ตัดสินใจอยู่นานพอสมควรว่าจะเขียนลงดีไหม แต่เมื่อไตร่ตรองแล้ว เรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต อาจเป็นสิ่งที่จะทำให้กับผู้ที่ท้อแท้ได้มีแรงลุกขึ้นสู้ขึ้นมาบ้าง
เราเป็นเด็กกำพร้าค่ะ พ่อแม่เสียชีวิตทั้งคู่ตอนที่เรากำลังจะจบชั้น ม.3 ฐานะทางบ้านเรียกได้เลยว่ายากจนค่ะ คิดไว้เลยว่าคงไม่มีโอกาสได้เรียนต่อแล้ว เราอยู่กับพี่สาวซึ่งท่านเลี้ยงดูเรามาตลอด พี่น้องมีกันอยู่ 5 คน ไม่เคยทิ้งกัน พี่สาวคนโตเป็นหลักของบ้านค่ะ น้องๆก็จะช่วยกันทำงาน ทำทุกอย่างเลยค่ะ เมื่อไม่มีพ่อแม่แล้ว ก็เหมือนบ้านไม่มีเสาหลัก น้องๆก็กำลังเรียน กำลังโต พี่สาวทำงานเหนื่อยมาก เรานอนร้องไห้ทุกคืน คิดไว้ว่าคงไม่มีโอกาสได้เรียนแล้วล่ะ แต่โชคดี พี่สาวคนที่สอง เอาเงินเดือนที่เพิ่งได้รับมา อ่อ พี่สาวเป็นสาวโรงงานแถวบ้านนะค่ะ พาเราไปสมัครเรียน ม.4 โรงเรียนตำบลใกล้บ้าน เราเลือกเรียนสายวิทย์-คณิตเลยค่ะ แต่หัวไม่ดี แต่ก็กัดฟันเรียนจนจบ เพราะรู้ว่า การศึกษาเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เรามีชีวิตที่มั่นคง ยอมอดมื้อกินมื้อ ยอมให้คนดูถูก ก้มหน้ารับชะตากรรมที่เกิดขึ้น แต่ไม่เคยเอาถ้อยคำที่ดูถูกเหล่านั้นมาบั่นทอนจิตใจ แต่ทางกลับกันคำพูดดูถูกเหล่านั้นมันเป็นพลังที่ทำให้เราอดทน ฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่าง เมื่อจบชั้น ม.6 เริ่มคิดหนักอีกแล้วค่ะ ว่าคงไม่มีทางได้เรียนระดับสูงอีกแน่ คงเป็นสาวโรงงงานอยู่แถวบ้าน แต่พอดีเลยค่ะ เหมือนโชคช่วย มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเอกชนมาแนะแนวเรื่องการเรียนต่อ แน่นอนค่ะ ขึ้นชื่อเอกชน ค่าเทอมต้องมาก แต่เราขอกู้ยืมเรียนค่ะ ปรึกษาอาจารย์เลยค่ะ เพราะอยากเรียนต่อ ซึ่งต้องไปเรียนในกรุงเทพ เราเริ่มวางแผนชีวิตว่าจะใช้จ่ายเงินอย่างไรกับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาใให้เพียงพอในแต่ละเดือน ซึ่งเราได้รับเงิน เดือนละ 1,000 บาทต่อเดือนค่ะ เมื่อได้เข้ามาเรียน ตั้งใจอย่างมากค่ะ เราเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ค่ะ เรียนแบบยากขึ้นๆ เพราะคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้น แค่เปิดปิดเครื่องเป็น พิมพ์ก็ไม่เป็น เรียนระดับมหาวิทยาลัย เพื่อนนี่แหละค่ะ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด มีเพื่อนดี พากันเรียน มีอะไรก็ปรึกษากัน อดมื้อกินมื้อกันเลย เพราะแต่ละคนมาจากต่างหวัดกันทั้งนั้น ไม่ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ ต้องบริหารเงินให้พอ กำหนดไปเลยค่ะ ว่า 100 บาท 1 วันต้องใช้ให้พอ ชีวิตชช่วงนั้นร้องไห้คิดถึงบ้าน คิดถึงพี่ อยากกลับบ้านแล้ว แต่ในเมื่อเรามีโอกาสมาได้ขนาดนี้ต้องสู้ ต้องพยายามให้ถึงที่สุดค่ะ ในที่สุดเราก็เรียนจบในระดับปริญญาตรี แน่นอนค่ะ ชีวิตไม่ได้ราบเรียบ การที่เป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตายหมด ต้องมีคนนินทาอยู่แล้วเป็นของธรรมดา ว่าเราว่ามาขายตัวอยู่ที่กรุงเทพ เพราะช่วงที่เรียนไม่ค่อยได้กลับบ้าน เพราะอะไรน่ะหรือค่ะ ปิดเทอม เราขออาจารย์ทำงานค่ะ เป็นคนดูแลทำความสะอาดหอพัก ขนขยะ แยกขยะ ทำทุกอย่างค่ะ ปิดเทอมเลยไม่ได้กลับบ้าน แต่คุยกับพี่สาวตลอดก็เลยรู้ๆมาว่า โดนว่าขนาดนี้ แต่เราคิดว่า ช่างเถอะปากคน จะพูดให้คนอื่นแย่ เสียหายก็เรื่องของมัน พอเรียนจบ การหางานทำเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่เพิ่งเรียนจบเลยค่ะ แต่มีโอกาสได้เที่ยวภาคใต้บ้านเพื่อน พอดีมีเอกสารทุกอย่างติดกระเป๋าไป เลยลองไปสมัครงานที่นั่น ปรากฏว่าได้เป็นลูกจ้างของส่วนราชการค่ะ เป็นลูกจ้างโครงการทำงานวิจัย ทำงาน 2 ปี อยากกลับบ้านแล้ว รู้สึกคิดถึงบ้านมาก ช่วงนั้นได้คุยกับคุณครูที่สอนเราตั้งแต่ประถมค่ะ เรารักท่านมากๆ ซึ่งต่อมาเราเรียกท่านว่า "แม่" ท่านบอกว่าให้กลับมาบ้าน มาเป็นครูอัตราจ้างที่โรงเรียนเดิม เมื่อมีโอกาสแล้วก็กลับบ้านเลยค่ะ ชีวิตเริ่มพลิกผันจุดๆนี้แหละ เราได้ใบบุญจากครูท่านนี้ ท่านอุปถัมภ์เราทุกอย่าง รักเรา ดูแลเราตลอด ชีวิตเหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยค่ะ ท่านส่งเสียให้เราเรียนจนจบวุฒิครู ท่านบอกว่า ตั้งใจเรียนให้จบ แล้วสอบเป็นครูให้ได้ ท่านจะเขียนในสมุดบันทึกของเราว่า "แม่ไม่ได้ให้ชีวิตที่เกิดมา แต่แม่ให้ความหวังใหม่ ที่อยากจะให้หนูมีชีวิตที่มั่นคง ไม่ว่าใครจะว่า จะดูถูกเรายังไงก็ตาม ขอให้หนูรู้ไว้ด้วยว่า แม่รักหนู แม่จะรอวันที่หนูใส่ชุดข้าราชการ แม่ไม่ขออะไรจากหนู แม่ขอแค่ให้หนูมีงานที่มั่นคง แค่นี้แม่ก็นอนตายตาหลับแล้ว" เราอ่านข้อความที่แม่เขียนซ้ำไปซ้ำมา รู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้มาอยู่กับแม่คนนี้ ชุบชีวิตเราเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ มีคนดูถูกสารพัด ณ ทุกวันนี้เราฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่าง จนวันนี้ค่ะ เราเป็น "ข้าราชการครู" เราสวมชุดข้าราชการให้แม่เห็น สิ่งที่ท่านทำให้คือ ท่านกอดเรา ทั้งๆที่เราไม่ใช่ลูกของท่าน แต่ท่านรักเรา ท่านอวยพรว่า "ขอให้หนูเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน เป็นครูที่ดีของนักเรียน และเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่" สิ่งที่อยากบอก นั่นก็คือ อุปสรรคในชีวิตสิ่งที่พบเจอมากน้อยต่างกัน กำลังใจสำคัญที่สุดค่ะ
แค่ "พยายาม" ทุกสิ่งย่อมได้เสมอ
เราเป็นเด็กกำพร้าค่ะ พ่อแม่เสียชีวิตทั้งคู่ตอนที่เรากำลังจะจบชั้น ม.3 ฐานะทางบ้านเรียกได้เลยว่ายากจนค่ะ คิดไว้เลยว่าคงไม่มีโอกาสได้เรียนต่อแล้ว เราอยู่กับพี่สาวซึ่งท่านเลี้ยงดูเรามาตลอด พี่น้องมีกันอยู่ 5 คน ไม่เคยทิ้งกัน พี่สาวคนโตเป็นหลักของบ้านค่ะ น้องๆก็จะช่วยกันทำงาน ทำทุกอย่างเลยค่ะ เมื่อไม่มีพ่อแม่แล้ว ก็เหมือนบ้านไม่มีเสาหลัก น้องๆก็กำลังเรียน กำลังโต พี่สาวทำงานเหนื่อยมาก เรานอนร้องไห้ทุกคืน คิดไว้ว่าคงไม่มีโอกาสได้เรียนแล้วล่ะ แต่โชคดี พี่สาวคนที่สอง เอาเงินเดือนที่เพิ่งได้รับมา อ่อ พี่สาวเป็นสาวโรงงานแถวบ้านนะค่ะ พาเราไปสมัครเรียน ม.4 โรงเรียนตำบลใกล้บ้าน เราเลือกเรียนสายวิทย์-คณิตเลยค่ะ แต่หัวไม่ดี แต่ก็กัดฟันเรียนจนจบ เพราะรู้ว่า การศึกษาเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เรามีชีวิตที่มั่นคง ยอมอดมื้อกินมื้อ ยอมให้คนดูถูก ก้มหน้ารับชะตากรรมที่เกิดขึ้น แต่ไม่เคยเอาถ้อยคำที่ดูถูกเหล่านั้นมาบั่นทอนจิตใจ แต่ทางกลับกันคำพูดดูถูกเหล่านั้นมันเป็นพลังที่ทำให้เราอดทน ฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่าง เมื่อจบชั้น ม.6 เริ่มคิดหนักอีกแล้วค่ะ ว่าคงไม่มีทางได้เรียนระดับสูงอีกแน่ คงเป็นสาวโรงงงานอยู่แถวบ้าน แต่พอดีเลยค่ะ เหมือนโชคช่วย มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเอกชนมาแนะแนวเรื่องการเรียนต่อ แน่นอนค่ะ ขึ้นชื่อเอกชน ค่าเทอมต้องมาก แต่เราขอกู้ยืมเรียนค่ะ ปรึกษาอาจารย์เลยค่ะ เพราะอยากเรียนต่อ ซึ่งต้องไปเรียนในกรุงเทพ เราเริ่มวางแผนชีวิตว่าจะใช้จ่ายเงินอย่างไรกับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาใให้เพียงพอในแต่ละเดือน ซึ่งเราได้รับเงิน เดือนละ 1,000 บาทต่อเดือนค่ะ เมื่อได้เข้ามาเรียน ตั้งใจอย่างมากค่ะ เราเลือกเรียนคณะวิทยาศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ค่ะ เรียนแบบยากขึ้นๆ เพราะคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้น แค่เปิดปิดเครื่องเป็น พิมพ์ก็ไม่เป็น เรียนระดับมหาวิทยาลัย เพื่อนนี่แหละค่ะ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด มีเพื่อนดี พากันเรียน มีอะไรก็ปรึกษากัน อดมื้อกินมื้อกันเลย เพราะแต่ละคนมาจากต่างหวัดกันทั้งนั้น ไม่ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ ต้องบริหารเงินให้พอ กำหนดไปเลยค่ะ ว่า 100 บาท 1 วันต้องใช้ให้พอ ชีวิตชช่วงนั้นร้องไห้คิดถึงบ้าน คิดถึงพี่ อยากกลับบ้านแล้ว แต่ในเมื่อเรามีโอกาสมาได้ขนาดนี้ต้องสู้ ต้องพยายามให้ถึงที่สุดค่ะ ในที่สุดเราก็เรียนจบในระดับปริญญาตรี แน่นอนค่ะ ชีวิตไม่ได้ราบเรียบ การที่เป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ตายหมด ต้องมีคนนินทาอยู่แล้วเป็นของธรรมดา ว่าเราว่ามาขายตัวอยู่ที่กรุงเทพ เพราะช่วงที่เรียนไม่ค่อยได้กลับบ้าน เพราะอะไรน่ะหรือค่ะ ปิดเทอม เราขออาจารย์ทำงานค่ะ เป็นคนดูแลทำความสะอาดหอพัก ขนขยะ แยกขยะ ทำทุกอย่างค่ะ ปิดเทอมเลยไม่ได้กลับบ้าน แต่คุยกับพี่สาวตลอดก็เลยรู้ๆมาว่า โดนว่าขนาดนี้ แต่เราคิดว่า ช่างเถอะปากคน จะพูดให้คนอื่นแย่ เสียหายก็เรื่องของมัน พอเรียนจบ การหางานทำเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่เพิ่งเรียนจบเลยค่ะ แต่มีโอกาสได้เที่ยวภาคใต้บ้านเพื่อน พอดีมีเอกสารทุกอย่างติดกระเป๋าไป เลยลองไปสมัครงานที่นั่น ปรากฏว่าได้เป็นลูกจ้างของส่วนราชการค่ะ เป็นลูกจ้างโครงการทำงานวิจัย ทำงาน 2 ปี อยากกลับบ้านแล้ว รู้สึกคิดถึงบ้านมาก ช่วงนั้นได้คุยกับคุณครูที่สอนเราตั้งแต่ประถมค่ะ เรารักท่านมากๆ ซึ่งต่อมาเราเรียกท่านว่า "แม่" ท่านบอกว่าให้กลับมาบ้าน มาเป็นครูอัตราจ้างที่โรงเรียนเดิม เมื่อมีโอกาสแล้วก็กลับบ้านเลยค่ะ ชีวิตเริ่มพลิกผันจุดๆนี้แหละ เราได้ใบบุญจากครูท่านนี้ ท่านอุปถัมภ์เราทุกอย่าง รักเรา ดูแลเราตลอด ชีวิตเหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยค่ะ ท่านส่งเสียให้เราเรียนจนจบวุฒิครู ท่านบอกว่า ตั้งใจเรียนให้จบ แล้วสอบเป็นครูให้ได้ ท่านจะเขียนในสมุดบันทึกของเราว่า "แม่ไม่ได้ให้ชีวิตที่เกิดมา แต่แม่ให้ความหวังใหม่ ที่อยากจะให้หนูมีชีวิตที่มั่นคง ไม่ว่าใครจะว่า จะดูถูกเรายังไงก็ตาม ขอให้หนูรู้ไว้ด้วยว่า แม่รักหนู แม่จะรอวันที่หนูใส่ชุดข้าราชการ แม่ไม่ขออะไรจากหนู แม่ขอแค่ให้หนูมีงานที่มั่นคง แค่นี้แม่ก็นอนตายตาหลับแล้ว" เราอ่านข้อความที่แม่เขียนซ้ำไปซ้ำมา รู้สึกว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้มาอยู่กับแม่คนนี้ ชุบชีวิตเราเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ มีคนดูถูกสารพัด ณ ทุกวันนี้เราฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่าง จนวันนี้ค่ะ เราเป็น "ข้าราชการครู" เราสวมชุดข้าราชการให้แม่เห็น สิ่งที่ท่านทำให้คือ ท่านกอดเรา ทั้งๆที่เราไม่ใช่ลูกของท่าน แต่ท่านรักเรา ท่านอวยพรว่า "ขอให้หนูเป็นข้าราชการที่ดีของแผ่นดิน เป็นครูที่ดีของนักเรียน และเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่" สิ่งที่อยากบอก นั่นก็คือ อุปสรรคในชีวิตสิ่งที่พบเจอมากน้อยต่างกัน กำลังใจสำคัญที่สุดค่ะ