"อย่าแคร์สายตาคนอื่น ที่คอยแต่จะจับจองทำร้ายเรา เราควรแคร์มือที่คอยโอบอุ้มเราตลอดเวลาดีกว่า"

ชีวิตตั้งแต่จำความได้เราแข่งขันกันตลอดเวลา ไม่มีมิตรแท้ และ ศัตรูที่ยั่งยืน บางครั้งเราไม่ได้แข่งขันกับใครก็ตาม แต่ก็ยังมีคนที่คอยจับจองที่จะแข่งขันกับเราตลอดเวลา เพราะ สังคมเราอยู่กับการแข่งขัน มันฝังรากหยั่งลึก จนการแข่งขันเป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นความเคยชินที่เราไม่รู้ตัวไปแล้ว

ตอนเป็นเด็กเราก็แข่งกับเพื่อนในชั้นเรียน เพื่อให้ได้ที่ 1 ทั้งๆที่โตขึ้นมาเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นที่ 1 ไหม เราจะประสบความสำเร็จจากการเป็นที่หนึ่ง หรือเปล่า แต่เมื่อไหร่ ที่เราสอบได้เกรดที่พ่อแม่ คนรอบข้าง ครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่พ่อแม่เพื่อนก็ยังชื่นชมเรา ทำให้ความเป็นเด็กปลูกฝังในความคิดเสมอมาว่าฉันต้องเรียนให้เก่ง ฉันต้องเป็นที่หนึ่ง ทั้งๆๆที่ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอารายต้องทำอย่างนั้น และเป็นอย่างนั้นตลอดมาก ฉันไม่รู้ความรู้สึกของคนที่ได้เกรดต่ำหรอกณ๊ เพราะฉันเรียนได้ที่ 1 ตลอด

จนมาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต ช่วงเข้ามหาวิทยาลัย อยากเรียนมหาวิทยาลัยดีดี แต่ติดปัญหาที่ครอบครัวไม่ยอมให้อยู่หอพัก ฉันเลยไม่ได้เอ็นที่ไหนสักที่ เข้าเรียนราชภัฎใกล้บ้านเอา สามารถไปเช้าเย็นกลับได้ พอเข้ามหาลัยโลกใบเล็กๆๆๆของฉันมันก็เปิดกว้างขึ้น ฉันเห็นอารัยมากมายที่ไม่เคยเห็น เจออารัยมากมายที่ไม่เคยเจอ เพราะชีวิตไม่ค่อยได้ไปไหนเหมือนเด็กคนอื่น พ่อแม่ต้องทำงานหนักตลอดมา เพื่อสร้างอนาคตให้ฉันกับน้อง เวลาจะได้ไปไหนทีก็ได้ไปแต่กับครอบครัวเท่านั้น พอเข้ามหาลัยฉันสามารถไปไหน มาไหนเองได้แล้ว สมองฉันเริ่มทำงาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาคิดมาตลอดว่าฉันจะทำให้พ่อแม่สบาย ฉันต้องทำงานดีดี ฉันต้องมีอนาคตที่ดี พอมีเพื่อนที่มหาลัยชวนฉันไปทำงานพาร์ทไทม์ ฉันคิดอย่างไม่ลังเลเลย ไม่สมัครโดยที่ไม่ปรึกษาคนที่บ้านแม้แต่นิดเดียว

แล้วการปัญหามันก็เกิด เมื่อฉันขอพ่อทำงานพาร์ทไทม์ พ่อไม่ยอม โมโหมาก ถึงขนาดตัดพ่อ ตัดลูกกัน ช่วงเวลานั้นงงมาก ชีวิตเคว้งคว้างมาก แล้วฉันจะทำอย่างไงกับชีวิต

ฉันตัดสินใจทำงานพาร์ทไทม์ ชีวิตของฉันได้ออกไปจากอ้อมอกพ่อแม่เป็นครั้งแรก

การผจญภัยเริ่มขึ้น ฉันหยุดเรียน ออกมาทำงานแบบจริงจัง ที่ทำงานที่แรกของชีวิตคือ KFC

การออกมาจากอ้อมอกพ่อแม่ไม่ใช่แค่การทำงานหาเงินเท่านั้นแล้ว ไม่ใช่อยากที่เราคิด ฉันต้องออกมาอยู่หอพักเพียงลำพัง ไม่มีแล้วครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นที่คอยโอบอุ้มเราตลอดมา มีแต่สายตาที่จับจ้องแข่งขันกับเราเท่านั้น ชีวิตเริ่มอยู่ยากขึ้น

จากมีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียว ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ต้องใช้ชีวิตเองทุกอย่าง ยอมรับเลยว่าชีวิตมันยากจริงๆๆๆ

ต้องหาเงินเอง

ต้องซักผ้า รีดผ้าเอง หากับข้าวกินเอง ทุกอย่างต้องทำเองหมด ทั้งๆๆที่เมื่อก่อนน้อยใจตัวเองตลอดว่าพ่อแม่ไม่รัก ทำไมไม่ดูแลเราให้ดีเหมือนลูกคนอื่น ที่ไหนได้ พอออกมาเผชิญชีวิตเองถึงได้รู้ว่าพ่อแม่รักเราขนาดไหน ยอมเหนื่อยเพื่อเราทุกอย่าง

ชีวิตหอพักเดือนแรกรันทดที่สุดในชีวิต กินมาม่าแช่น้ำประปา (น้ำในห้องน้ำอ่ะ) ทุกวัน กินจนรู้สึกถึงคำว่ากินเพื่ออยู่จริงๆๆๆๆ อดอยากมาก

หิวมากก็กินได้ดีที่สุดมาม่าแช่น้ำ ต้องทำงานทุกวัน เพราะชีวิตติดลบ ค่าห้อง ค่ากินทุกอย่าง เซ็นต์เค้ามาใช้ก่อนทุกอย่าง แต่เจ้าของหอพักยึดบัตร ATM ไว้ นอนกับพื้น ชุดทำงานมี 2 ชุด หักเงินสิ้นเดือน ต้องซักทุกวัน ทำงานตั้งแต่สองโมงเช้ายันสี่ทุ่ม บางวันขายดีอยู่หมักไก่ยันตีสองตีสามยังมี ทำงานได้ ชม ละ 24 บาท วันหยุดไม่หยุด ทำแต่งาน กลับถึงบ้านกินข้าว อาบน้ำซักผ้านอน ทำอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาครึ่งปี

ชีวิตที่ยากอีกอย่าง คือ การซักผ้าให้สะอาด กับ การรีดผ้าให้เรียบ ตอนอยู่บ้านแม่ทำให้ตลอด พอต้องลงมือทำต้องยกนิ้วให้แม่เลย แม่คือซุปเปอร์แม่จริงๆๆๆทำได้ทุกอย่าง สาบานได้เลยว่ากว่าจะซักผ้าให้สะอาดได้ใช้เวลาเกือบปี เวลาชุดทำงานไม่สะอาดทำได้มากชุด เอาน้ำลูบ แปรงขัดๆๆๆ แล้วก็ใส่ไปทำงานเลย เดียวมันเจอแอร์ เจอลมมันก็แห้งเอง

ผ้ารีดไม่เคยเรียบ จนกระทั้งทุกวันนี้ แต่การทำงานเดียวแรกอะหราาาา ชุดทำงานไม่เคยเจอเตารีด สลัดสบัดแล้วใส่ไปทำงาน ถ้าวันไหนยับมากหน่อย ก็วิธีเดิมเอาน้ำลูบๆๆๆลบรอยยับเอา พอมันแห้งมันก็เรียบเอง ใครจะเอาวิธีนี้ไปใช้ก็ได้ณ๊ไม่สงวนลิขสิทธิ์

ทำงานทุกเดือนเงินเดือนหมื่นอัพตลอด

เงินเดือนพอๆๆๆกับพวกซุปเปอร์เลย แต่ชีวิตก็ยังไม่อย่าขาดกับมาม่า แต่ยังดีมีกาต้มน้ำร้อนเป็นของตัวเอง ต้มกับน้ำประปาเหมือนเดิม ฆ่าเชื้อโรคแล้วโดนความร้อนลงไม่เป็นไร

ที่ต้องกินมาม่าเหมือนเดิม เพราะต้องเก็บเงินไว้เป็นทุนเรียนหนังสือปีหน้า ไม่เคยคิดทิ้งการเรียนณ๊

และปัญหาก็เกิด เมื่อ ผจก ร้านเล็งเห็นความสามารถ ความขยัน ความทุ่มเทที่เรามีให้กับงาน แต่ที่จริงแล้วเราทำไปทั้งหมด เพื่อสิ่ง สิ่งเดียว คือ เงิน

ผจก จะปรับให้เป็นพนักงานประจำ กินเงินเดือน พอข่าวนี้แพร่สะพัดไป งานก็เข้า งานอิจฉาต้องมา งานริษยาต้องเกิด

ที่ทำงานเริ่มอยู่ยาก ตัดสินใจเปลี่ยนที่ทำงาน แต่ยังไม่ได้ลาจากทันที เริ่มมองหาสมัครงานใหม่ที่เป็นพาร์ทไทม์และเงินเดือนดีกว่าที่เดิม

ได้งานที่ใหม่ KFC เหมือนเดิม แต่เป็นในเครือของเซ็นทรัล ค่าแรงได้เพิ่มขึ้น เป็น ชม ละ 27 บ. งานสบายขึ้น กฎระเบียบไม่เคร่งครัด เลือกเวลางานเองได้ พ่วงมากับเริ่มมีเงินเก็บมั่งแล้ว ชีวิตสะดวกสบายขึ้น แต่ก็ยังทำงานอยู่เหมือนเดิม ได้งานใหม่ พร้อมกับการเริ่มปีการศึกษา
เริ่มสตาร์ทเรียน สาขานิติศาสตร์ ทั้งที่ส่วนตัวเป็นคนชอบภาษา แต่ในสมองคิดอยู่อย่างเดียว ชีวิตมันอยู่ยาก ถ้าเราไม่รู้กฎหมาย เราก็เสียรู้ เสียเปรียบคนอื่น ภาษาอย่างเรียน เมื่อไหร่ก็เรียนได้ มีเปิดสอนเยอะแยะ แต่กฎหมายเป็นวิชาที่ว่าด้วยในห้องเรียน จากที่เรียนเป็นที่ 1 ตลอดมา พอเริ่มเรียนมหาลัย แค่เรียนให้ผ่านไม่โดนรีไท ก็พอแล้ว เพราะเราต้องเรียนด้วย ทำงานด้วย ได้มาเรียนมั้ง ไม่ได้เรียนมั้ง อาศัยถามเพื่อนเอา

ชีวิตตอนนี้เริ่มรู้ความหมายของคำว่า "เพื่อน" เริ่มรู้ความรู้สึกของเด็กหลังห้อง เด็กที่เรียนได้เกรดต่ำ เพราะเราจะโดนอาจารย์จับจองเราตลอดเวลา มันเป็นความกดดันที่แผ่รังสีอำมหิตมาก อาจารย์จะเริ่มคิดว่าเราเป็นเด็กมีปัญหาบ้างละ เป็นเด็กเกเรบ้างละ อารัยต่ออารัยจะประดังประเดเข้ามาหาเข้า ทุกย่างก้าวในรั้วมหาลัยเราจะโดนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอารายเลยณ๊ แค่ไม่ค่อยได้เข้าเรียน หรือ วันไหนเข้าเรียนก็เข้าสาย สายประมาณว่าเลิกเรียนห้าโมงครึ่ง เรามาสี่โมงหรือห้าโมงประมาณนั้น แต่เราก็หน้ามึนมา และสิ่งที่เกลียดที่สุดเลยตอนเรียน คือ เวลาเปิดประตูเข้าห้องเรียน ทุกคนจะหันมาจับจ้องที่เรา อาจารย์จะหยุดสอนโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างเหมือนเราหยุดเวลาไว้ตรงนั้น ทั้งๆที่คุรก็เรียนกันไปซิ อาจารย์ก็สอนไปซิ จะมาสนใจทำไมล่ะ เราจ่ายค่าเทอม เราก็ต้องมีสิทธิ์เรียนซิ

ทุกคนอาจสงสัย ไม่เข้าเรียนแล้วจะมีสิทธิ์สอบหรอก แล้วจะจบหรอก จบค๊เพราะเรียนกฎหมายไม่มีคะแนนจิตพิสัย ไม่มีคะแนนพิศสวาท คะแนนสอบล้วนๆๆๆค๊ ตกแล้วตกเลยไม่มีสอบซ่อม ทำได้อย่างเดียวลงเรียนวิชานั้นใหม่ค๊ จะเรียนวิชานี้ได้ต้องมีองค์ประกอบหลานอย่าง แต่บอกได้เลยแค่ตั้งใจเราทำได้ทุกอย่างละ คนเรามีสัญชาตญาณอยู่ในตัว แค่เราเอามันมาใช้ก็พอ ตอนเรียนเราเรียนกฎหมายเป็นวิชาที่ใครก็วว่าหิน หินจริง ตอนเรียนมีเพื่อนร่วมห้องร่วม 70 คน แต่จบแค่ 9 คน 1 ในนั้นมีเราด้วย ทั้งๆๆที่อาจารย์ทั้งคณะคิดว่าอย่างไงเราก็ไม่มีทางจบ ให้เราเลิกเรียน ไปทำงานซะดีกว่า เพราะทั้งห้องบอกได้เลยทุกคนพร้อมมาเรียน เรียนอย่างเดียวมีคนซับพอร์ต ทุกอย่าง ต่างกับเราที่ต้องหาซับพอร์ตตัวเอง แต่เราสนุกณ๊กับความลำบากของชีวิต

สงสัยจะเพี้ยนไปแล้ว แต่มันก็แค่บททดสอบของชีวิตแค่นั้นค๊

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เรียกว่าใช้ชีวิตคุ้ม แล้วก็มีเรื่องราวมากมาย

เดี๋ยวถ้ามีเวลาจะมาเล่าชีวิตในรั้วมหาลัยต่อในกระทู้หน้า
จุดต่ำสุดของชีวิต กับ จุดสูงสุดของชีวิต เราเลือกเองได้ เราเท่านั้นที่เป็นคนกำหนด
ชีวิตตั้งแต่จำความได้เราแข่งขันกันตลอดเวลา ไม่มีมิตรแท้ และ ศัตรูที่ยั่งยืน บางครั้งเราไม่ได้แข่งขันกับใครก็ตาม แต่ก็ยังมีคนที่คอยจับจองที่จะแข่งขันกับเราตลอดเวลา เพราะ สังคมเราอยู่กับการแข่งขัน มันฝังรากหยั่งลึก จนการแข่งขันเป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นความเคยชินที่เราไม่รู้ตัวไปแล้ว
ตอนเป็นเด็กเราก็แข่งกับเพื่อนในชั้นเรียน เพื่อให้ได้ที่ 1 ทั้งๆที่โตขึ้นมาเราก็ไม่รู้ว่าเราจะเป็นที่ 1 ไหม เราจะประสบความสำเร็จจากการเป็นที่หนึ่ง หรือเปล่า แต่เมื่อไหร่ ที่เราสอบได้เกรดที่พ่อแม่ คนรอบข้าง ครูบาอาจารย์ หรือแม้แต่พ่อแม่เพื่อนก็ยังชื่นชมเรา ทำให้ความเป็นเด็กปลูกฝังในความคิดเสมอมาว่าฉันต้องเรียนให้เก่ง ฉันต้องเป็นที่หนึ่ง ทั้งๆๆที่ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอารายต้องทำอย่างนั้น และเป็นอย่างนั้นตลอดมาก ฉันไม่รู้ความรู้สึกของคนที่ได้เกรดต่ำหรอกณ๊ เพราะฉันเรียนได้ที่ 1 ตลอด
จนมาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต ช่วงเข้ามหาวิทยาลัย อยากเรียนมหาวิทยาลัยดีดี แต่ติดปัญหาที่ครอบครัวไม่ยอมให้อยู่หอพัก ฉันเลยไม่ได้เอ็นที่ไหนสักที่ เข้าเรียนราชภัฎใกล้บ้านเอา สามารถไปเช้าเย็นกลับได้ พอเข้ามหาลัยโลกใบเล็กๆๆๆของฉันมันก็เปิดกว้างขึ้น ฉันเห็นอารัยมากมายที่ไม่เคยเห็น เจออารัยมากมายที่ไม่เคยเจอ เพราะชีวิตไม่ค่อยได้ไปไหนเหมือนเด็กคนอื่น พ่อแม่ต้องทำงานหนักตลอดมา เพื่อสร้างอนาคตให้ฉันกับน้อง เวลาจะได้ไปไหนทีก็ได้ไปแต่กับครอบครัวเท่านั้น พอเข้ามหาลัยฉันสามารถไปไหน มาไหนเองได้แล้ว สมองฉันเริ่มทำงาน ตลอดเวลาที่ผ่านมาคิดมาตลอดว่าฉันจะทำให้พ่อแม่สบาย ฉันต้องทำงานดีดี ฉันต้องมีอนาคตที่ดี พอมีเพื่อนที่มหาลัยชวนฉันไปทำงานพาร์ทไทม์ ฉันคิดอย่างไม่ลังเลเลย ไม่สมัครโดยที่ไม่ปรึกษาคนที่บ้านแม้แต่นิดเดียว
แล้วการปัญหามันก็เกิด เมื่อฉันขอพ่อทำงานพาร์ทไทม์ พ่อไม่ยอม โมโหมาก ถึงขนาดตัดพ่อ ตัดลูกกัน ช่วงเวลานั้นงงมาก ชีวิตเคว้งคว้างมาก แล้วฉันจะทำอย่างไงกับชีวิต
ฉันตัดสินใจทำงานพาร์ทไทม์ ชีวิตของฉันได้ออกไปจากอ้อมอกพ่อแม่เป็นครั้งแรก
การผจญภัยเริ่มขึ้น ฉันหยุดเรียน ออกมาทำงานแบบจริงจัง ที่ทำงานที่แรกของชีวิตคือ KFC
จากมีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียว ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ต้องใช้ชีวิตเองทุกอย่าง ยอมรับเลยว่าชีวิตมันยากจริงๆๆๆ
ต้องหาเงินเอง
ต้องซักผ้า รีดผ้าเอง หากับข้าวกินเอง ทุกอย่างต้องทำเองหมด ทั้งๆๆที่เมื่อก่อนน้อยใจตัวเองตลอดว่าพ่อแม่ไม่รัก ทำไมไม่ดูแลเราให้ดีเหมือนลูกคนอื่น ที่ไหนได้ พอออกมาเผชิญชีวิตเองถึงได้รู้ว่าพ่อแม่รักเราขนาดไหน ยอมเหนื่อยเพื่อเราทุกอย่าง
ชีวิตหอพักเดือนแรกรันทดที่สุดในชีวิต กินมาม่าแช่น้ำประปา (น้ำในห้องน้ำอ่ะ) ทุกวัน กินจนรู้สึกถึงคำว่ากินเพื่ออยู่จริงๆๆๆๆ อดอยากมาก
ชีวิตที่ยากอีกอย่าง คือ การซักผ้าให้สะอาด กับ การรีดผ้าให้เรียบ ตอนอยู่บ้านแม่ทำให้ตลอด พอต้องลงมือทำต้องยกนิ้วให้แม่เลย แม่คือซุปเปอร์แม่จริงๆๆๆทำได้ทุกอย่าง สาบานได้เลยว่ากว่าจะซักผ้าให้สะอาดได้ใช้เวลาเกือบปี เวลาชุดทำงานไม่สะอาดทำได้มากชุด เอาน้ำลูบ แปรงขัดๆๆๆ แล้วก็ใส่ไปทำงานเลย เดียวมันเจอแอร์ เจอลมมันก็แห้งเอง
ทำงานทุกเดือนเงินเดือนหมื่นอัพตลอด
และปัญหาก็เกิด เมื่อ ผจก ร้านเล็งเห็นความสามารถ ความขยัน ความทุ่มเทที่เรามีให้กับงาน แต่ที่จริงแล้วเราทำไปทั้งหมด เพื่อสิ่ง สิ่งเดียว คือ เงิน
เริ่มสตาร์ทเรียน สาขานิติศาสตร์ ทั้งที่ส่วนตัวเป็นคนชอบภาษา แต่ในสมองคิดอยู่อย่างเดียว ชีวิตมันอยู่ยาก ถ้าเราไม่รู้กฎหมาย เราก็เสียรู้ เสียเปรียบคนอื่น ภาษาอย่างเรียน เมื่อไหร่ก็เรียนได้ มีเปิดสอนเยอะแยะ แต่กฎหมายเป็นวิชาที่ว่าด้วยในห้องเรียน จากที่เรียนเป็นที่ 1 ตลอดมา พอเริ่มเรียนมหาลัย แค่เรียนให้ผ่านไม่โดนรีไท ก็พอแล้ว เพราะเราต้องเรียนด้วย ทำงานด้วย ได้มาเรียนมั้ง ไม่ได้เรียนมั้ง อาศัยถามเพื่อนเอา
ชีวิตตอนนี้เริ่มรู้ความหมายของคำว่า "เพื่อน" เริ่มรู้ความรู้สึกของเด็กหลังห้อง เด็กที่เรียนได้เกรดต่ำ เพราะเราจะโดนอาจารย์จับจองเราตลอดเวลา มันเป็นความกดดันที่แผ่รังสีอำมหิตมาก อาจารย์จะเริ่มคิดว่าเราเป็นเด็กมีปัญหาบ้างละ เป็นเด็กเกเรบ้างละ อารัยต่ออารัยจะประดังประเดเข้ามาหาเข้า ทุกย่างก้าวในรั้วมหาลัยเราจะโดนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอารายเลยณ๊ แค่ไม่ค่อยได้เข้าเรียน หรือ วันไหนเข้าเรียนก็เข้าสาย สายประมาณว่าเลิกเรียนห้าโมงครึ่ง เรามาสี่โมงหรือห้าโมงประมาณนั้น แต่เราก็หน้ามึนมา และสิ่งที่เกลียดที่สุดเลยตอนเรียน คือ เวลาเปิดประตูเข้าห้องเรียน ทุกคนจะหันมาจับจ้องที่เรา อาจารย์จะหยุดสอนโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างเหมือนเราหยุดเวลาไว้ตรงนั้น ทั้งๆที่คุรก็เรียนกันไปซิ อาจารย์ก็สอนไปซิ จะมาสนใจทำไมล่ะ เราจ่ายค่าเทอม เราก็ต้องมีสิทธิ์เรียนซิ
ทุกคนอาจสงสัย ไม่เข้าเรียนแล้วจะมีสิทธิ์สอบหรอก แล้วจะจบหรอก จบค๊เพราะเรียนกฎหมายไม่มีคะแนนจิตพิสัย ไม่มีคะแนนพิศสวาท คะแนนสอบล้วนๆๆๆค๊ ตกแล้วตกเลยไม่มีสอบซ่อม ทำได้อย่างเดียวลงเรียนวิชานั้นใหม่ค๊ จะเรียนวิชานี้ได้ต้องมีองค์ประกอบหลานอย่าง แต่บอกได้เลยแค่ตั้งใจเราทำได้ทุกอย่างละ คนเรามีสัญชาตญาณอยู่ในตัว แค่เราเอามันมาใช้ก็พอ ตอนเรียนเราเรียนกฎหมายเป็นวิชาที่ใครก็วว่าหิน หินจริง ตอนเรียนมีเพื่อนร่วมห้องร่วม 70 คน แต่จบแค่ 9 คน 1 ในนั้นมีเราด้วย ทั้งๆๆที่อาจารย์ทั้งคณะคิดว่าอย่างไงเราก็ไม่มีทางจบ ให้เราเลิกเรียน ไปทำงานซะดีกว่า เพราะทั้งห้องบอกได้เลยทุกคนพร้อมมาเรียน เรียนอย่างเดียวมีคนซับพอร์ต ทุกอย่าง ต่างกับเราที่ต้องหาซับพอร์ตตัวเอง แต่เราสนุกณ๊กับความลำบากของชีวิต
ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย เรียกว่าใช้ชีวิตคุ้ม แล้วก็มีเรื่องราวมากมาย