.....‘ความตาย’ สิ่งที่ใครๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้
งั้นเรามาทำความรู้จักให้มันสนิทสนมกันไปเลยดีกว่า
......Fact 1 :
การย่อยสลาย

3 วันหลังจากหมดลมหายใจ เอนไซม์ที่ครั้งหนึ่งใช้ย่อยอาหารในกระเพาะ
มันจะเริ่มกัดกิน และย่อยสลายอวัยวะในร่างกายแทน
เนื่องจากพอตายแล้วแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่จะเกิดการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว
แล้วแผ่ขยายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิบริเวณรอบๆ ศพด้วย
อย่างเช่น ศพที่อยู่ในบริเวณที่มีอากาศร้อนจะเน่าสลายตัวเร็วกว่าศพที่อยู่ในบริเวณที่มีอากาศเย็น
....Fact 2 :
ถนัดซ้ายตายเร็วกว่า

ข้อนี้คนถนัดซ้ายถึงกับผวาเมื่อมีรายงานว่า คนที่ถนัดมือซ้ายจะตายเร็วกว่าคนที่ถนัดมือขวาอย่างน้อย 3 ปี
โดย ดร. Stanley Coren จากมหาวิทยาลัย British Columbia ได้วิจัยเรื่องคนถนัดมือซ้ายนั้นมีอัตราการตายสูงกว่าคนถนัดมือขวา
เนื่องจากประชากรบนโลกมีจำนวนคนถนัดขวาเยอะกว่าคนถนัดซ้าย คิดเป็นอัตราส่วน 90 : 10
และส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
ทำให้อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ ออกแบบมาเพื่อคนถนัดมือขวาซะมากกว่า
เมื่อคนถนัดมือซ้ายมาใช้ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่า
ส่วนพวกประกันอุบัติเหตุก็ไม่รอช้าตั้งท่าจะเก็บเบี้ยค่าประกันคนที่ถนัดซ้ายมากกว่าอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามการวิจัยนี้ก็มีคนออกมาโต้แย้ง
เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างที่ ดร. Stanley Coren ใช้วิจัยยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ
จึงไม่อาจสรุปได้ว่า คนถนัดซ้ายจะตายเร็วกว่าคนถนัดมือขวาจริงหรือเปล่า...โล่งอกกันไป
......Fact 3 :
หลังความตายสิ่งสุดท้ายคือการได้ยิน

ทางการแพทย์แบ่งการตายไว้หลายระดับทั้ง การตายเมื่อหัวใจหยุดทำงาน ภาวะสมองตาย และการตายระดับเซลล์
แต่ก่อนการตายไม่ตายนั้นดูที่หัวใจ
แต่เมื่อวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น สิ่งที่จะตัดสินว่าตายหรือไม่นั้นส่วนสำคัญคือ ‘สมอง’
และถ้าสมองตายเมื่อไหร่นั้นทุกระบบในร่างกายก็จะหยุดทำงาน แต่สิ่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่นั้นคือการได้ยิน
....Fact 4 :
บทเพลงมรณะ

‘Gloomy Sunday’ เพลงที่มีเนื้อหาเศร้าโคตรๆ
จนคนที่ได้ฟังนั้นเกิดนึกอยากจะฆ่าตัวตัวตายขึ้นมา
ซึ่งเแต่งโดย เรสโซ เซเรสส์ (Reszo Seress)
นักแต่งเพลงชาวฮังการีที่มาค้นฟ้าคว้าดาวในนครปารีส
แต่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จ แถมแฟนยังมาทิ้งอีก
และในวันอาทิตย์วันหนึ่งก็ได้ก่อกำเนิดเพลงนี้ขึ้นมา
และด้วยเพลงๆ นี้นี่แหละที่ทำให้คนฟังถึงกับฆ่าตัวตายนับรวมกันแล้วยอดทะลุถึง 200 กว่าราย
และหนึ่งในนั้นก็คือ ตัว Reszo เองด้วย
เพราะหลังจากแต่งเพลงนี้จบเขาก็แต่งเพลงอื่นไม่ออกอีกเลย
บทเพลงมรณะนี้ถึงกับทำให้รัฐบาลฮังการี และอังกฤษ ต้องสั่งห้ามเผยแพร่เพลงนี้โดยเด็ดขาด...
ยังสงสัยอยู่ว่าตกลงมันเป็นที่เพลง หรือเป็นที่คนฟังกันแน่หว่า ?
....Fact 5 :
ชำแหละศพให้แร้งกิน

พิธีสำคัญของชาวพุทธทิเบต โดยการนำศพมาชำแหละเพื่อเป็นทานให้แก่แร้ง
โดยเริ่มตั้งแต่แกะผ้าห่อศพ พระผู้ทำพิธีก็จะตัดศพออกเป็นชิ้นๆ ด้วยขวาน
จากนั้นค่อยเรียกบรรดาแร้งทั้งหลายที่ตั้งท่ารอไว้อยู่แล้วให้ลงมาฉีก จิก ทึ้ง กันตามใจ
และสุดท้ายค่อยเผาเสื้อผ้า และเส้นผม สิ่งสุดท้ายที่แร้งเหลือไว้นั่นเอง
โดยพิธีนี้สืบทอดต่อมากันยาวนาน
เพราะชาวทิเบตเชื่อว่า ร่างกายมนุษย์เป็นแค่เปลือกๆหนึ่งเท่านั้น
และยังถือเป็นการให้ทานแร้ง เพื่อที่แร้งจะได้ไม่ต้องไปหาอาหารเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยอีกตั้งหลายมื้อ
เพราะศพก็คงทำให้มันอิ่มแปล้ไปได้หลายวันอยู่
...Fact 6 :
ขี้เถ้าในกระป๋อง

ขี้เถ้าหลังจากเผาแล้วคนเราจะเอาไปไว้ที่ไหน...?
แน่นอนถ้าเป็นคนทั่วไปก็ต้องใส่ไว้ในโกศ หรือบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่ขี้เถ้าโดยเฉพาะ
แต่ไม่ใช่กับ Fredric John Baur นักเคมีชาวอเมริกัน ผู้คิดค้นบรรจุภัณฑ์ขนมยอดฮิตอย่าง Pringles
เขาได้ขอให้ลูกๆ นำขี้เถ้าของเขาใส่ไว้ในกระป๋อง Pringles แล้วฝังมันลงไปในหลุมศพซะเลย...
กลัวไม่มีใครรู้ใช่มะ ว่าเฮียคือผู้คิดค้นกระป๋องน่ะ
.....Fact 7 :
เซลล์ในร่างกายตายทุก 1 นาที

ร่างกายของคนเราประกอบด้วยเซลล์จำนวนไม่น้อยกว่า ..ห้าหมื่นล้านหน่วย
โดยมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไป ทำงานต่อเนื่องกันไม่ได้หยุดได้หย่อน
โดยจะมี 35 ล้านเซลล์ในร่างกายพากันตายทุก 1 นาที...
ทำงานกันไม่หยุดขนาดนี้ ถ้าเป็นคนคงน็อคไปเรียบร้อยแล้ว
...Fact 8 :
โทษประหารในซูดาน

การตรึงกางเขน เป็นวิธีการประหารโดยผู้ถูกลงโทษจะโดนผูกหรือตอกตะปูบนไม้กางเขน
และปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย
ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้ในสมัยจักรวรรดิโรมัน และประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน
แต่บางประเทศในตอนนี้ก็ยังคงใช้วิธีนี้ในการลงโทษประหารอยู่อย่างเช่น ซูดาน
นอกจากนั้นการตรึงกางเขนแล้ว
ประเทศซูดานยังใช้วิธีการประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ, ยิงเป้า และการขวางด้วยหินอีกด้วย
...Fact 9 :
ฝังศพคนตาย

การนำร่างไร้ลมหายใจไปฝังไว้ใต้ดินนั้นเป็นการปฏิบัติต่อคนที่ตายไปแล้ว
โดยมีนานถึง 350,000 ปี จากหลักฐานคือ หลุมลึก 45 ฟุต ในโบราณสถาน Atapuerca ประเทศสเปน
ซึ่งถือเป็นหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งเต็มไปด้วยฟอสซิลของของมนุษย์วานรโฮมินิดอายุนับ 1 ล้านปี
....Fact 10 :
คน VS ฉลาม

ฉลาม สัตว์อันตรายและโหดร้ายในน่านน้ำมหาสมุทร
ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วฉลามงับคนตายอย่างมากก็ไม่เกิน 5 คน/ปี
แต่คนเนี่ยสิจับฉลามมาต้มยำทำแกงถี่ยิบถึง 8,000 ตัว/ชั่วโมง
ก็เลยไม่รู้ว่าคน หรือฉลามกันแน่ที่ร้ายกว่ากัน
....ข้อเท็จจริงเกี่ยวความตายที่นำเสนอนั้น
ไม่ได้ต้องการให้เกิดความหวาดกลัว
แต่เพียงเพื่อให้เกิดความชัวร์ว่า..ละจากโลกนี้ไปอย่างรู้เท่าทัน
.......ข้อเท็จจริงบางอย่างเกี่ยวกับ "ความตาย"
งั้นเรามาทำความรู้จักให้มันสนิทสนมกันไปเลยดีกว่า
......Fact 1 : การย่อยสลาย
3 วันหลังจากหมดลมหายใจ เอนไซม์ที่ครั้งหนึ่งใช้ย่อยอาหารในกระเพาะ
มันจะเริ่มกัดกิน และย่อยสลายอวัยวะในร่างกายแทน
เนื่องจากพอตายแล้วแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่จะเกิดการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว
แล้วแผ่ขยายไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิบริเวณรอบๆ ศพด้วย
อย่างเช่น ศพที่อยู่ในบริเวณที่มีอากาศร้อนจะเน่าสลายตัวเร็วกว่าศพที่อยู่ในบริเวณที่มีอากาศเย็น
....Fact 2 : ถนัดซ้ายตายเร็วกว่า
ข้อนี้คนถนัดซ้ายถึงกับผวาเมื่อมีรายงานว่า คนที่ถนัดมือซ้ายจะตายเร็วกว่าคนที่ถนัดมือขวาอย่างน้อย 3 ปี
โดย ดร. Stanley Coren จากมหาวิทยาลัย British Columbia ได้วิจัยเรื่องคนถนัดมือซ้ายนั้นมีอัตราการตายสูงกว่าคนถนัดมือขวา
เนื่องจากประชากรบนโลกมีจำนวนคนถนัดขวาเยอะกว่าคนถนัดซ้าย คิดเป็นอัตราส่วน 90 : 10
และส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
ทำให้อุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ ออกแบบมาเพื่อคนถนัดมือขวาซะมากกว่า
เมื่อคนถนัดมือซ้ายมาใช้ก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่า
ส่วนพวกประกันอุบัติเหตุก็ไม่รอช้าตั้งท่าจะเก็บเบี้ยค่าประกันคนที่ถนัดซ้ายมากกว่าอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามการวิจัยนี้ก็มีคนออกมาโต้แย้ง
เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างที่ ดร. Stanley Coren ใช้วิจัยยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ
จึงไม่อาจสรุปได้ว่า คนถนัดซ้ายจะตายเร็วกว่าคนถนัดมือขวาจริงหรือเปล่า...โล่งอกกันไป
......Fact 3 : หลังความตายสิ่งสุดท้ายคือการได้ยิน
ทางการแพทย์แบ่งการตายไว้หลายระดับทั้ง การตายเมื่อหัวใจหยุดทำงาน ภาวะสมองตาย และการตายระดับเซลล์
แต่ก่อนการตายไม่ตายนั้นดูที่หัวใจ
แต่เมื่อวิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าขึ้น สิ่งที่จะตัดสินว่าตายหรือไม่นั้นส่วนสำคัญคือ ‘สมอง’
และถ้าสมองตายเมื่อไหร่นั้นทุกระบบในร่างกายก็จะหยุดทำงาน แต่สิ่งสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่นั้นคือการได้ยิน
....Fact 4 : บทเพลงมรณะ
‘Gloomy Sunday’ เพลงที่มีเนื้อหาเศร้าโคตรๆ
จนคนที่ได้ฟังนั้นเกิดนึกอยากจะฆ่าตัวตัวตายขึ้นมา
ซึ่งเแต่งโดย เรสโซ เซเรสส์ (Reszo Seress)
นักแต่งเพลงชาวฮังการีที่มาค้นฟ้าคว้าดาวในนครปารีส
แต่ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จ แถมแฟนยังมาทิ้งอีก
และในวันอาทิตย์วันหนึ่งก็ได้ก่อกำเนิดเพลงนี้ขึ้นมา
และด้วยเพลงๆ นี้นี่แหละที่ทำให้คนฟังถึงกับฆ่าตัวตายนับรวมกันแล้วยอดทะลุถึง 200 กว่าราย
และหนึ่งในนั้นก็คือ ตัว Reszo เองด้วย
เพราะหลังจากแต่งเพลงนี้จบเขาก็แต่งเพลงอื่นไม่ออกอีกเลย
บทเพลงมรณะนี้ถึงกับทำให้รัฐบาลฮังการี และอังกฤษ ต้องสั่งห้ามเผยแพร่เพลงนี้โดยเด็ดขาด...
ยังสงสัยอยู่ว่าตกลงมันเป็นที่เพลง หรือเป็นที่คนฟังกันแน่หว่า ?
....Fact 5 : ชำแหละศพให้แร้งกิน
พิธีสำคัญของชาวพุทธทิเบต โดยการนำศพมาชำแหละเพื่อเป็นทานให้แก่แร้ง
โดยเริ่มตั้งแต่แกะผ้าห่อศพ พระผู้ทำพิธีก็จะตัดศพออกเป็นชิ้นๆ ด้วยขวาน
จากนั้นค่อยเรียกบรรดาแร้งทั้งหลายที่ตั้งท่ารอไว้อยู่แล้วให้ลงมาฉีก จิก ทึ้ง กันตามใจ
และสุดท้ายค่อยเผาเสื้อผ้า และเส้นผม สิ่งสุดท้ายที่แร้งเหลือไว้นั่นเอง
โดยพิธีนี้สืบทอดต่อมากันยาวนาน
เพราะชาวทิเบตเชื่อว่า ร่างกายมนุษย์เป็นแค่เปลือกๆหนึ่งเท่านั้น
และยังถือเป็นการให้ทานแร้ง เพื่อที่แร้งจะได้ไม่ต้องไปหาอาหารเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยอีกตั้งหลายมื้อ
เพราะศพก็คงทำให้มันอิ่มแปล้ไปได้หลายวันอยู่
...Fact 6 : ขี้เถ้าในกระป๋อง
ขี้เถ้าหลังจากเผาแล้วคนเราจะเอาไปไว้ที่ไหน...?
แน่นอนถ้าเป็นคนทั่วไปก็ต้องใส่ไว้ในโกศ หรือบรรจุภัณฑ์สำหรับใส่ขี้เถ้าโดยเฉพาะ
แต่ไม่ใช่กับ Fredric John Baur นักเคมีชาวอเมริกัน ผู้คิดค้นบรรจุภัณฑ์ขนมยอดฮิตอย่าง Pringles
เขาได้ขอให้ลูกๆ นำขี้เถ้าของเขาใส่ไว้ในกระป๋อง Pringles แล้วฝังมันลงไปในหลุมศพซะเลย...
กลัวไม่มีใครรู้ใช่มะ ว่าเฮียคือผู้คิดค้นกระป๋องน่ะ
.....Fact 7 : เซลล์ในร่างกายตายทุก 1 นาที
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยเซลล์จำนวนไม่น้อยกว่า ..ห้าหมื่นล้านหน่วย
โดยมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไป ทำงานต่อเนื่องกันไม่ได้หยุดได้หย่อน
โดยจะมี 35 ล้านเซลล์ในร่างกายพากันตายทุก 1 นาที...
ทำงานกันไม่หยุดขนาดนี้ ถ้าเป็นคนคงน็อคไปเรียบร้อยแล้ว
...Fact 8 : โทษประหารในซูดาน
การตรึงกางเขน เป็นวิธีการประหารโดยผู้ถูกลงโทษจะโดนผูกหรือตอกตะปูบนไม้กางเขน
และปล่อยทิ้งไว้ให้ตาย
ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้ในสมัยจักรวรรดิโรมัน และประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน
แต่บางประเทศในตอนนี้ก็ยังคงใช้วิธีนี้ในการลงโทษประหารอยู่อย่างเช่น ซูดาน
นอกจากนั้นการตรึงกางเขนแล้ว
ประเทศซูดานยังใช้วิธีการประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ, ยิงเป้า และการขวางด้วยหินอีกด้วย
...Fact 9 : ฝังศพคนตาย
การนำร่างไร้ลมหายใจไปฝังไว้ใต้ดินนั้นเป็นการปฏิบัติต่อคนที่ตายไปแล้ว
โดยมีนานถึง 350,000 ปี จากหลักฐานคือ หลุมลึก 45 ฟุต ในโบราณสถาน Atapuerca ประเทศสเปน
ซึ่งถือเป็นหลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งเต็มไปด้วยฟอสซิลของของมนุษย์วานรโฮมินิดอายุนับ 1 ล้านปี
....Fact 10 : คน VS ฉลาม
ฉลาม สัตว์อันตรายและโหดร้ายในน่านน้ำมหาสมุทร
ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วฉลามงับคนตายอย่างมากก็ไม่เกิน 5 คน/ปี
แต่คนเนี่ยสิจับฉลามมาต้มยำทำแกงถี่ยิบถึง 8,000 ตัว/ชั่วโมง
ก็เลยไม่รู้ว่าคน หรือฉลามกันแน่ที่ร้ายกว่ากัน
....ข้อเท็จจริงเกี่ยวความตายที่นำเสนอนั้น
ไม่ได้ต้องการให้เกิดความหวาดกลัว
แต่เพียงเพื่อให้เกิดความชัวร์ว่า..ละจากโลกนี้ไปอย่างรู้เท่าทัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้