มีการ Spoil เนื้อหาในภาพรวมของหนัง เพื่อให้บทความชิ้นนี้สามารถวิเคราะห์มุมของหนังได้มากขึ้น
Whiplash (2014)
มนุษย์ทุกผู้คนย่อมมีความฝัน แต่มีเพียงจำนวนหนึ่งที่ได้ทำตามความฝัน และมีผู้คนอยู่น้อยนิดที่ไปถึงฝั่งฝัน กระนั้นความฝันก็ยังมีส่วนกระตุ้นให้คนเรามีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้า เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ของชีวิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวตนของแต่ละคนที่จะก้าวเดินอย่างไรกับการไปให้ถึงฝันโดยไม่พลาดสะดุดล้มลงเสียก่อน
Whiplash (2014) คือหนังที่พูดถึงความฝันและการไปให้ถึงฝัน แต่ระหว่างทางของหนังและตัวละครนั้นกลับต้องพบเจอกับสิ่งที่คาดไม่ถึง ที่จะมาเปลี่ยนวิถีและการไปให้ถึงฝัน ปัจจัยหลักของการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่อุปสรรคจากภายนอก แต่เป็นภายในใจของตัวเองต่างหาก การยึดมั่นในตัวตนของตัวเองอาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่การก้าวอย่างไม่ระมัดระวังก็อาจจะทำให้ก้าวย่างนั้นผิดพลาดและตกลงมาได้ก่อนที่จะถึงจุดหมาย Whiplash (2014) จึงเป็นหนังที่มีทั้งการกระตุ้นและตักเตือนในเวลาเดียวกัน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้มีพื้นฐานจากครอบครัวนักดนตรี และยังมีปมเรื่องของแม่อยู่ในใจ มีความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้าจะมองดูในศักยภาพของเขาแล้ว จุดมุ่งหมายของเขาน่าจะไปไกลเกินเอื้อม สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ตัวเขาเองที่จะประคับประคองเส้นทางเดินไม่ให้ถลำไปในสิ่งที่ผิด มุ่งม่นในความฝัน และไม่หยิ่งผยองในความสำเร็จเบื้องต้น ข้อแรกเขาอาจจะผ่านกับความมุ่งมั่นไม่หลงทาง แต่ข้อต่อมาเขากลับพลาดเพราะความทะนงตนก่อนเวลาอันควร และนั่นคือลางร้ายแห่งหายนะที่รออยู่เบื้องหน้า
แล้วผู้ฝึกสอนมีความฝันหรือไม่ หนังได้เปิดเผยอย่างไม่ปิดบังว่าเขามีความฝันอยู่เช่นกัน แต่ความมุ่งมั่นจนเกินงามคือสิ่งที่ฉุดให้ความฝันของเขายังไม่เป็นดังหวัง การยึดตัวเองเป็นที่ตั้งขาดการผ่อนปรน มองในแง่มุมหนึ่งอาจจะดีที่ทำให้เกิดความตั้งใจในสิ่งที่หวัง แต่ในอีกมุมหนึ่งคือการสร้างความถดถอยของจิตใจเมื่อบางครั้งการเคี่ยวกรำจากการฝึกซ้อมได้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด
เสียงกลองในเรื่องเป็นจุดเด่นที่สำคัญ แม้วงดนตรีจะเป็นวงดนตรีแจ๊สที่ไม่จำเป็นต้องมีกลองที่ดุเดือดอย่างดนตรีร็อก แต่หนังสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับเสียงกลองในเรื่องได้ ด้วยลีลาของกลองที่มีทั้งความพลิ้วไหว ดุดัน ฉับไว และเสนาะหู พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงร็อกเท่านั้น แม้แจ๊สดี ๆ ก็มีจังหวะกลองที่ดีได้ด้วย
Whiplash (2014) ยังแหวกขนบของหนังในแนวเดียวกันไปโดยสิ้นเชิง ครึ่งเรื่องแรกหนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากเรื่องอื่นในแนวทางเดียวกัน แต่เมื่อเจาะลึกเขาไปในจิตใจของตัวเอก มุมมองของหนังเริ่มเปลี่ยนไป จนสุดท้ายนำไปสู่ตอนจบที่ไม่มีใครคาดเดาได้ถูกต้องไปทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่หนังตอบได้ชัดเจนคือการเสนอเรื่องราวของมนุษย์ที่มีทุกอย่างในเวลาเดียวกัน และมนุษย์ทุกคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำ
หนังเรื่องนี้จึงอาจจะไม่ใช่แค่หนังไล่ตามความฝันในแบบที่คุ้นตา แต่เป็นการเจาะสำรวจถึงการไปให้ถึงฝันและความเป็นมนุษย์ในทุกผู้คน คำตอบของหนังคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
อ่านเพิ่มเติมหนังเรื่องอื่นได้ที่
https://www.facebook.com/laenanglangjor
[CR] Whiplash (2014) ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ (spoil)
Whiplash (2014)
มนุษย์ทุกผู้คนย่อมมีความฝัน แต่มีเพียงจำนวนหนึ่งที่ได้ทำตามความฝัน และมีผู้คนอยู่น้อยนิดที่ไปถึงฝั่งฝัน กระนั้นความฝันก็ยังมีส่วนกระตุ้นให้คนเรามีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้า เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ของชีวิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวตนของแต่ละคนที่จะก้าวเดินอย่างไรกับการไปให้ถึงฝันโดยไม่พลาดสะดุดล้มลงเสียก่อน
Whiplash (2014) คือหนังที่พูดถึงความฝันและการไปให้ถึงฝัน แต่ระหว่างทางของหนังและตัวละครนั้นกลับต้องพบเจอกับสิ่งที่คาดไม่ถึง ที่จะมาเปลี่ยนวิถีและการไปให้ถึงฝัน ปัจจัยหลักของการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่แค่อุปสรรคจากภายนอก แต่เป็นภายในใจของตัวเองต่างหาก การยึดมั่นในตัวตนของตัวเองอาจจะเป็นแรงกระตุ้นที่ดีที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่การก้าวอย่างไม่ระมัดระวังก็อาจจะทำให้ก้าวย่างนั้นผิดพลาดและตกลงมาได้ก่อนที่จะถึงจุดหมาย Whiplash (2014) จึงเป็นหนังที่มีทั้งการกระตุ้นและตักเตือนในเวลาเดียวกัน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้มีพื้นฐานจากครอบครัวนักดนตรี และยังมีปมเรื่องของแม่อยู่ในใจ มีความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้าจะมองดูในศักยภาพของเขาแล้ว จุดมุ่งหมายของเขาน่าจะไปไกลเกินเอื้อม สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ตัวเขาเองที่จะประคับประคองเส้นทางเดินไม่ให้ถลำไปในสิ่งที่ผิด มุ่งม่นในความฝัน และไม่หยิ่งผยองในความสำเร็จเบื้องต้น ข้อแรกเขาอาจจะผ่านกับความมุ่งมั่นไม่หลงทาง แต่ข้อต่อมาเขากลับพลาดเพราะความทะนงตนก่อนเวลาอันควร และนั่นคือลางร้ายแห่งหายนะที่รออยู่เบื้องหน้า
แล้วผู้ฝึกสอนมีความฝันหรือไม่ หนังได้เปิดเผยอย่างไม่ปิดบังว่าเขามีความฝันอยู่เช่นกัน แต่ความมุ่งมั่นจนเกินงามคือสิ่งที่ฉุดให้ความฝันของเขายังไม่เป็นดังหวัง การยึดตัวเองเป็นที่ตั้งขาดการผ่อนปรน มองในแง่มุมหนึ่งอาจจะดีที่ทำให้เกิดความตั้งใจในสิ่งที่หวัง แต่ในอีกมุมหนึ่งคือการสร้างความถดถอยของจิตใจเมื่อบางครั้งการเคี่ยวกรำจากการฝึกซ้อมได้ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด
เสียงกลองในเรื่องเป็นจุดเด่นที่สำคัญ แม้วงดนตรีจะเป็นวงดนตรีแจ๊สที่ไม่จำเป็นต้องมีกลองที่ดุเดือดอย่างดนตรีร็อก แต่หนังสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับเสียงกลองในเรื่องได้ ด้วยลีลาของกลองที่มีทั้งความพลิ้วไหว ดุดัน ฉับไว และเสนาะหู พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงร็อกเท่านั้น แม้แจ๊สดี ๆ ก็มีจังหวะกลองที่ดีได้ด้วย
Whiplash (2014) ยังแหวกขนบของหนังในแนวเดียวกันไปโดยสิ้นเชิง ครึ่งเรื่องแรกหนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากเรื่องอื่นในแนวทางเดียวกัน แต่เมื่อเจาะลึกเขาไปในจิตใจของตัวเอก มุมมองของหนังเริ่มเปลี่ยนไป จนสุดท้ายนำไปสู่ตอนจบที่ไม่มีใครคาดเดาได้ถูกต้องไปทั้งหมด แต่สิ่งหนึ่งที่หนังตอบได้ชัดเจนคือการเสนอเรื่องราวของมนุษย์ที่มีทุกอย่างในเวลาเดียวกัน และมนุษย์ทุกคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำ
หนังเรื่องนี้จึงอาจจะไม่ใช่แค่หนังไล่ตามความฝันในแบบที่คุ้นตา แต่เป็นการเจาะสำรวจถึงการไปให้ถึงฝันและความเป็นมนุษย์ในทุกผู้คน คำตอบของหนังคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
อ่านเพิ่มเติมหนังเรื่องอื่นได้ที่ https://www.facebook.com/laenanglangjor