US BOX OFFICE October 17-19, 2014

(แปล/เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
หนัง Fury ของแบรด พิทท์ ที่เปิดตัวในสัปดาห์นี้ ฉกอันดับ 1 มาจาก Gone Girl ได้สำเร็จ แม้จะต้องเบียดกันแบบสูสีน่าดูก็ตามที่ ขณะที่หนัง Birdman ซึ่งเปิดตัวแค่ 4 โรงในนิว ยอร์ค และแอลเอ ก็ออกตัวได้สวย เป็นหนึ่งในหนังรายได้เฉลี่ยต่อโรงสูงสุดสำหนังคนแสดงตลอดกาล
เปิดตัว 3,173 โรง Fury วิ่งเข้าวินด้วยรายได้ 23.7 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นรายได้เปิดตัวในระดับเดียวกับ Captain Phillips (25.7 ล้านเหรียญ), Act of Valor (24.5 ล้านเหรียญ) และ The Monuments Men (22 ล้านเหรียญ) ซึ่งถือเป็นการออกตัวที่ดี แม้ว่าดูจะน่าผิดหวังอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับหนังเรท อาร์เหมือนกันที่เพิ่งเข้าฉาย อย่าง Gone Girl (37.5 ล้านเหรียญ) และ The Equalizer (34.1 ล้านเหรียญ) สำหรับแผนการตลาดที่วางเอาไว้สำหรับหนังเรื่องนี้ก็คือ เน้นว่าเป็นหนังแอ็คชันรถถังประจัญบาน ซึ่งทำให้หนังกลายเป็นตัวเลือกที่แข็งแรงในกลุ่มคนดู แต่น่าเสียดายที่หนังต่อไม่ติดกับคนดูผู้หญิง ซึ่งเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้แค่ 40% รวมไปถึงยังไม่ได้ใจผู้ชมเด็กๆ ด้วย เมื่อคนดูถึง 51% อายุ 35 ปีขึ้นไป การได้คะแนน A- จากซีนีมาสกอร์ บวกคำวิจารณ์ที่ดี (80% จากเว็บมะเขือเน่า) Fury น่าจะยืนระยะไปได้ และคงปิดตัวที่ราวๆ 70-80 ล้านเหรียญ
Gone Girl ก็ยังยืนระยะได้ดีแม้จะเป็นสัปดาห์ที่ 3 ของการฉายแล้ว รายได้นั้นลดลงเพียง 34% ทำเงินอีก 17.5 ล้านเหรียญ และเมื่อจบสุดสัปดาห์นี้ หนังจะแซงหน้ารายได้หนัง 2 เรื่องล่าสุดของเดวิด ฟินเชอร์ The Social Network และ The Girl with the Dragon Tattoo ได้แน่ๆ ขณะที่รายได้รวมของหนังขยับไปเป็น 106.8 ล้านเหรียญ และยังอยู่ในเส้นทางที่จะทำเงินราวๆ 160 ล้านเหรียญ
เปิดตัว 3,070 โรง The Book of Life ทำรายได้ 17 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งสูงกว่าหนังเรื่องแรกของค่าย รีล เอฟเอ็กซ์ Free Birds (15.8 ล้านเหรียญ) และพอๆ กับ The Boxtrolls (17.3 ล้านเหรียญ) เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งไม่มีอะไรที่ผิดพลาดสำหรับการออกตัวในระดับนี้ ซึ่งนอกจากพอๆ กับ The Boxtrolls รายได้หนังยังอยู่ในระดับเดียวกับหนังครอบครัวเรื่องอื่นๆ อย่าง Alexander และ Dolphin Tale 2 ถ้าได้รายได้จากต่างประเทศบวกเข้ามา ก็จะทำให้อยู่ในกลุ่มหนังฮิตระดับรองๆ กับรายได้ประมาณนี้ ทำให้เห็นการที่จะทำรายได้เปิดตัวในระดับ 20 ล้านนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับสตูดิโอที่ไม่ใช่สตูดิโอใหญ่อย่าง พิกซาร์, ดรีมเวิร์คส์, ดิสนีย์, บลู สกาย, อิลลูมิเนชัน, โซนี พิคเจอร์ส แอนิเมชัน คนดูของ The Book of Life 57% เป็นผู้หญิงและ 30 เป็นพวกเม็กซิกันๅละติน ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยเมื่อดูว่าเรื่องราวของหนังเกี่ยวข้องกับวันหยุดเทศกาลแห่งความตาย รายได้จาก 3 มิติ อยู่ราวๆ 31% การที่หนังได้คำวิจารณ์ที่ดี และคะแนนซีนีมาสกอร์ที่ดี (A-) The Book of Life น่าจะไปได้ไกลราวๆ 50 - 60 ล้านเหรียญ
Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day รายได้ลดลง 38% ทำเงินอีก 11.5 ล้านเหรียญ ผ่าน 10 วัน รายได้รวมอยู่ที่ 36.3 ล้าน และน่าจะปิดตัวได้เกิน 60 ล้านเหรียญ
กับ 2,936 โรงที่เปิดฉาย The Best of Me เปิดตัวด้วยอันดับ 5 รายได้ 10 ล้านเหรียญ น้อยเกินครึ่งของรายได้เปิดตัวของ Safe Haven (21.4 ล้านเหรียญ) แต่หนัง Safe Haven ยังได้กระแสส่งจากการเข้าฉายในช่วงวาเลนไทน์ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม นี่คือหนังนิโคลาส สปาร์คส์ ที่ออกตัวแย่สุด กับการเปิดตัวได้ในระดับนี้ ทำให้ข้อสังเกตุที่ว่า กระทั่งหนังพะยี่ห้อของนิโคลาส สปาร์คส์ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่พลาด ตัวหนังนั้นจากภาพและเรื่อง เป็นงานที่ดัดแปลงจากหนังสือของสปาร์คส์แน่ๆ หากขาดองค์ประกอบสำคัญๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังไม่ได้นำเสนอออกมาอย่างชัดเจนว่า ปมขัดแย้งของเรื่องคืออะไร การเน้นไปที่ตัวละครหลักที่มีอายุมาก อย่าง เจมส์ มาร์สเดน และมิเชลล์ โมนาแฮน ทำให้หนังเสียความเข้มข้นในแบบที่เขาจะรอด หรือเขาจะไม่รอด (ถ้ามี) ไป การชมคนสองคนที่เดินเรื่องไปยาวๆ และซบหน้าเข้าหากันยาวนานถึงชั่วโมงครึ่ง ถือเป็นแรงดึงดูดที่มีพลังงานจำกัด ไม่น่าประหลาดใจที่คนดูหนังส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงถึง 70% และอายุไม่มา (56% อายุต่ำกว่า 25) ขณะที่คะแนนซีนีมาสกอร์ก็ออกมาแบบธรรมดา B+ ดูท่าว่าหนังจะจบด้วยรายได้ที่ต่ำกว่า 30 ล้านเหรียญ และนั่นจะกลายเป็นหนังของสปาร์ครายได้ต่ำที่สุด
หลังเปิดตัวได้แข็งแรงเหมือนกัน Dracula Untold รายได้ร่วงกราว 58% หล่นมาที่ 6 ทำเงินแค่ 9.99 ล้านเหรียญ แม้จะเยอะแต่ก็พอๆ กับหนัง Dracula เรื่องอื่นๆ มาถึงตอนนี้ หนังทำเงินไปแล้ว 40.8 ล้านเหรียญ และน่าจะปิดตัวที่แถว 60 ล้านเหรียญ
The Judge รายได้ตก 40% ทำเงินไป 7.9 ล้านเหรียญในสัปดาห์นี้ รายได้รวมเป็น 26.8 ล้านเหรียญและดูท่าว่า เต็มที่ก็คงเก็บเงินไปสัก 40 ล้านเหรียญ ขณะที่หนังวอร์เนอร์อีกเรื่อง Annabelle ตามมาไม่ห่างด้วยรายได้สัปดาห์นี้ 7.88 ล้านเหรียญ (รวมรายได้ทั้งหมด 74.1 ล้านเหรียญ)
เปิดตัวแค่ 4 โรงในนิว ยอร์คและแอลเอ Birdman ทำเงินไปถึง 424,397 เหรียญ เท่ากับโรงละ 106,099 เหรียญ รั้งอันดับ 18 หนังรายได้เฉลี่ยสูงสุดตลอดกาล และถ้านับเฉพาะหนังคนแสดงจะเป็นอันดับ 8 แล้วถ้าคิดเฉพาะปีนี้ เป็นรองแค่ The Grand Budapest Hotel ซึ่งเป็นหนังของฟ็อกซ์ เซิร์ชไลท์เหมือนกัน เรื่องเดียว แม้จะเป็นการออกตัวที่แข็งแรง แต่ก็อย่าลืมว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีองค์ประกอบล่อตาล่อใจคอหนังในแอลเอ และนิว ยอร์ค ไม่ว่าจะเป็น การเสียดสีฮอลลีวูด, มีฉากในบรอดเวย์, คำวิจารณ์ที่ดี และเสียงลือถึงการเป็นหนังรางวัล ถึงกระนั้นรายได้ก็น่าจะมาก ที่จะไม่เป็นหนัง Inside Llewyn Davis (13.2 ล้านเหรียญ), The Tree of Life (13.3 ล้านเหรียญ) หรือ The Master (16.4 ล้านเหรียญ) เรื่องต่อไป แต่ไม่น่าจะทำรายได้ใกล้เคียงกับหนังฮิคๆ ของฟ็อกซ์ เซิร์ชไลท์ เรื่องอื่นๆ เช่น The Grand Budapest Hotel และ 12 Years a Slave (59.1 และ 56.7 ล้านเหรียญตามลำดับ) ทางสตูดิโอมีแผนที่จะเพิ่มโรงเป็น 45 - 50 โรงในสัปดาห์หน้า และกำลังดูว่าจะเปิดตัวในวงกว้างราวๆ ต้นเดือนพฤศจิกายน
แต่ Birdman ไม่ใช่หนังจำกัดโรงเรื่องเดียวที่ไปได้สวยในสัปดาห์นี้ หนังฮิตจากซันแดนซ์ Dear White People เปิดตัวด้วยรายได้ 344,000 เหรียญจาก 11 โรง ซึ่งคิดเฉลี่ยโรงละ 31,273 เหรียญ คำวิจารณ์ที่ออกมาดี (97% จากเว็บมะเขือเน่า), การทัวร์สื่อของผู้กำกับ จัสติน ซิเมียน ที่เปิดตัวด้วยหนังเรื่องนี้ และเรื่องราวแรงๆ น่าจะช่วยทำให้หนังมีความน่าสนใจมากขึ้น ทางโรดโชว์ แอทแทรคชัน ผู้จัดจำหน่าย มีแผนจะขยายโรงเพิ่ม ในสัปดาห์หน้า หนังจะมีโรงถึง 350 โรง
Men, Women & Children ของเจสัน ไรท์แมน เพิ่มโรงเป็น 608 โรง แต่รายได้กลับน้อยกว่า 4 โรงของ Birdman และ 11 โรงของ Dear White People ซึ่งด้วยรายได้เปิดตัว 320,000 เหรียญของหนังนั้น ถือว่าต่ำสุดเป็นอันดับ 5 ในกลุ่มหนังที่เปิดฉายในวงกว้าง 600 โรงขึ้นไป ถือว่าเป็นรายได้ที่ชวนช็อค เมื่อมองดูว่า นี่คือหนังของผู้กำกับ Juno และ Up in the Air แล้วมีอดัม แซนด์เลอร์ กับแอนเซล เอลกอร์ท จาก The Fault in our Stars แสดงนำ สาเหตุที่ทำให้หนังคว่ำ ถือว่ามีสารพัดสารพัน ไม่ว่าจะเป็น คำวิจารณ์ที่ไม่ดี ในช่วงที่คู่แข่งออกมามากมาย ทำให้ยากที่จะทะลุออกมาได้ เมื่อมีการรับรู้กันไปแล้วว่า หนังดูไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป ซึ่งไม่ได้ช่วยให้คนที่รู้ว่าหนังเข้าแล้ว อยากจะไปที่โรงภาพยนตร์ ทางพาราเมาท์เองก็ทำการตลาดไม่มากนัก เน้นไปที่การแจกข่าวเป็นหลัก ซึ่งสร้างผลกระทบได้ไม่เท่าไหร่ แถมตัววัตถุดิบที่เอามาทำเป็นหนังก็ไม่มีความน่าสนใจ ใครจะอยากดูหนังดราม่าทึมๆ ที่มาวิพากษ์การติดเทคโนโลยีของพวกเราล่ะ ใช่ไหม? กับการออกฉายได้ 2 สัปดาห์ Men, Women & Children ทำเงินไปแล้ว 475,000 เหรียญ น่าสงสัยว่าพาราเมาท์จะสามารถยื้อโรงเหล่านี้ได้นานขนาดไหน เพราะกับการเพิ่มโรงนั้น ก็เป็นเพียงแค่การทำตามสัญญาให้จบๆ ไป งานนี้ไม่น่าประหลาดใจถ้าหนังจะจบด้วยการทำเงินน้อยกว่า 1 ล้านเหรียญ
ในตลาดต่างประเทศ Guardians of the Galaxy กลับมาขึ้นอันดับ 1 อีกหน เมื่อทำเงินเพิ่มอีด 23.1 ล้านเหรียญ รายได้รวมนอกอเมริกาพุ่งไปถึง 405 ล้านเหรียญไปแล้ว โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากจีน ซึ่งรายได้ลดลง 28% ทำเงินได้ 22.3 ล้านเหรียญ มีรายงานว่าซับไตเติลที่ไม่ดี กลายเป็นตัวทำให้ปากต่อปากของหนังไม่ดีนัก ถึวตอนนี้หนังทำเงินในจีนไปแล้ว 69 ล้านเหรียญ และน่าจะไปถึง 100 ล้านเหรียญได้ ขณะที่รายได้รวมทั่วขยับไปเป็น 733 ล้านเหรียญ และเป็นหนังมาร์เวลเรื่องที่ 10 ที่ทำได้ ตอนนี้ Guardians แซงหน้า Captain America: The Winter Soldier และ The Amazing Spider-Man 2 ไปแล้ว กับการเปิดตัวในอิตาลีสัปดาห์หน้า Guardians of the Galaxy การันตีตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดอันดับ 2 ของปี ที่Maleficent เป็นหัวแถวอยู่ด้วยรายได้ 757 ล้านเหรียญ
Dracula Untold ยังไปได้ดีในตลาดต่างประเทศ กับ 55 ตลาด หนังได้เงินเพิ่มอีด 22.5 ล้านเหรียญ รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ 95.7 ล้านเหรียญ กับการฉายสัปดาห์ที่ 2 ในรัสเซีย หนังทำรายได้ 4.4 ล้านเหรียญ รายได้รวมที่นี่เป็น 16.7 ล้านเหรียญ และหนังจะเปิดตัวที่บราซิล, สเปน ในสัปดาห์หน้า
Gone Girl ได้เงินมาอีก 20.2 ล้านเหรียญ รายได้รวมนอกอเมริกาขยับเป็น 94.5 ล้านเหรียญ (หรือ 200 กว่าล้านหากรวมทั่วโลก) ในอังกฤษรายได้หนังตกแค่ 23% ทำเงินได้อีก 3.9 ล้านเหรียญ ส่วนที่ออสเตรเลีย รายได้ลดลง 25% ทำเงินไป 2.8 ล้านเหรียญ หนังยังไม่ได้เปิดตัวที่เกาหลี, อิตาลี และจีน ซึ่งดูแล้วน่าจะผ่านรายได้ของ The Social Network และ The Girl with the Dragon Tattoo (128 และ 130 ล้านเหรียญ ตามลำดับได้)
หลังเปิดตัวในอเมริกา 2 เดือน ในที่สุด Teenage Mutant Ninja Turtles ก็เปิดตัวในยุโรป และทำรายได้น่าประทับใจที่อังกฤษ 7.9 ล้าน และแข็งแรงใช้ได้ที่ฝรังเศส 4.1 ล้านเหรียญ, เยอรมันนี 3.8 ล้านเหรียญ และสเปน 1.5 ล้านเหรียญ โดยรวมๆ แล้วหนังได้เงินสัปดาห์นี้ประมาณ 20 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 185.4 ล้านเหรียญ หนังจะเข้าฉายในจีนสิ้นเดือนนี้ และจะเปิดตัวในญี่ปุ่นกุมภาพันธ์ปีหน้า
Annabelle ได้เงินมาอีก 19.2 ล้านเหรียญ รายได้รวมขยับเพิ่มเป็น 92 ล้านเหรียญ ซึ่งพอๆ กับ The Conjuring จากระยะเวลาฉายพอๆ กัน สัปดาห์หน้าหนังจะเปิดตัวในเม็กซิโก
ปิดท้ายที่ The Maze Runner ที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งโกยเงินต่อไป หนังขึ้นอันดับ 1 ในฝรั่งเศสด้วยรายได้ 4.9 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าหนัง Hunger Games ภาคแ รก (3.8 ล้านเหรียญ) ตอนนี้รายได้รวมของหนังอยู่ที่ 160.7 ล้านเหรียญ และยังไม่เปิดตัวในจีน ซึ่งจากทฤษฎีหนังน่าจะปิดตัวที่รายได้ถึง 250 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
เปิดตัวในบางประเทศพร้อมๆ กับอเมริกา The Book of Life ทำเงินไป 8.6 ล้านเหรียญจาก 19 ตลาด หนังออกตัวได้ดีที่เม็กซิโก (3.8 ล้านเหรียญ) และบราซิล (2 ล้านเหรียญ) สัปดาห์หน้า หนังจะเปิดตัวที่อังกฤษ และฝรั่งเศส
อ่านแล้วชอบ คลิกไลค์ให้ได้นะครับที่
www.facebook.com/Sadaos
Coinciding with its domestic debut, The Book of Life opened to $8.6 million from 19 markets. It got off to a good start in Mexico ($3.8 million), and Brazil ($2 million); next weekend, it expands in to the U.K. and France.
หนังทำเงินอเมริกาสัปดาห์นี้ แบรด พิทท์ขี่รถถัง เบียด Gone Girl เปิดตัวอันดับ 1
(แปล/เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
หนัง Fury ของแบรด พิทท์ ที่เปิดตัวในสัปดาห์นี้ ฉกอันดับ 1 มาจาก Gone Girl ได้สำเร็จ แม้จะต้องเบียดกันแบบสูสีน่าดูก็ตามที่ ขณะที่หนัง Birdman ซึ่งเปิดตัวแค่ 4 โรงในนิว ยอร์ค และแอลเอ ก็ออกตัวได้สวย เป็นหนึ่งในหนังรายได้เฉลี่ยต่อโรงสูงสุดสำหนังคนแสดงตลอดกาล
เปิดตัว 3,173 โรง Fury วิ่งเข้าวินด้วยรายได้ 23.7 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นรายได้เปิดตัวในระดับเดียวกับ Captain Phillips (25.7 ล้านเหรียญ), Act of Valor (24.5 ล้านเหรียญ) และ The Monuments Men (22 ล้านเหรียญ) ซึ่งถือเป็นการออกตัวที่ดี แม้ว่าดูจะน่าผิดหวังอยู่บ้าง เมื่อเทียบกับหนังเรท อาร์เหมือนกันที่เพิ่งเข้าฉาย อย่าง Gone Girl (37.5 ล้านเหรียญ) และ The Equalizer (34.1 ล้านเหรียญ) สำหรับแผนการตลาดที่วางเอาไว้สำหรับหนังเรื่องนี้ก็คือ เน้นว่าเป็นหนังแอ็คชันรถถังประจัญบาน ซึ่งทำให้หนังกลายเป็นตัวเลือกที่แข็งแรงในกลุ่มคนดู แต่น่าเสียดายที่หนังต่อไม่ติดกับคนดูผู้หญิง ซึ่งเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้แค่ 40% รวมไปถึงยังไม่ได้ใจผู้ชมเด็กๆ ด้วย เมื่อคนดูถึง 51% อายุ 35 ปีขึ้นไป การได้คะแนน A- จากซีนีมาสกอร์ บวกคำวิจารณ์ที่ดี (80% จากเว็บมะเขือเน่า) Fury น่าจะยืนระยะไปได้ และคงปิดตัวที่ราวๆ 70-80 ล้านเหรียญ
Gone Girl ก็ยังยืนระยะได้ดีแม้จะเป็นสัปดาห์ที่ 3 ของการฉายแล้ว รายได้นั้นลดลงเพียง 34% ทำเงินอีก 17.5 ล้านเหรียญ และเมื่อจบสุดสัปดาห์นี้ หนังจะแซงหน้ารายได้หนัง 2 เรื่องล่าสุดของเดวิด ฟินเชอร์ The Social Network และ The Girl with the Dragon Tattoo ได้แน่ๆ ขณะที่รายได้รวมของหนังขยับไปเป็น 106.8 ล้านเหรียญ และยังอยู่ในเส้นทางที่จะทำเงินราวๆ 160 ล้านเหรียญ
เปิดตัว 3,070 โรง The Book of Life ทำรายได้ 17 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งสูงกว่าหนังเรื่องแรกของค่าย รีล เอฟเอ็กซ์ Free Birds (15.8 ล้านเหรียญ) และพอๆ กับ The Boxtrolls (17.3 ล้านเหรียญ) เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งไม่มีอะไรที่ผิดพลาดสำหรับการออกตัวในระดับนี้ ซึ่งนอกจากพอๆ กับ The Boxtrolls รายได้หนังยังอยู่ในระดับเดียวกับหนังครอบครัวเรื่องอื่นๆ อย่าง Alexander และ Dolphin Tale 2 ถ้าได้รายได้จากต่างประเทศบวกเข้ามา ก็จะทำให้อยู่ในกลุ่มหนังฮิตระดับรองๆ กับรายได้ประมาณนี้ ทำให้เห็นการที่จะทำรายได้เปิดตัวในระดับ 20 ล้านนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับสตูดิโอที่ไม่ใช่สตูดิโอใหญ่อย่าง พิกซาร์, ดรีมเวิร์คส์, ดิสนีย์, บลู สกาย, อิลลูมิเนชัน, โซนี พิคเจอร์ส แอนิเมชัน คนดูของ The Book of Life 57% เป็นผู้หญิงและ 30 เป็นพวกเม็กซิกันๅละติน ซึ่งถือว่าน้อยไปหน่อยเมื่อดูว่าเรื่องราวของหนังเกี่ยวข้องกับวันหยุดเทศกาลแห่งความตาย รายได้จาก 3 มิติ อยู่ราวๆ 31% การที่หนังได้คำวิจารณ์ที่ดี และคะแนนซีนีมาสกอร์ที่ดี (A-) The Book of Life น่าจะไปได้ไกลราวๆ 50 - 60 ล้านเหรียญ
Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day รายได้ลดลง 38% ทำเงินอีก 11.5 ล้านเหรียญ ผ่าน 10 วัน รายได้รวมอยู่ที่ 36.3 ล้าน และน่าจะปิดตัวได้เกิน 60 ล้านเหรียญ
กับ 2,936 โรงที่เปิดฉาย The Best of Me เปิดตัวด้วยอันดับ 5 รายได้ 10 ล้านเหรียญ น้อยเกินครึ่งของรายได้เปิดตัวของ Safe Haven (21.4 ล้านเหรียญ) แต่หนัง Safe Haven ยังได้กระแสส่งจากการเข้าฉายในช่วงวาเลนไทน์ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม นี่คือหนังนิโคลาส สปาร์คส์ ที่ออกตัวแย่สุด กับการเปิดตัวได้ในระดับนี้ ทำให้ข้อสังเกตุที่ว่า กระทั่งหนังพะยี่ห้อของนิโคลาส สปาร์คส์ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่พลาด ตัวหนังนั้นจากภาพและเรื่อง เป็นงานที่ดัดแปลงจากหนังสือของสปาร์คส์แน่ๆ หากขาดองค์ประกอบสำคัญๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังไม่ได้นำเสนอออกมาอย่างชัดเจนว่า ปมขัดแย้งของเรื่องคืออะไร การเน้นไปที่ตัวละครหลักที่มีอายุมาก อย่าง เจมส์ มาร์สเดน และมิเชลล์ โมนาแฮน ทำให้หนังเสียความเข้มข้นในแบบที่เขาจะรอด หรือเขาจะไม่รอด (ถ้ามี) ไป การชมคนสองคนที่เดินเรื่องไปยาวๆ และซบหน้าเข้าหากันยาวนานถึงชั่วโมงครึ่ง ถือเป็นแรงดึงดูดที่มีพลังงานจำกัด ไม่น่าประหลาดใจที่คนดูหนังส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงถึง 70% และอายุไม่มา (56% อายุต่ำกว่า 25) ขณะที่คะแนนซีนีมาสกอร์ก็ออกมาแบบธรรมดา B+ ดูท่าว่าหนังจะจบด้วยรายได้ที่ต่ำกว่า 30 ล้านเหรียญ และนั่นจะกลายเป็นหนังของสปาร์ครายได้ต่ำที่สุด
หลังเปิดตัวได้แข็งแรงเหมือนกัน Dracula Untold รายได้ร่วงกราว 58% หล่นมาที่ 6 ทำเงินแค่ 9.99 ล้านเหรียญ แม้จะเยอะแต่ก็พอๆ กับหนัง Dracula เรื่องอื่นๆ มาถึงตอนนี้ หนังทำเงินไปแล้ว 40.8 ล้านเหรียญ และน่าจะปิดตัวที่แถว 60 ล้านเหรียญ
The Judge รายได้ตก 40% ทำเงินไป 7.9 ล้านเหรียญในสัปดาห์นี้ รายได้รวมเป็น 26.8 ล้านเหรียญและดูท่าว่า เต็มที่ก็คงเก็บเงินไปสัก 40 ล้านเหรียญ ขณะที่หนังวอร์เนอร์อีกเรื่อง Annabelle ตามมาไม่ห่างด้วยรายได้สัปดาห์นี้ 7.88 ล้านเหรียญ (รวมรายได้ทั้งหมด 74.1 ล้านเหรียญ)
เปิดตัวแค่ 4 โรงในนิว ยอร์คและแอลเอ Birdman ทำเงินไปถึง 424,397 เหรียญ เท่ากับโรงละ 106,099 เหรียญ รั้งอันดับ 18 หนังรายได้เฉลี่ยสูงสุดตลอดกาล และถ้านับเฉพาะหนังคนแสดงจะเป็นอันดับ 8 แล้วถ้าคิดเฉพาะปีนี้ เป็นรองแค่ The Grand Budapest Hotel ซึ่งเป็นหนังของฟ็อกซ์ เซิร์ชไลท์เหมือนกัน เรื่องเดียว แม้จะเป็นการออกตัวที่แข็งแรง แต่ก็อย่าลืมว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่มีองค์ประกอบล่อตาล่อใจคอหนังในแอลเอ และนิว ยอร์ค ไม่ว่าจะเป็น การเสียดสีฮอลลีวูด, มีฉากในบรอดเวย์, คำวิจารณ์ที่ดี และเสียงลือถึงการเป็นหนังรางวัล ถึงกระนั้นรายได้ก็น่าจะมาก ที่จะไม่เป็นหนัง Inside Llewyn Davis (13.2 ล้านเหรียญ), The Tree of Life (13.3 ล้านเหรียญ) หรือ The Master (16.4 ล้านเหรียญ) เรื่องต่อไป แต่ไม่น่าจะทำรายได้ใกล้เคียงกับหนังฮิคๆ ของฟ็อกซ์ เซิร์ชไลท์ เรื่องอื่นๆ เช่น The Grand Budapest Hotel และ 12 Years a Slave (59.1 และ 56.7 ล้านเหรียญตามลำดับ) ทางสตูดิโอมีแผนที่จะเพิ่มโรงเป็น 45 - 50 โรงในสัปดาห์หน้า และกำลังดูว่าจะเปิดตัวในวงกว้างราวๆ ต้นเดือนพฤศจิกายน
แต่ Birdman ไม่ใช่หนังจำกัดโรงเรื่องเดียวที่ไปได้สวยในสัปดาห์นี้ หนังฮิตจากซันแดนซ์ Dear White People เปิดตัวด้วยรายได้ 344,000 เหรียญจาก 11 โรง ซึ่งคิดเฉลี่ยโรงละ 31,273 เหรียญ คำวิจารณ์ที่ออกมาดี (97% จากเว็บมะเขือเน่า), การทัวร์สื่อของผู้กำกับ จัสติน ซิเมียน ที่เปิดตัวด้วยหนังเรื่องนี้ และเรื่องราวแรงๆ น่าจะช่วยทำให้หนังมีความน่าสนใจมากขึ้น ทางโรดโชว์ แอทแทรคชัน ผู้จัดจำหน่าย มีแผนจะขยายโรงเพิ่ม ในสัปดาห์หน้า หนังจะมีโรงถึง 350 โรง
Men, Women & Children ของเจสัน ไรท์แมน เพิ่มโรงเป็น 608 โรง แต่รายได้กลับน้อยกว่า 4 โรงของ Birdman และ 11 โรงของ Dear White People ซึ่งด้วยรายได้เปิดตัว 320,000 เหรียญของหนังนั้น ถือว่าต่ำสุดเป็นอันดับ 5 ในกลุ่มหนังที่เปิดฉายในวงกว้าง 600 โรงขึ้นไป ถือว่าเป็นรายได้ที่ชวนช็อค เมื่อมองดูว่า นี่คือหนังของผู้กำกับ Juno และ Up in the Air แล้วมีอดัม แซนด์เลอร์ กับแอนเซล เอลกอร์ท จาก The Fault in our Stars แสดงนำ สาเหตุที่ทำให้หนังคว่ำ ถือว่ามีสารพัดสารพัน ไม่ว่าจะเป็น คำวิจารณ์ที่ไม่ดี ในช่วงที่คู่แข่งออกมามากมาย ทำให้ยากที่จะทะลุออกมาได้ เมื่อมีการรับรู้กันไปแล้วว่า หนังดูไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป ซึ่งไม่ได้ช่วยให้คนที่รู้ว่าหนังเข้าแล้ว อยากจะไปที่โรงภาพยนตร์ ทางพาราเมาท์เองก็ทำการตลาดไม่มากนัก เน้นไปที่การแจกข่าวเป็นหลัก ซึ่งสร้างผลกระทบได้ไม่เท่าไหร่ แถมตัววัตถุดิบที่เอามาทำเป็นหนังก็ไม่มีความน่าสนใจ ใครจะอยากดูหนังดราม่าทึมๆ ที่มาวิพากษ์การติดเทคโนโลยีของพวกเราล่ะ ใช่ไหม? กับการออกฉายได้ 2 สัปดาห์ Men, Women & Children ทำเงินไปแล้ว 475,000 เหรียญ น่าสงสัยว่าพาราเมาท์จะสามารถยื้อโรงเหล่านี้ได้นานขนาดไหน เพราะกับการเพิ่มโรงนั้น ก็เป็นเพียงแค่การทำตามสัญญาให้จบๆ ไป งานนี้ไม่น่าประหลาดใจถ้าหนังจะจบด้วยการทำเงินน้อยกว่า 1 ล้านเหรียญ
ในตลาดต่างประเทศ Guardians of the Galaxy กลับมาขึ้นอันดับ 1 อีกหน เมื่อทำเงินเพิ่มอีด 23.1 ล้านเหรียญ รายได้รวมนอกอเมริกาพุ่งไปถึง 405 ล้านเหรียญไปแล้ว โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากจีน ซึ่งรายได้ลดลง 28% ทำเงินได้ 22.3 ล้านเหรียญ มีรายงานว่าซับไตเติลที่ไม่ดี กลายเป็นตัวทำให้ปากต่อปากของหนังไม่ดีนัก ถึวตอนนี้หนังทำเงินในจีนไปแล้ว 69 ล้านเหรียญ และน่าจะไปถึง 100 ล้านเหรียญได้ ขณะที่รายได้รวมทั่วขยับไปเป็น 733 ล้านเหรียญ และเป็นหนังมาร์เวลเรื่องที่ 10 ที่ทำได้ ตอนนี้ Guardians แซงหน้า Captain America: The Winter Soldier และ The Amazing Spider-Man 2 ไปแล้ว กับการเปิดตัวในอิตาลีสัปดาห์หน้า Guardians of the Galaxy การันตีตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดอันดับ 2 ของปี ที่Maleficent เป็นหัวแถวอยู่ด้วยรายได้ 757 ล้านเหรียญ
Dracula Untold ยังไปได้ดีในตลาดต่างประเทศ กับ 55 ตลาด หนังได้เงินเพิ่มอีด 22.5 ล้านเหรียญ รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ 95.7 ล้านเหรียญ กับการฉายสัปดาห์ที่ 2 ในรัสเซีย หนังทำรายได้ 4.4 ล้านเหรียญ รายได้รวมที่นี่เป็น 16.7 ล้านเหรียญ และหนังจะเปิดตัวที่บราซิล, สเปน ในสัปดาห์หน้า
Gone Girl ได้เงินมาอีก 20.2 ล้านเหรียญ รายได้รวมนอกอเมริกาขยับเป็น 94.5 ล้านเหรียญ (หรือ 200 กว่าล้านหากรวมทั่วโลก) ในอังกฤษรายได้หนังตกแค่ 23% ทำเงินได้อีก 3.9 ล้านเหรียญ ส่วนที่ออสเตรเลีย รายได้ลดลง 25% ทำเงินไป 2.8 ล้านเหรียญ หนังยังไม่ได้เปิดตัวที่เกาหลี, อิตาลี และจีน ซึ่งดูแล้วน่าจะผ่านรายได้ของ The Social Network และ The Girl with the Dragon Tattoo (128 และ 130 ล้านเหรียญ ตามลำดับได้)
หลังเปิดตัวในอเมริกา 2 เดือน ในที่สุด Teenage Mutant Ninja Turtles ก็เปิดตัวในยุโรป และทำรายได้น่าประทับใจที่อังกฤษ 7.9 ล้าน และแข็งแรงใช้ได้ที่ฝรังเศส 4.1 ล้านเหรียญ, เยอรมันนี 3.8 ล้านเหรียญ และสเปน 1.5 ล้านเหรียญ โดยรวมๆ แล้วหนังได้เงินสัปดาห์นี้ประมาณ 20 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 185.4 ล้านเหรียญ หนังจะเข้าฉายในจีนสิ้นเดือนนี้ และจะเปิดตัวในญี่ปุ่นกุมภาพันธ์ปีหน้า
Annabelle ได้เงินมาอีก 19.2 ล้านเหรียญ รายได้รวมขยับเพิ่มเป็น 92 ล้านเหรียญ ซึ่งพอๆ กับ The Conjuring จากระยะเวลาฉายพอๆ กัน สัปดาห์หน้าหนังจะเปิดตัวในเม็กซิโก
ปิดท้ายที่ The Maze Runner ที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งโกยเงินต่อไป หนังขึ้นอันดับ 1 ในฝรั่งเศสด้วยรายได้ 4.9 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าหนัง Hunger Games ภาคแ รก (3.8 ล้านเหรียญ) ตอนนี้รายได้รวมของหนังอยู่ที่ 160.7 ล้านเหรียญ และยังไม่เปิดตัวในจีน ซึ่งจากทฤษฎีหนังน่าจะปิดตัวที่รายได้ถึง 250 ล้านเหรียญเลยทีเดียว
เปิดตัวในบางประเทศพร้อมๆ กับอเมริกา The Book of Life ทำเงินไป 8.6 ล้านเหรียญจาก 19 ตลาด หนังออกตัวได้ดีที่เม็กซิโก (3.8 ล้านเหรียญ) และบราซิล (2 ล้านเหรียญ) สัปดาห์หน้า หนังจะเปิดตัวที่อังกฤษ และฝรั่งเศส
อ่านแล้วชอบ คลิกไลค์ให้ได้นะครับที่ www.facebook.com/Sadaos
Coinciding with its domestic debut, The Book of Life opened to $8.6 million from 19 markets. It got off to a good start in Mexico ($3.8 million), and Brazil ($2 million); next weekend, it expands in to the U.K. and France.