ตอนนี้เป็นปัญหาอย่างมากสำหรับที่บ้านครับ
ที่บ้านและครอบครัวผมไม่สูบบุหรี่ บ้านนี้อยู่มาก็ 20 กว่าปีแล้ว เป็นตึกแถวฝั่งธนซึ่งอยู่ในซอยที่คนค่อนข้างพลุกพล่านแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสงบเปลี่ยนไป บ้านเป็นร้านขายของเล็กๆที่ไม่ได้ขายเอากำไรมากมาย และอยู่ได้เพราะว่าขายข้างนอกซะมากกว่า
ช่วง 10 ปีแรกๆไม่ค่อยมีปัญหา เพราะบ้านฝั่งซ้ายทำเป็นหอพักแบบตึกแถว ด้านล่างก็ให้บริษัทน้ำดำยี่ห้อหนึ่งเป็นสาขาย่อย ส่วนบ้านฝั่งขวาก็เป็นตึกแถวเช่นเดียวกัน และบริษํทน้ำดำก็เช่าพื้นที่เช่นกัน สรุปว่า บ้านไปตั้งอยู่ตรงกลางของแหล่งเกิดเสียงชั้นดีนี่เอง เสียงจะดังเวลาที่ต้องขนขวดน้ำที่เป็นขวดแก้วไปๆ มาๆ แต่เชื่อไหมครับ การที่เขาตั้งสาขาที่นี่ไม่ใช่ปัญหาของที่บ้านเลย เพราะว่าเรารู้กันอยู่แล้วว่าเขาจะทำอะไรในแต่ละวัน กลางวันทำงาน ส่วนกลางคืนก็กลับบ้านกัน สงบสุข ไม่มีความวุ่นวาย
หลังจากที่บริษัทน้ำดำเริ่มขยายกิจการ การเช่าตึกแถวบริเวณนั้นก็ต้องยกเลิกไปเพื่อไปอยู่คลังที่ใหญ่กว่า ก็เท่ากับว่า บ้านที่เช่าเพื่อเก็บสินค้าจะเป็นบ้านที่ไม่มีคนขึ้นมาทันที ซึ่งดีกับบ้านผมมากเพราะทีนี้จะไม่มีเสียงรบกวนเลยทั้งวันทั้งคืน
แต่เวลาผ่านไปประมาณ 2 ปี เจ้าของหอพักก็เอาชั้นล่างที่เคยเปิดให้เช้าเอามาทำร้านขายของเอง ที่บ้านไม่ได้ห่วงหรอกครับว่าจะมาแย่งลูกค้าไป เพราะจุดประสงค์การขายไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ที่บ้านผมขายของแห้ง แต่ใต้หอพักขายของเหมือนมินิมาร์ททั่วไป หลายๆครั้งยังไปซื้อของมากินอยู่เลยครับ
ร้านขายของใต้หอก็ขายไปได้เรื่อยๆ พร้อมกับคนอยู่อาศัยที่เริ่มเปลี่ยนไปมากๆด้วย จากเมื่อก่อนเป็นหอพักที่สงบเงียบ ส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง ตั้งแต่มีร้านขายของ ก็เริ่มมีผู้คนมากหน้าหลายตา ทุกอาชีพ ทุกความคิดมาอยู่รวมกัน จนรู้สึกว่าปัญหาเริ่มมากขึ้นแล้ว
วันเสาร์ อาทิตย์ ตอนเช้า จะมีห้องแถวๆนั้นเปิดเพลงเสียงดังๆยามเช้า เป็นเหมือนนาฬิกาปลุก อันนี้พอทนได้
คนเดินไปมาขวักไขว่ อันนี้ทนได้ ก่อนหน้านี้วุ่นกว่านี้ยังอยู่ได้เลย
แต่.. ซื้อบุหรี่แล้วสูบหน้าร้านนี้ เริ่มจะรับไม่ได้แล้ว..
แรกๆยังไม่ค่อยเยอะครับ เพราะว่าคนมาสูบบุหรี่แป๊บเดียวก็เดินไปทางอื่น พอหอพักเริ่มพัฒนา เริ่มหาตู้น้ำหยอดเหรียญ เริ่มมีเครื่องซักผ้าหยอดเรียญ ผู้คนที่กระหายการสูบบุหรี่ก็จะอาศัยตอนที่กดน้ำหรือซักผ้าสูบบุหรี่ ซึ่งกลิ่นนั้นก็ลอยเข้ามาในบ้านโดยที่ไม่ได้ต้องการ
ปัญหายังไม่หมดครับ
บ้านฝั่งขวาที่เป็นตึกแถวเหมือนกัน หลังจากที่เป็นบ้านร้างมาหลายปี ก็มีร้านเกมส์ที่ย้ายมาจากที่อื่นเปิดร้านอยู่บริเวณใกล้ๆ ซึ่งสิ่งที่เคยเห็นสมัยก่อนคือ เด็กโดดเรียนมาเล่นเกมส์ หรือ เล่นกันริมถนนเสียงดัง ซึ่งก็ยังพอทนได้ แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไป เด็กอายุสิบกว่าๆก็เริ่มสูบบุหรี่แล้ว ก็จะมาพ่นควันตรงข้างๆบ้าน ซึ่งควันก็จะปลิวเข้ามาในบ้านเหมือนกัน
ตอนนี้ปัญหาคือ ควันเข้ามาในบ้านทั้งสองทางเลย
เคยบอกเจ้าของร้านขายของและร้านเกมส์แล้วเรื่องปัญหา ก็ทำได้แค่วันสองวัน จากนั้นคนก็กลับมาสูบเหมือนเดิม
ทำแม้ป้ายติดไว้ทั้งสองฝั่ง ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะสุดท้ายคงอ่านภาษาไทยไม่ออก
ไปพูดกันว่าขอร้องให้ไม่สูบตรงนี้ ก็ทำเป็นหงุดหงิดใส่ เหมือนกับบ้านเราผิดเต็มๆ
ที่บ้านไม่ได้ห้ามใครสูบบุหรี่ เพียงแต่การสูบบุหรี่มันรบกวนผู้อื่น
เคสแบบนี้มีวิธีแนะนำไหมครับ ที่บ้านจะเป็น "บุหรี่มือสอง" กันทั้งบ้านแล้ว
แก้ปัญหายังไงดีครับ เมื่อประชากรที่สูบบุหรี่มักจะพ่นควันแล้วกลิ่นมักจะลอยเข้าบ้านโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่บ้านและครอบครัวผมไม่สูบบุหรี่ บ้านนี้อยู่มาก็ 20 กว่าปีแล้ว เป็นตึกแถวฝั่งธนซึ่งอยู่ในซอยที่คนค่อนข้างพลุกพล่านแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสงบเปลี่ยนไป บ้านเป็นร้านขายของเล็กๆที่ไม่ได้ขายเอากำไรมากมาย และอยู่ได้เพราะว่าขายข้างนอกซะมากกว่า
ช่วง 10 ปีแรกๆไม่ค่อยมีปัญหา เพราะบ้านฝั่งซ้ายทำเป็นหอพักแบบตึกแถว ด้านล่างก็ให้บริษัทน้ำดำยี่ห้อหนึ่งเป็นสาขาย่อย ส่วนบ้านฝั่งขวาก็เป็นตึกแถวเช่นเดียวกัน และบริษํทน้ำดำก็เช่าพื้นที่เช่นกัน สรุปว่า บ้านไปตั้งอยู่ตรงกลางของแหล่งเกิดเสียงชั้นดีนี่เอง เสียงจะดังเวลาที่ต้องขนขวดน้ำที่เป็นขวดแก้วไปๆ มาๆ แต่เชื่อไหมครับ การที่เขาตั้งสาขาที่นี่ไม่ใช่ปัญหาของที่บ้านเลย เพราะว่าเรารู้กันอยู่แล้วว่าเขาจะทำอะไรในแต่ละวัน กลางวันทำงาน ส่วนกลางคืนก็กลับบ้านกัน สงบสุข ไม่มีความวุ่นวาย
หลังจากที่บริษัทน้ำดำเริ่มขยายกิจการ การเช่าตึกแถวบริเวณนั้นก็ต้องยกเลิกไปเพื่อไปอยู่คลังที่ใหญ่กว่า ก็เท่ากับว่า บ้านที่เช่าเพื่อเก็บสินค้าจะเป็นบ้านที่ไม่มีคนขึ้นมาทันที ซึ่งดีกับบ้านผมมากเพราะทีนี้จะไม่มีเสียงรบกวนเลยทั้งวันทั้งคืน
แต่เวลาผ่านไปประมาณ 2 ปี เจ้าของหอพักก็เอาชั้นล่างที่เคยเปิดให้เช้าเอามาทำร้านขายของเอง ที่บ้านไม่ได้ห่วงหรอกครับว่าจะมาแย่งลูกค้าไป เพราะจุดประสงค์การขายไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ที่บ้านผมขายของแห้ง แต่ใต้หอพักขายของเหมือนมินิมาร์ททั่วไป หลายๆครั้งยังไปซื้อของมากินอยู่เลยครับ
ร้านขายของใต้หอก็ขายไปได้เรื่อยๆ พร้อมกับคนอยู่อาศัยที่เริ่มเปลี่ยนไปมากๆด้วย จากเมื่อก่อนเป็นหอพักที่สงบเงียบ ส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง ตั้งแต่มีร้านขายของ ก็เริ่มมีผู้คนมากหน้าหลายตา ทุกอาชีพ ทุกความคิดมาอยู่รวมกัน จนรู้สึกว่าปัญหาเริ่มมากขึ้นแล้ว
วันเสาร์ อาทิตย์ ตอนเช้า จะมีห้องแถวๆนั้นเปิดเพลงเสียงดังๆยามเช้า เป็นเหมือนนาฬิกาปลุก อันนี้พอทนได้
คนเดินไปมาขวักไขว่ อันนี้ทนได้ ก่อนหน้านี้วุ่นกว่านี้ยังอยู่ได้เลย
แต่.. ซื้อบุหรี่แล้วสูบหน้าร้านนี้ เริ่มจะรับไม่ได้แล้ว..
แรกๆยังไม่ค่อยเยอะครับ เพราะว่าคนมาสูบบุหรี่แป๊บเดียวก็เดินไปทางอื่น พอหอพักเริ่มพัฒนา เริ่มหาตู้น้ำหยอดเหรียญ เริ่มมีเครื่องซักผ้าหยอดเรียญ ผู้คนที่กระหายการสูบบุหรี่ก็จะอาศัยตอนที่กดน้ำหรือซักผ้าสูบบุหรี่ ซึ่งกลิ่นนั้นก็ลอยเข้ามาในบ้านโดยที่ไม่ได้ต้องการ
ปัญหายังไม่หมดครับ
บ้านฝั่งขวาที่เป็นตึกแถวเหมือนกัน หลังจากที่เป็นบ้านร้างมาหลายปี ก็มีร้านเกมส์ที่ย้ายมาจากที่อื่นเปิดร้านอยู่บริเวณใกล้ๆ ซึ่งสิ่งที่เคยเห็นสมัยก่อนคือ เด็กโดดเรียนมาเล่นเกมส์ หรือ เล่นกันริมถนนเสียงดัง ซึ่งก็ยังพอทนได้ แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไป เด็กอายุสิบกว่าๆก็เริ่มสูบบุหรี่แล้ว ก็จะมาพ่นควันตรงข้างๆบ้าน ซึ่งควันก็จะปลิวเข้ามาในบ้านเหมือนกัน
ตอนนี้ปัญหาคือ ควันเข้ามาในบ้านทั้งสองทางเลย
เคยบอกเจ้าของร้านขายของและร้านเกมส์แล้วเรื่องปัญหา ก็ทำได้แค่วันสองวัน จากนั้นคนก็กลับมาสูบเหมือนเดิม
ทำแม้ป้ายติดไว้ทั้งสองฝั่ง ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะสุดท้ายคงอ่านภาษาไทยไม่ออก
ไปพูดกันว่าขอร้องให้ไม่สูบตรงนี้ ก็ทำเป็นหงุดหงิดใส่ เหมือนกับบ้านเราผิดเต็มๆ
ที่บ้านไม่ได้ห้ามใครสูบบุหรี่ เพียงแต่การสูบบุหรี่มันรบกวนผู้อื่น
เคสแบบนี้มีวิธีแนะนำไหมครับ ที่บ้านจะเป็น "บุหรี่มือสอง" กันทั้งบ้านแล้ว