เฮฮาประสามนุษย์เงินเดือน 2 : เรื่องของลูกน้อง
ประสบการณ์ชีวิตการทำงานตามประสามนุษย์เงินเดือน เอามาแชร์บ้าง อะไรบ้าง มีสาระ ไม่มีสาระ ฮาบ้าง ไม่ฮาบ้าง คิดว่าอ่านขำๆ คลายเครียดแล้วกันนะครับ ^_____^
เป็นเรื่องราวครั้งหนึ่งในชีวิตตอนที่ผมยังทำงานอยู่จังหวัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับกรุงเทพฯ ตอนนั้นผมลาออกจากที่ทำงานเดิม มาเริ่มงานใหม่ ณ จังหวัดนั้นได้ประมาณซัก 4-5 เดือน จนพอจะรู้จักกับพี่น้อง ผองเพื่อน ที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ทำอยู่คนละสำนักงาน ด้วยความที่ผมเป็นคนใหม่และเห็นว่าเพื่อนฝูงแต่คนละคนก็ทำงานอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ก็เลยคิดว่า ไหนๆ ก็รู้จักแล้วก็ควรจะสังสรรค์ เฮฮากันบ้าง ผม และพี่ๆ เพื่อนๆ ก็เลย นัดเลี้ยงสังสรรค์กันในเย็นวันหนึ่ง
“เฮ้อ!!!!!”
เสียงถอนหายใจของใครหนึ่ง ทำให้ผมที่กำลังนั่งซดน้ำแกงต้มยำอยู่ ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง เป็นพี่ในกลุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมนั้นเอง พี่คนนี้อายุมากกว่าผมประมาณ 5 ปี สมมุติให้ว่าชื่อ “พี่บี” แล้วกัน พี่บี เป็นผู้ชายที่แต่งตัวค่อนข้างดีและสะอาดสะอ้าน หน้าตาผิวพรรณค่อนข้างดีเลยล่ะ บ่งบอกว่าครอบครัวแกคงจะมีฐานะพอสมควรถึงอาจจะไม่รวยมากแต่คงไม่ให้ลูกชายต้องมาตรากตรำทำงานตั้งแต่ตอนเด็กๆ เหมือนผมเป็นแน่ เพราะผมเกิดในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างแย่ต้องออกมาทำงานหาเงินตั้งแต่ยังเด็ก พอโตขึ้นก็ต้องส่งเสียตัวเองเรียนอีกด้วย
“มีอะไรเหรอพี่ทำหน้ากลุ้มใจเชียว?” ผมถามแต่ยังไม่วายเคี้ยวอาหารอยู่ตุ้ยๆ
“ปวดหัวเรื่องหัวหน้าวะ ไม่ว่าพี่ทำอะไรก็ดูผิดไปหมดในสายตาแก เบื่อจริงๆ”
พอผมได้ฟังปัญหาของพี่แก ก็อดที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อยออกมาไม่ได้ เรื่องแบบนี้มนุษย์เงินเดือนเจอกันออกบ่อย ไอ้ประเภทหัวหน้ากับลูกน้องไม่ค่อยถูกกันนี้มีเกือบทุกที่แหละ จากนั้นพี่บีก็เล่าให้ผมฟังว่า หัวหน้า ของพี่บี ไม่ค่อยชอบจะหน้าแกเท่าไรนัก เพราะแกเป็นคนที่คนข้างทำอะไรเถรตรงไม่ค่อยตามใจหัวหน้า ไม่เหมือนกับลูกน้องคนก่อน บวกกับพูดจาเอาใจหัวหน้าไม่เก่ง พี่บีก็เลยไม่เป็นที่โปรดปรานของหัวหน้านัก ซึ่งแกก็ร่ำๆ กับผมอยู่ว่า ไม่รู้ว่าจะทำงานกับหัวหน้าคนนี้ไปได้อีกนานไหม ถ้าทำงานต่อไปไม่ได้จริงๆ คงต้องหนีไปทำงานที่อื่น เพราะทุกวันนี้ที่ทำงานด้วยกันก็ไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ชีวิตของผมที่ผ่านมาจะว่าไปก็เจอทั้งหัวหน้าที่ดีและหัวหน้าที่.........มาเยอะเหมือนกัน แต่ผมค่อนข้างโชคดีกว่าพี่บีหน่อย ตรงที่ไม่ว่าผมจะทำงานที่ไหนต่อไม่ให้เป็นที่ชอบของหัวหน้าก็ไม่ถึงกับเป็นที่เกลียด จัดอยู่ในระดับเสมอตัว คือ “ไม่ดีไม่ร้าย” เวลาทำงานผมเลยค่อนข้างสบายใจ เพราะปกติเป็นคนที่ไม่ชอบทะเลาะกับใคร โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าของตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ถึงกับจะยอมไปทุกเรื่องหรอกนะ ถ้าเห็นว่างานที่หัวหน้าสั่งมันไม่ใช่อย่างที่ผมเข้าใจ ผมก็มีโต้แย้งกับหัวหน้าบ้างเหมือนกัน แต่ก็นานๆ ครั้งที
เมื่อพูดถึงเรื่องการบริหารงานบุคคลหรือการบริหารทรัพยากรบุคคลมันออกจะงานที่ยากพอควรอ่ะนะ ถึงจะเป็นงานที่มีความสำคัญสำหรับองค์กรมากงานหนึ่งก็เถอะ เพราะมนุษย์มักจะเอาอารมณ์ของตัวเอง ความรัก ความเกลียด ความชัง ความชอบ เข้ามาปะปนอยู่ในการทำงานด้วยเสมอ แม้แต่กระทั่งผมเองก็ยังเคยใช้อารมณ์ในการทำงานอยู่บ่อยๆ ทั้งที่รู้ว่าจะส่งผลให้งานออกมาไม่ดีแต่ก็ยังปรับเปลี่ยนนิสัยไม่ค่อยได้ ดีแค่ว่าไม่ได้ใช้อารมณ์รุนแรงกับเพื่อนร่วมงานเท่านั้น ไม่งั้นต่อไปคงร่วมงานกับใครไม่ได้แน่ๆ
ดังนั้น หน้าที่ที่สำคัญของคนที่เป็นหัวหน้าจึงจะต้องมีความสามารถในเรื่องการบริหารงานบุคคล และมีเข้าใจในตัวของลูกน้องของตัวเองด้วยว่าลูกน้องของตัวเองแต่ละคนมีลักษณะนิสัยอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ ถนัดหรือไม่ถนัดงานแบบไหน หรือมีความสามารถในด้านใด
การทำงานร่วมกับหัวหน้าที่ไม่มีความเข้าใจตัวลูกน้อง อีกทั้งไม่สนใจว่าลูกน้องของตัวเองจะรู้สึกอย่างไร และตั้งตาแต่จะให้ลูกน้องจะสนองแต่ความต้องการของตัวเอง มักจะทำให้ลูกน้องเกิดความรู้สึกอัดอัด และทำให้เขารู้สึกไม่มีความสุขในงานที่ทำอยู่ หากมีโอกาสหรือมีช่องทางอื่นที่ดีกว่า พวกเขาย่อมจะหนีหายไปจากพวกคุณอย่างแน่นอน ทำให้คุณต้องสูญเสียลูกน้องที่ดีและมีความสามารถไป
ผมเคยพูดให้พี่บีฟังว่า จริงๆ แล้ว คนที่เป็นลูกน้องอย่างพวกเราไม่ได้ต้องการอะไรจากหัวหน้ามากมายหรอกครับ แค่ขอให้ความสำคัญ ให้เกียรติพวกเรา รวมทั้งเข้าใจการทำงานของพวเราด้วย แค่นี้แม้บางครั้งรายได้ที่ได้รับมันอาจจะไม่มาก โบนัสอาจจะได้ไม่เยอะ แต่พวกเราก็ยังยินดีที่จะทำงานให้หัวหน้า หรือ องค์กร ต่อไป หากรู้สึกว่างานที่ทำอยู่มันให้ความสุขกับเรามากๆ
พี่บีพอได้ฟังที่ผมพูด แกก็พูดกับผมว่า ถ้าผมเป็นหัวหน้าของแกนี้ แกรักผมตายเลย รู้ใจลูกน้องจริงๆ ผมก็ได้แต่หัวเราะและตอบพี่บีไปว่า “แหม!!! ผมก็เป็นลูกน้องเหมือนพี่นี้ครับ ถ้าไม่รู้ใจพวกเดียวกันเองก็แปลกล่ะ 55555+”
อันทีจริงผมก็เคยพูดเรื่องนี้กับหัวหน้าของผมอยู่บ่อยครั้ง (ถ้าเห็นว่าหัวหน้างานคนนั้นพูดคุยกันได้อ่ะนะ) ว่าบางทีเงินมันก็ไม่สำคัญไปหมดทุกอย่างหรอก ผมเองก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าที่ทำงานอยู่ทุกวันก็เพื่อต้องการเงิน แต่ถ้าทำงานที่ไหนแล้วไม่สบายใจ หากมีโอกาสก็คงเปลี่ยนงานไปอีกเรื่อยๆ หรือเลิกทำงานประจำไปทำอย่างอื่นดีกว่า เพราะถ้าให้ผมทำงานอยู่โดยไม่มีความสุขผมก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกันนั้นแหละ
ผมทำงานอยู่ที่นั้นได้ประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะลาออก แล้วย้ายเข้ามาทำงานที่ใหม่ในกรุงเทพฯ (ตามประสาคนชอบเปลี่ยนงานและพเนจร) ทำให้ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้พูดคุยพบปะกับพี่บีและพวกเพื่อนๆ มากเท่าไร มารู้ข่าวอีกทีเห็นว่า ตอนหลังเห็นว่า พี่บี เริ่มทำงานเข้าขากับหัวหน้าคนเดิมแล้ว ได้ยินผมก็พลอยดีใจไปกับแกด้วยที่ไม่ต้องเปลี่ยนงานเหมือนอย่างที่แกตั้งใจเอาไว้ แต่แรก แต่ทว่าในข่าวดีนั้นผมก็กลับได้รับข่าวร้ายตามมาด้วย นั้นก็คือ เพื่อนๆ ที่คบกันอยู่กับพี่บีค่อยๆ หนีหายออกห่างจากแกไปทีละคนสองคน เพราะพี่บีกับพวกเพื่อนๆ เกิดทะเลาะกันเองขึ้นมา
ช่วงนั้นผมต้องปวดหัวพอควรกับการรับโทรศัพท์ระบายความอัดอั้นจากทั้งสองฝ่าย เพราะเวลาฟังเรื่องราวจากสองฝั่งฟาก มักจะมีเนื้อหากันไปคนละทางจึงได้แต่รับฟังอย่างเงียบๆ อย่างเดียว (เป็นคนกลางนี้ลำบากใจจริงๆ T____T) สุดท้ายพวกพี่บีและเพื่อนๆ ก็เริ่มไม่พูดคุยกันและเลิกคบกันไปในที่สุด!!!!
เฮ้อ!!! .......มาทะเลาะกันเองแบบนี้ .......ก็เซ็งเป็ด....เซ็งห่านกันไปครับ .....!!!!!
http://www.pantip.com/topic/32738924 เฮฮาประสามนุษย์เงินเดือน 1 : เรื่องของเจ้านาย
เฮฮาประสามนุษย์เงินเดือน 2 : เรื่องของลูกน้อง
ประสบการณ์ชีวิตการทำงานตามประสามนุษย์เงินเดือน เอามาแชร์บ้าง อะไรบ้าง มีสาระ ไม่มีสาระ ฮาบ้าง ไม่ฮาบ้าง คิดว่าอ่านขำๆ คลายเครียดแล้วกันนะครับ ^_____^
เป็นเรื่องราวครั้งหนึ่งในชีวิตตอนที่ผมยังทำงานอยู่จังหวัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับกรุงเทพฯ ตอนนั้นผมลาออกจากที่ทำงานเดิม มาเริ่มงานใหม่ ณ จังหวัดนั้นได้ประมาณซัก 4-5 เดือน จนพอจะรู้จักกับพี่น้อง ผองเพื่อน ที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ทำอยู่คนละสำนักงาน ด้วยความที่ผมเป็นคนใหม่และเห็นว่าเพื่อนฝูงแต่คนละคนก็ทำงานอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ก็เลยคิดว่า ไหนๆ ก็รู้จักแล้วก็ควรจะสังสรรค์ เฮฮากันบ้าง ผม และพี่ๆ เพื่อนๆ ก็เลย นัดเลี้ยงสังสรรค์กันในเย็นวันหนึ่ง
“เฮ้อ!!!!!”
เสียงถอนหายใจของใครหนึ่ง ทำให้ผมที่กำลังนั่งซดน้ำแกงต้มยำอยู่ ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง เป็นพี่ในกลุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมนั้นเอง พี่คนนี้อายุมากกว่าผมประมาณ 5 ปี สมมุติให้ว่าชื่อ “พี่บี” แล้วกัน พี่บี เป็นผู้ชายที่แต่งตัวค่อนข้างดีและสะอาดสะอ้าน หน้าตาผิวพรรณค่อนข้างดีเลยล่ะ บ่งบอกว่าครอบครัวแกคงจะมีฐานะพอสมควรถึงอาจจะไม่รวยมากแต่คงไม่ให้ลูกชายต้องมาตรากตรำทำงานตั้งแต่ตอนเด็กๆ เหมือนผมเป็นแน่ เพราะผมเกิดในครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างแย่ต้องออกมาทำงานหาเงินตั้งแต่ยังเด็ก พอโตขึ้นก็ต้องส่งเสียตัวเองเรียนอีกด้วย
“มีอะไรเหรอพี่ทำหน้ากลุ้มใจเชียว?” ผมถามแต่ยังไม่วายเคี้ยวอาหารอยู่ตุ้ยๆ
“ปวดหัวเรื่องหัวหน้าวะ ไม่ว่าพี่ทำอะไรก็ดูผิดไปหมดในสายตาแก เบื่อจริงๆ”
พอผมได้ฟังปัญหาของพี่แก ก็อดที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อยออกมาไม่ได้ เรื่องแบบนี้มนุษย์เงินเดือนเจอกันออกบ่อย ไอ้ประเภทหัวหน้ากับลูกน้องไม่ค่อยถูกกันนี้มีเกือบทุกที่แหละ จากนั้นพี่บีก็เล่าให้ผมฟังว่า หัวหน้า ของพี่บี ไม่ค่อยชอบจะหน้าแกเท่าไรนัก เพราะแกเป็นคนที่คนข้างทำอะไรเถรตรงไม่ค่อยตามใจหัวหน้า ไม่เหมือนกับลูกน้องคนก่อน บวกกับพูดจาเอาใจหัวหน้าไม่เก่ง พี่บีก็เลยไม่เป็นที่โปรดปรานของหัวหน้านัก ซึ่งแกก็ร่ำๆ กับผมอยู่ว่า ไม่รู้ว่าจะทำงานกับหัวหน้าคนนี้ไปได้อีกนานไหม ถ้าทำงานต่อไปไม่ได้จริงๆ คงต้องหนีไปทำงานที่อื่น เพราะทุกวันนี้ที่ทำงานด้วยกันก็ไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ชีวิตของผมที่ผ่านมาจะว่าไปก็เจอทั้งหัวหน้าที่ดีและหัวหน้าที่.........มาเยอะเหมือนกัน แต่ผมค่อนข้างโชคดีกว่าพี่บีหน่อย ตรงที่ไม่ว่าผมจะทำงานที่ไหนต่อไม่ให้เป็นที่ชอบของหัวหน้าก็ไม่ถึงกับเป็นที่เกลียด จัดอยู่ในระดับเสมอตัว คือ “ไม่ดีไม่ร้าย” เวลาทำงานผมเลยค่อนข้างสบายใจ เพราะปกติเป็นคนที่ไม่ชอบทะเลาะกับใคร โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าของตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่ถึงกับจะยอมไปทุกเรื่องหรอกนะ ถ้าเห็นว่างานที่หัวหน้าสั่งมันไม่ใช่อย่างที่ผมเข้าใจ ผมก็มีโต้แย้งกับหัวหน้าบ้างเหมือนกัน แต่ก็นานๆ ครั้งที
เมื่อพูดถึงเรื่องการบริหารงานบุคคลหรือการบริหารทรัพยากรบุคคลมันออกจะงานที่ยากพอควรอ่ะนะ ถึงจะเป็นงานที่มีความสำคัญสำหรับองค์กรมากงานหนึ่งก็เถอะ เพราะมนุษย์มักจะเอาอารมณ์ของตัวเอง ความรัก ความเกลียด ความชัง ความชอบ เข้ามาปะปนอยู่ในการทำงานด้วยเสมอ แม้แต่กระทั่งผมเองก็ยังเคยใช้อารมณ์ในการทำงานอยู่บ่อยๆ ทั้งที่รู้ว่าจะส่งผลให้งานออกมาไม่ดีแต่ก็ยังปรับเปลี่ยนนิสัยไม่ค่อยได้ ดีแค่ว่าไม่ได้ใช้อารมณ์รุนแรงกับเพื่อนร่วมงานเท่านั้น ไม่งั้นต่อไปคงร่วมงานกับใครไม่ได้แน่ๆ
ดังนั้น หน้าที่ที่สำคัญของคนที่เป็นหัวหน้าจึงจะต้องมีความสามารถในเรื่องการบริหารงานบุคคล และมีเข้าใจในตัวของลูกน้องของตัวเองด้วยว่าลูกน้องของตัวเองแต่ละคนมีลักษณะนิสัยอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ ถนัดหรือไม่ถนัดงานแบบไหน หรือมีความสามารถในด้านใด
การทำงานร่วมกับหัวหน้าที่ไม่มีความเข้าใจตัวลูกน้อง อีกทั้งไม่สนใจว่าลูกน้องของตัวเองจะรู้สึกอย่างไร และตั้งตาแต่จะให้ลูกน้องจะสนองแต่ความต้องการของตัวเอง มักจะทำให้ลูกน้องเกิดความรู้สึกอัดอัด และทำให้เขารู้สึกไม่มีความสุขในงานที่ทำอยู่ หากมีโอกาสหรือมีช่องทางอื่นที่ดีกว่า พวกเขาย่อมจะหนีหายไปจากพวกคุณอย่างแน่นอน ทำให้คุณต้องสูญเสียลูกน้องที่ดีและมีความสามารถไป
ผมเคยพูดให้พี่บีฟังว่า จริงๆ แล้ว คนที่เป็นลูกน้องอย่างพวกเราไม่ได้ต้องการอะไรจากหัวหน้ามากมายหรอกครับ แค่ขอให้ความสำคัญ ให้เกียรติพวกเรา รวมทั้งเข้าใจการทำงานของพวเราด้วย แค่นี้แม้บางครั้งรายได้ที่ได้รับมันอาจจะไม่มาก โบนัสอาจจะได้ไม่เยอะ แต่พวกเราก็ยังยินดีที่จะทำงานให้หัวหน้า หรือ องค์กร ต่อไป หากรู้สึกว่างานที่ทำอยู่มันให้ความสุขกับเรามากๆ
พี่บีพอได้ฟังที่ผมพูด แกก็พูดกับผมว่า ถ้าผมเป็นหัวหน้าของแกนี้ แกรักผมตายเลย รู้ใจลูกน้องจริงๆ ผมก็ได้แต่หัวเราะและตอบพี่บีไปว่า “แหม!!! ผมก็เป็นลูกน้องเหมือนพี่นี้ครับ ถ้าไม่รู้ใจพวกเดียวกันเองก็แปลกล่ะ 55555+”
อันทีจริงผมก็เคยพูดเรื่องนี้กับหัวหน้าของผมอยู่บ่อยครั้ง (ถ้าเห็นว่าหัวหน้างานคนนั้นพูดคุยกันได้อ่ะนะ) ว่าบางทีเงินมันก็ไม่สำคัญไปหมดทุกอย่างหรอก ผมเองก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าที่ทำงานอยู่ทุกวันก็เพื่อต้องการเงิน แต่ถ้าทำงานที่ไหนแล้วไม่สบายใจ หากมีโอกาสก็คงเปลี่ยนงานไปอีกเรื่อยๆ หรือเลิกทำงานประจำไปทำอย่างอื่นดีกว่า เพราะถ้าให้ผมทำงานอยู่โดยไม่มีความสุขผมก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกันนั้นแหละ
ผมทำงานอยู่ที่นั้นได้ประมาณ 2 ปี ก่อนที่จะลาออก แล้วย้ายเข้ามาทำงานที่ใหม่ในกรุงเทพฯ (ตามประสาคนชอบเปลี่ยนงานและพเนจร) ทำให้ช่วงหลังๆ ไม่ค่อยได้พูดคุยพบปะกับพี่บีและพวกเพื่อนๆ มากเท่าไร มารู้ข่าวอีกทีเห็นว่า ตอนหลังเห็นว่า พี่บี เริ่มทำงานเข้าขากับหัวหน้าคนเดิมแล้ว ได้ยินผมก็พลอยดีใจไปกับแกด้วยที่ไม่ต้องเปลี่ยนงานเหมือนอย่างที่แกตั้งใจเอาไว้ แต่แรก แต่ทว่าในข่าวดีนั้นผมก็กลับได้รับข่าวร้ายตามมาด้วย นั้นก็คือ เพื่อนๆ ที่คบกันอยู่กับพี่บีค่อยๆ หนีหายออกห่างจากแกไปทีละคนสองคน เพราะพี่บีกับพวกเพื่อนๆ เกิดทะเลาะกันเองขึ้นมา
ช่วงนั้นผมต้องปวดหัวพอควรกับการรับโทรศัพท์ระบายความอัดอั้นจากทั้งสองฝ่าย เพราะเวลาฟังเรื่องราวจากสองฝั่งฟาก มักจะมีเนื้อหากันไปคนละทางจึงได้แต่รับฟังอย่างเงียบๆ อย่างเดียว (เป็นคนกลางนี้ลำบากใจจริงๆ T____T) สุดท้ายพวกพี่บีและเพื่อนๆ ก็เริ่มไม่พูดคุยกันและเลิกคบกันไปในที่สุด!!!!
เฮ้อ!!! .......มาทะเลาะกันเองแบบนี้ .......ก็เซ็งเป็ด....เซ็งห่านกันไปครับ .....!!!!!
http://www.pantip.com/topic/32738924 เฮฮาประสามนุษย์เงินเดือน 1 : เรื่องของเจ้านาย