สวัสดีครับ ก่อนอื่นคนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้แล้ว ก็ให้คะแนนตัวเองไว้ในใจเลย ก่อนที่จะอ่าน ด้านล่างน่ะครับผม
โอเค ผมจะขอเกริ่นก่อนล่ะกัน จะได้ให้เห็นภาพ
1. หัวใจของระบบสภาวะอากาศของโลก
2. รอยเท้านิเวศ
เอาเรื่องแรกก่อนเลยล่ะกัน คือ การละลายของน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือ (ตามหลักการแล้วน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือคือหัวใจของระบบสภาวะอากาศของโลก ) ซึ่งโดยปรกติแล้วการละลายเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก โดย ชั้นน้ำแข็งจะขยายตัวในช่วงฤดูหนาวและหดตัวในช่วงฤดูร้อน และเป็นอย่างนี้เรื่อยมา จนถึงบัดนี้ ชั้นน้ำแข็งพวกนั้นมันไม่เป็นเช่นเดิมอีกต่อไป โดยชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอายุประมาณ 5 ปีขึ้นไป ได้มีการละลายลง มากกว่าที่เคยเป็น และยังคงละลายลงอย่างต่อเนื่อง (สรุปก็คือมันละลายเร็วกว่าที่จะกลับไปแข็งตัวในช่วงฤดูหนาว) และเมื่อปริมาณการละลายเกินจุดดุลยภาพเมื่อไหร่ ปริมาณการละลายนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะ อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจะไปละลายผืนดินที่รอบมหาสมุทรอาร์คติก ซึ่งเป็นที่เก็บคาร์บอนที่ถูกแช่แข็งไว้จำนวนมหาศาล ซึ่งพอมันละลายก็จะกลายเป็นก๊าซมีเทน โดยการย่อยสลายของแบคทีเรีย มันก็จะส่งผลให้ทุกอย่างยิ่งทรุดหนักกว่าเดิมเป็นทวีคูณอย่างที่บอกไป (สรุปอีกที คือถ้าเรายังคงใช้ทรัพยากรกันอย่างสะบั้นหั่นแรกและไม่ยั่งยืนล่ะก็ สมดุลบนโลกจะเจ๊งหนักกว่านี้อีกหลายเท่าแบบที่เข็มขัดสั้นกันเลยทีเดียวเชียว)
สอง เรื่องรอยเท้านิเวศ รอยเท้านิเวศเป็นมาตรวัดว่าระบบทางชีวภาพโดยธรรมชาติถูกใช้หรือรับผลกระทบมากน้อยเพียงใดจากการกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การทิ้งของเสีย รวมถึงการดูดซับของเสียจากผลิตภัณฑ์ต่างๆของมนุษย์ โดยมีหน่วยเป็น เฮกตาร์โลก (global hectare)
และข่าวดี คือ ตอนนี้รอยเท้านิ้เวศของโลกทั้งใบเท่ากับ ดาวเคราะห์โลก 1.3 ดวง กว่าๆ และยังประมาณการอีกว่า ถ้าสถานะการณ์การบริโภคและใช้ทรัพกรในอัตราปัจจุบัน เราจะต้องใช้ทรัพยากรเท่ากับดาวเคราะห์โลกถึง 2 ดวง เลยทีเดียว ในปี 2030
แต่มันก็ไม่แปลกที่เราจะใช้ทรัพยากรขนาดนั้น ผมยังพึ่งแว้นมอไซค์ไปซื้อหนมเซเว่นอยู่เลย (ไปคนเดียวด้วย ฮ่า ๆ) และก็ยังเปิดคอมแทบจะทั้งวันอยู่เลย (เห็นได้ชัดว่า พวกเรามีปัญหาในการเข้าถึงการรักษ์โลกอย่างมืออาชีพ) แต่อะไรที่ทำได้เล็กๆน้อยๆ ผมก็ทำน่ะ เช่นปิดไฟดวงที่ไม่ใช้หรือปิดน้ำดวงที่ไม่ใช้ เอ้ย!! ปิดน้ำตอนที่ไม่ใช้
แล้วปัญหาพวกนี้ทำให้เราเห็นอะไรบ้าง?
ก็อย่างแรกเลย ผมตัวคนเดียวไม่สามารถรักษ์โลกได้อย่างมีประสิทธิภาพหรอก มันต้องเกิดขึ้นทั้งระบบ โดยแต่ระบบมีกลไกที่เกื้อหนุนกัน และแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมคนเดียว แต่มันเป็นเรื่องของพวกเราทุกคน ทุกครั้งที่พวกเรา จับจ่ายใช้ส่อย ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินใดก็ตาม ก็เปรียบเสมือนกับการลงคะแนนเสียง เลือกหรือสนับสนุนผลิตภัณฑ์ บริการ หรืธุรกิจหนึ่งๆ และจุดชวนผลพวงมากมายทั้งตัวคุณ และโลกใบนี้ ใครจะไปรู้ว่าวันนึงที่โลกเสียสมดุล เราอาจไม่อาจเอี่อมถึงเสื้อผ้าดีๆแม้แต่แบรนด์ที่ตอนนี้ไม่แพงมากอย่าง H&M ก็ได้เพราะผลผลิตฝ้ายถูกคุกคามโดยโรคและศัตรูพืช หรืออาจจะเข้าสู้ยุคแห่งความแล้งแค้นอดอยากปากแห้ง ด้วยสาเหตุเดียวกัน เอาเป็นว่า อนาคตของโลกอยู่ในมือเราทุกคน จะเลือกส่งต่อโลกที่เนาะเฟ่ะให้ลูกหลาน หรือโลกที่ยังสดใสก็อยู่ที่เราเลือก แต่เราต้องเกาะกลุ่มกันไว้ ดั่งสุภาษิตแอฟริกันโบราณว่า "ถ้าอยากไปเร็ว ไปคนเดียว ถ้าอยากไปไกล ไปด้วยกัน"
แล้วก็ผมขอทิ้งท้ายถึง อีกหนึ่งโปรเจคที่ผมเชื่อว่ามันจะมีประโยชน์ต่อพวกเรา และโลกมาก นั้นก็คือเรื่องของการมีแพลตฟอร์มในการ คาร์พู (ทางเดียวกันไปด้วยกัน) เพราะมันจะไม่ใช่แค่ คาร์พู แต่มันจะมอบพลังให้เรารวมกันเป็นปึกแผ่นและต่อสู้กับโลกร้อนได้อย่างจั้งหนั๋บ (สมน้ำสมเนื้อ) และหวังว่าเราจะสามารถสร้างแรงกระเพื้อมในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและแท้จริงไปยังวงการอุตสาหกรรมอื่นๆด้วย และเชื่อมต่อคนอื่นๆที่เหลือเข้ากับพวกเรา
โปรเจคลิ้งค์ :
http://pantip.com/topic/32718982
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบและขออภัยที่ (แท๊กไม่ตรงกับหัวเรื่องสพทีเดียวเพราะอยากเข้าถึงคนอื่นๆบ้างที่ไม่ใช่คนที่สนใจในเรื่องนี่อยู่แล้ว) และที่อาจมีบ้างส่วนผิดพลาดไป (ที่สำคัญมันอาจยาวจนเกินไป แฮ่ะๆ)
อ้างอิงจาก
http://www.ted.com/talks/al_gore_warns_on_latest_climate_trends?language=th
และหนังสือ THE TRUTH ABOUT GREEN BUSINESS (เขียวเปลี่ยนโลก) ของคุณ Gil Friend นำเข้าไทยโดย สำหนักพิมพ์ OPEN WORLDS
คุณใส่ใจในเรื่องโลกร้อนกี่คะแนนเต็ม 10?
โอเค ผมจะขอเกริ่นก่อนล่ะกัน จะได้ให้เห็นภาพ
1. หัวใจของระบบสภาวะอากาศของโลก
2. รอยเท้านิเวศ
เอาเรื่องแรกก่อนเลยล่ะกัน คือ การละลายของน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือ (ตามหลักการแล้วน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือคือหัวใจของระบบสภาวะอากาศของโลก ) ซึ่งโดยปรกติแล้วการละลายเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก โดย ชั้นน้ำแข็งจะขยายตัวในช่วงฤดูหนาวและหดตัวในช่วงฤดูร้อน และเป็นอย่างนี้เรื่อยมา จนถึงบัดนี้ ชั้นน้ำแข็งพวกนั้นมันไม่เป็นเช่นเดิมอีกต่อไป โดยชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอายุประมาณ 5 ปีขึ้นไป ได้มีการละลายลง มากกว่าที่เคยเป็น และยังคงละลายลงอย่างต่อเนื่อง (สรุปก็คือมันละลายเร็วกว่าที่จะกลับไปแข็งตัวในช่วงฤดูหนาว) และเมื่อปริมาณการละลายเกินจุดดุลยภาพเมื่อไหร่ ปริมาณการละลายนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะ อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจะไปละลายผืนดินที่รอบมหาสมุทรอาร์คติก ซึ่งเป็นที่เก็บคาร์บอนที่ถูกแช่แข็งไว้จำนวนมหาศาล ซึ่งพอมันละลายก็จะกลายเป็นก๊าซมีเทน โดยการย่อยสลายของแบคทีเรีย มันก็จะส่งผลให้ทุกอย่างยิ่งทรุดหนักกว่าเดิมเป็นทวีคูณอย่างที่บอกไป (สรุปอีกที คือถ้าเรายังคงใช้ทรัพยากรกันอย่างสะบั้นหั่นแรกและไม่ยั่งยืนล่ะก็ สมดุลบนโลกจะเจ๊งหนักกว่านี้อีกหลายเท่าแบบที่เข็มขัดสั้นกันเลยทีเดียวเชียว)
สอง เรื่องรอยเท้านิเวศ รอยเท้านิเวศเป็นมาตรวัดว่าระบบทางชีวภาพโดยธรรมชาติถูกใช้หรือรับผลกระทบมากน้อยเพียงใดจากการกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภค การทิ้งของเสีย รวมถึงการดูดซับของเสียจากผลิตภัณฑ์ต่างๆของมนุษย์ โดยมีหน่วยเป็น เฮกตาร์โลก (global hectare)
และข่าวดี คือ ตอนนี้รอยเท้านิ้เวศของโลกทั้งใบเท่ากับ ดาวเคราะห์โลก 1.3 ดวง กว่าๆ และยังประมาณการอีกว่า ถ้าสถานะการณ์การบริโภคและใช้ทรัพกรในอัตราปัจจุบัน เราจะต้องใช้ทรัพยากรเท่ากับดาวเคราะห์โลกถึง 2 ดวง เลยทีเดียว ในปี 2030
แต่มันก็ไม่แปลกที่เราจะใช้ทรัพยากรขนาดนั้น ผมยังพึ่งแว้นมอไซค์ไปซื้อหนมเซเว่นอยู่เลย (ไปคนเดียวด้วย ฮ่า ๆ) และก็ยังเปิดคอมแทบจะทั้งวันอยู่เลย (เห็นได้ชัดว่า พวกเรามีปัญหาในการเข้าถึงการรักษ์โลกอย่างมืออาชีพ) แต่อะไรที่ทำได้เล็กๆน้อยๆ ผมก็ทำน่ะ เช่นปิดไฟดวงที่ไม่ใช้หรือปิดน้ำดวงที่ไม่ใช้ เอ้ย!! ปิดน้ำตอนที่ไม่ใช้
แล้วปัญหาพวกนี้ทำให้เราเห็นอะไรบ้าง?
ก็อย่างแรกเลย ผมตัวคนเดียวไม่สามารถรักษ์โลกได้อย่างมีประสิทธิภาพหรอก มันต้องเกิดขึ้นทั้งระบบ โดยแต่ระบบมีกลไกที่เกื้อหนุนกัน และแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมคนเดียว แต่มันเป็นเรื่องของพวกเราทุกคน ทุกครั้งที่พวกเรา จับจ่ายใช้ส่อย ไม่ว่าจะเป็นสกุลเงินใดก็ตาม ก็เปรียบเสมือนกับการลงคะแนนเสียง เลือกหรือสนับสนุนผลิตภัณฑ์ บริการ หรืธุรกิจหนึ่งๆ และจุดชวนผลพวงมากมายทั้งตัวคุณ และโลกใบนี้ ใครจะไปรู้ว่าวันนึงที่โลกเสียสมดุล เราอาจไม่อาจเอี่อมถึงเสื้อผ้าดีๆแม้แต่แบรนด์ที่ตอนนี้ไม่แพงมากอย่าง H&M ก็ได้เพราะผลผลิตฝ้ายถูกคุกคามโดยโรคและศัตรูพืช หรืออาจจะเข้าสู้ยุคแห่งความแล้งแค้นอดอยากปากแห้ง ด้วยสาเหตุเดียวกัน เอาเป็นว่า อนาคตของโลกอยู่ในมือเราทุกคน จะเลือกส่งต่อโลกที่เนาะเฟ่ะให้ลูกหลาน หรือโลกที่ยังสดใสก็อยู่ที่เราเลือก แต่เราต้องเกาะกลุ่มกันไว้ ดั่งสุภาษิตแอฟริกันโบราณว่า "ถ้าอยากไปเร็ว ไปคนเดียว ถ้าอยากไปไกล ไปด้วยกัน"
แล้วก็ผมขอทิ้งท้ายถึง อีกหนึ่งโปรเจคที่ผมเชื่อว่ามันจะมีประโยชน์ต่อพวกเรา และโลกมาก นั้นก็คือเรื่องของการมีแพลตฟอร์มในการ คาร์พู (ทางเดียวกันไปด้วยกัน) เพราะมันจะไม่ใช่แค่ คาร์พู แต่มันจะมอบพลังให้เรารวมกันเป็นปึกแผ่นและต่อสู้กับโลกร้อนได้อย่างจั้งหนั๋บ (สมน้ำสมเนื้อ) และหวังว่าเราจะสามารถสร้างแรงกระเพื้อมในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและแท้จริงไปยังวงการอุตสาหกรรมอื่นๆด้วย และเชื่อมต่อคนอื่นๆที่เหลือเข้ากับพวกเรา
โปรเจคลิ้งค์ : http://pantip.com/topic/32718982
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบและขออภัยที่ (แท๊กไม่ตรงกับหัวเรื่องสพทีเดียวเพราะอยากเข้าถึงคนอื่นๆบ้างที่ไม่ใช่คนที่สนใจในเรื่องนี่อยู่แล้ว) และที่อาจมีบ้างส่วนผิดพลาดไป (ที่สำคัญมันอาจยาวจนเกินไป แฮ่ะๆ)
อ้างอิงจาก http://www.ted.com/talks/al_gore_warns_on_latest_climate_trends?language=th
และหนังสือ THE TRUTH ABOUT GREEN BUSINESS (เขียวเปลี่ยนโลก) ของคุณ Gil Friend นำเข้าไทยโดย สำหนักพิมพ์ OPEN WORLDS