มันเปลี่ยนสภาพ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องใช้เวลาเพื่อให้เห็นผล
*และจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่เหนือกาลเวลา?
เราไม่เคยตายจริงๆหรอก
จนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร? ตายแล้วไปไหน? บทนี้อาจเป็นคำตอบของเรื่อง อยู่เหนือกาลเวลา? กลายเป็นพลังงานธรรมชาติ? เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล? เป็นวิญญาน? ตกนรก? ขึ้นสวรรค์?
- บทนี้มันทำให้ผมนึกถึงปรัชญาจากเรื่อง The Day the Earth Stood Still ที่ว่า "ไม่มีสิ่งใดตายอย่างแท้จริง จักรวาลไม่เคยสูญเสียสิ่งใดทุกสิ่งนั้นเพียงแค่แปรเปลี่ยนสภาพไป"
- สรุปบทนี้ผมก็ไม่รู้คำตอบ ฝากไว้ไปคิดเล่นๆแล้วกันครับ
จบแล้วครับ ความจริงปรัชญามีเยอะกว่านี้ แต่มันเป็นประเด็นย่อยเลยแฝงไว้ในรายละเอียดของแต่ละบท เพราะทุกบทนั้นเชื่อมโยงกัน บางคนอาจจะไม่เข้าใจ บางคนอาจจะเข้าใจในความหมายอื่น ก็มาแชร์กันครับ ส่วนสิ่งที่ผมเข้าใจ ก็ที่เขียนมาทั้งหมดนี่ล่ะครับ
นี่เป็นเวอร์ชั่นเก่าที่ผมเขียนไว้ในบล็อกผมเอง http://tlab.tk/lucy/ ตอนนี้ย้ายไปบล็อกใหม่แล้วครับ http://www.orthosies.tk/ แต่ยังเก็บบล็อกเก่าอยู่ เผื่อเข้าสู้รูปแบบเว็บอย่างเต็มตัว ก็จะใช้อันเก่า
ส่วนใครที่อยากจะติดตามผมแวะมาได้ครับที่ "ไทม์แล็บ" https://www.facebook.com/thetimelab พูดถึงเกี่ยวกับเวลา
ทั้งหมดทั้งมวลที่เขียน ก็มาจากเด็ก ม.ปลายเกรียนๆอย่างผมนี่ล่ะ แรงบรรดาลใจ : บทสนทนารวมถึงปรัชญาจากลูซี่และศาสตราจารย์ นอร์แมน และ สนทนาไซ-ไฟ
สิ่งที่ผมจะสื่อในกระทู้นี้คือ วิเคราะห์ทฤษฎีปรัชญาในหนัง ซึ่งในความจริงทฤษฎีพวกนี้เป็นไปได้ยาก แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีปรัชญาธรรมดาอยู่เช่น มนุษย์มีความกระหาย ใคร่จะมีมากกว่าที่เป็นอยู่ ก็แสดงออกถึงความโลภของมนุษย์ / สิ่งที่สร้างปัญหาทั้งหมดคือความเขลา ไม่ใช่ความรู้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้