[### Movie Preview] แนะนำ 21 หนังเตรียมเข้าฉาย 2 เดือนสุดท้ายของปีที่คุณไม่ควรพลาด !!!!

เรียกน้ำย่อยก่อนพบกับกระทู้จัดหนักหนังในปีหน้านะครับ
ด้วยข้อมูลหนังที่น่าดูในช่วงปลายปีนี้ ที่เหลืออีกแค่ 2 เดือนสุดท้ายแล้ว
แต่ถึงจะเหลืออีก 2 เดือน ก็ยังมีหนังที่น่าสนใจอีกเพียบ

อันนี้อิงจากกำหนดฉายในอเมริกาที่เหลือนะครับ
บ้านเราบางเรื่องอาจจะได้ดูกันต้นปีหน้าเลย

ENJOY YOUR MOVIE

ปล. ข้อมูลของหนังแต่ละเรื่อง เขียนเอง รวบรวมเองนะครับ
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยครับ


ยิ้มยิ้มยิ้มยิ้มยิ้มยิ้มยิ้มยิ้ม

ติดตามข่าวสารและพูดคุยกันต่อได้ที่
http://facebook.com/filmzlapsocial

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6


THE HOBBIT : THE BATTLE OF FIVE ARMIES
เดอะ ฮอบบิต : สงครามห้าทัพ
ผู้กำกับ : ปีเตอร์ แจ็คสัน (The Lord of The Ring Trilogy)
ผู้เขียนบท : ปีเตอร์ แจ็คสัน / เกียเลอร์โม เดล โตโร่ (Pacific Rim) / ฟิลลิป้า โวเยนส์ & ฟราน วอลช์ (The Lord of The Rings)  
นักแสดง : มาร์ติน ฟรีแมน / ออร์แลนโด บลูม / ริชาร์ด อาร์มิเทจ / ลุค อีแวนส์ / เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ / เอียน แม็คเคลเลน / เคต แบลนเชตต์ / อีวานเจลีน ลิลลี่ / มานู เบนเนตต์ / ลี เพซ / ฮูโก้ วีฟวิ่ง / บิลลี่ คอนเนลลี่ / ไอแดน เทอร์เนอร์ / คริสโตเฟอร์ ลี / เกรแฮม แม็คทาวิข
กำหนดฉายในอเมริกา : 17 ธันวาคม 2014 (วอร์เนอร์)
กำหนดฉายในไทย : 18 ธันวาคม 2557 (วอร์เนอร์)
ทุนสร้าง : 250 ล้านดอลล่าร์

และแล้วก็ได้เวลาสู่มหาปัจฉิมบทครั้งยิ่งใหญ่ที่เหล่าพลพรรคเพื่อนรักชาวมิดเดิ้ลเอิร์ธจะต้องมาร่วมผจญภัยปิดตำนาน..ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะนำไปสู่เหตุการณ์หลังจากนั้นอีก 60 ปีต่อมาใน The Lord of The Rings..

ปีเตอร์ แจ็คสัน เดินทางมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อโค้งสุดท้ายที่จะนำผู้ชมเข้าไปสู่มหาสงครามห้าทัพ หลังจากการโค่นล้างเล้คทาวน์จนพังราบเป็นหน้ากลองของ "สม็อก" (ที่จะได้พ่นไฟบรรลัยกัลป์กันตั้งแต่ต้นเรื่อง) ซึ่งยืนยันได้เลยว่า ความอลังการงานสร้างในศึกครั้งใหญ่นี้จะเป็นความยิ่งใหญ่ในระดับที่มากกว่าหรือเท่ากับภาคสุดท้ายใน The Lord of The Rings เลยทีเดียว ถือเป็นฟินาเล่ส่งท้ายที่แจ็คสันภูมิใจนำเสนอสู่สายตาแฟนๆเป็นอย่างมาก (หลังจากแอบกั๊กมาในภาคที่แล้วจนทำให้หลายคนรู้สึกผิดหวังเล็กๆ)

The Battle of Five Armies ว่าด้วยเรื่องราวมหากาพย์การผจญภัยของบิลโบ้ แบ็กกิ้นส์และสหายที่เดินทางมาถึงบทสรุปครั้งใหญ่ นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง และความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยมีธอรินเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องราวที่พลิกผันในครั้งนี้เมื่อเขาหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องการทวงคืนสมบัติ ทำให้เขามองข้ามมิตรภาพที่เคยมีมาต่อพลพรรคทั้งหลายแถมยังใส่ร้ายบิลโบ้ว่านี่คือแผนของเขา ในขณะเดียวกันนั้น แกนดาล์ฟก็ได้มองเห็นภัยพิบัติหายนะครั้งใหญ่ที่กำลังจะเดินทางมาถึง เมื่อเซารอนผู้ชั่วร้ายำได้วางแผนส่งกองทัพออาร์คเพื่อเตรียมพร้อมโจมตีหุบเขาเดียวดาย กลายเป็นจุดเริ่มต้นของมหาสงครามที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นำมาซึ่งการตัดสินใจครั้งใหญ่ของเหล่าคนแคระ, เอลฟ์และมนุษย์ที่ต้องเลือกว่าจะร่วมศึกในครั้งนี้หรือจะยอมถูกโจมตีย่อยยับ

ใครที่อ่านเวอร์ชั่นนิยายมา รับรองได้ว่าสิ่งที่คุณได้อ่านในเวอร์ชั่นตัวหนังสือ จะได้รับการขยายต่อยอดมาบนแผ่นฟิล์มแบบจัดเต็มอย่างที่คาดหวังกันไว้ เพราะนั่นก็คือเหตุผลที่แจ็คสันยอมหั่นหนังออกเป็นสามภาค ทั้งที่ต้นฉบับมีเพียงแค่หนังสือเล่มเดียว ก็เพื่อที่จะได้เก็บรายละเอียดสำคัญในฉากอันยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างครบถ้วน และฉากไคลแม็กซ์ที่แจ็คสันทุ่มทุนสร้างยิ่งกว่าในหนังเรื่องไหนมาก่อนด้วย (ถึงขนาดที่มีการถ่ายทำเพิ่มเติมกันด้วย เพื่อความอัดแน่นมากยิ่งขึ้น)

หนังเคยใช้ชื่อพ่วงว่า There And Back Again แต่แจ็คสันก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็น The Battle of The Five Armies ที่ง่ายต่อความเข้าใจของคนดูในแง่ของการนำเสนอฉากและเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องราวสำคัญในภาคนี้ แถมชื่อ There And Back Again นั้นก็ดูจะผิดจุดประสงค์ของภาคนี้ไปซักเล็กน้อย เพราะบิลโบ้และสหายได้เดินทางไปยังเอราบอร์เรียบร้อยแล้ว

ถึงคราวที่เราจะต้องบอกลาโลกแห่งมิดเดิลเอิร์ธกันอีกครั้ง หลังจากเมื่อ 11 ปีก่อนเราเพิ่งโบกมือลาตำนาน The Lord of The Rings กันไป ถือเป็นประสบการณ์พิเศษอีกครั้งที่แฟนหนังในโลกของ The Hobbit จะได้มาเป็นสักขีพยานในมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเป็นรอยต่อไปสู่เรื่องราวในอนาคตกาลข้างหน้ากันอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้จะไม่มีภาคต่อไปออกมาให้ได้ดูกัน แต่ถ้าเป็นแฟนตัวจริง ไปหยิบ The Lord of The Rings ไตรภาคมาดูอีกสักภาคก็จะฟินมากขึ้นไปอีกไม่น้อย

อย่างไรก็แล้วแต่ ยังเหลือเรื่องราวที่ยังไม่ได้รับการเล่าบนจอใหญ่นั่นก็คือ The Silmarillion อภิมหากาพย์นิยายที่เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานโลกแห่งเทพก่อนที่จะกลายมาเป็นตัวละครที่เรารู้จักกันใน The Hobbit และ The Lord of The Rings นั่นเอง แต่ก็รู้สึกเสียดายที่ยังไม่มีใครได้สิทธิ์จากเจ้าของมาสร้างเป็นหนัง แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่แน่ว่าหลังจาก The Hobbit ภาคสุดท้ายนี้ออกฉาย เราอาจจะได้ยินข่าวดีเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ก็เป็นได้

ตัวอย่าง : http://www.youtube.com/watch?v=ZSzeFFsKEt4
เว็บไซต์ทางการ : http://www.thehobbit.com/





ความคิดเห็นที่ 1


INTERSTELLAR
ทะยานดาวกู้โลก
ผู้กำกับ : คริสโตเฟอร์ โนแลน (The Dark Knight, Inception)
ผู้เขียนบท : โจนาธาน โนแลน (The Dark Knight) / คริสโตเฟอร์ โนแลน
นักแสดง : แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ / เจสสิก้า แชสเตน / แอนน์ ฮาทาเวย์ / ไมเคิล เคน / แมต เดมอน / เคซี่ เอฟเฟลค / โทเฟอร์ เกรซ / แม็คแคนซี่ ฟอย / เวส เบนท์ลี่ย์ / จอห์น ลิธโกว์ / เอลเลน เบอร์สตีน / เดวิด โอเยโลโว่ / คอลเลตต์ วูล์ฟ / ลีอาห์ คาร์นส
กำหนดฉายในอเมริกา : 7 พฤศจิกายน 2014 (พาราเมาต์-วอร์เนอร์)
กำหนดฉายในไทย : 6 พฤศจิกายน 2557 (วอร์เนอร์)
ทุนสร้าง : 185 - 200 ล้านดอลล่าร์ (โดยประมาณการ)

...ถึงแม้โลกจะถึงจุดจบ... แต่ไม่ได้หมายความว่า "เรา" จะต้องถึงจุดจบเหมือนโลก"

เป็นคำโปรยที่บอกอะไรได้หลายอย่างเกี่ยวกับภาพยนตร์ไซไฟสุดยิ่งใหญ่อลังการงานดราม่าภายใต้การกำกับของ "คริสโตเฟอร์ โนแลน" เจ้าพ่อหนังผู้ที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่และพร้อมสร้างสรรค์สิ่งดีๆมานำเสนอสู่สายตาแฟนหนังเดนตายตลอด จากผลงานในชิ้นก่อนๆที่การันตีคุณภาพได้เป็นอย่างดี โนแลนมาพร้อมก้าวใหม่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ด้วยการหันมาจับงานไซไฟทะลุอวกาศเต็มตัวเป็นครั้งแรก

และถึงจะเป็นหนังเน้นความเหนือจริงที่ต้องไปว่ายเวียนกันในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงยังนอกโลก แต่โนแลนก็ไม่ได้ทำให้หนังเรื่องนี้ไกลเกินความเป็นจริงไปด้วยแต่อย่างใด เพราะหนังได้เล่าเรื่องราวที่หยิบเอาพื้นฐานทฤษฎีการเดินทางข้ามเอกภพของนักฟิสิกส์ "คิพ ธอร์น" ซึ่งว่าด้วยวิธีการย่นระยะเวลาที่มนุษย์สามารถเดินทางข้ามแกแล็กซี่ผ่าน "รูหนอนอวกาศ" ได้ ซึ่งธอร์นมีเหตุผลรองรับในการยืนยันว่ามันสามารถเป็นไปได้ที่มนุษย์จะสามารถใช้ทางลัดในรูปแบบนี้เดินทางข้ามผ่านกาลเวลาอันยาวนานและไกลโพ้น แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นยืนยันชัดเจนได้ว่า ทฤษฎีดังกล่าวประสบความสำเร็จในภาคปฎิบัติ เพราะด้วยปัจจัยหลายๆอย่างที่ยังไม่มีข้อสรุป

ซึ่งถึงแม้ในโลกแห่งความเป็นจริง เราจะไมได้เห็นนักบินอวกาศเดินทางข้ามแกแล็กซี่ด้วยรูหนอน แต่อย่างน้อย "คริสโตเฟอร์ โนแลน" ก็จะทำให้เราได้เห็นในโลกแห่งภาพยนตร์

Interstellar "ทะยานดาวกู้โลก" ว่าด้วยการค้นหาโลกแห่งใหม่ของมนุษย์ที่หลังจากไม่สามารถเพาะปลูกพืชพันธ์อันเป็นปัจจัยจำเป็นในการดำรงชีพได้ ทีมนักสำรวจจึงต้องเดินทางหา "ดาวเคราะห์ดวงใหม่" ที่เหมาะสมในการจะเป็นโลกใบถัดไป นำมาซึ่งการเดินทางข้ามเอกภพเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางที่วาดหวังเอาไว้

หนังจะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปที่เกิดขึ้น หากมนุษย์ต้องเดินทางข้ามผ่านกาลเวลาเพื่อค้นหาแหล่งที่อยู่ใหม่ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในรูปแบบใหม่ ว่าจะสามารถเป็นไปได้หรือไม่ และจะส่งผลกระทบอะไรต่อการดำรงชีพในลักษณะของมนุษย์บ้าง

แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ พระเอกออสการ์หมาดๆจาก Dallas Buyers Club ที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นถึงขีดสุด มีโอกาสได้มาร่วมงานเป็นพระเอกให้กับโนแลนในหนังเรื่องนี้เป็นครั้งแรกพร้อมบทบาทที่น่าสนใจในมาดของคุณพ่อผู้เสียสละที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในทีมผู้เดินทางออกสำรวจจักรวาลอันกว้างใหญ่ "อินเตอร์สเตลเลอร์มาพร้อมสเกลหนังที่ยิ่งใหญ่มาก หนังเรื่องนี้มีความทะเยอทะยานในระดับที่สูงกว่า Inception และไตรภาค Batman" แม็คคอนนาเฮย์ยืนยันความแตกต่างในเนื้องานของโนแลนชิ้นนี้

แอนน์ ฮาทาเวย์ อีกหนึ่งนักแสดงที่ร่วมงานกับโนแลนใน The Dark Knight Rises และได้โอกาสมาร่วมงานกันอีกในเรื่องนี้ เสริมต่อว่า "นี่ไม่ใช่หนังที่นำเสนอเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์แค่เพียงผิวเผิน แต่มันเป็นลงลึกไปถึงเส้นเลือดใหญ่ของหนังสไตล์นี้ที่ทำให้คนดูสัมผัสเข้าไปถึงแก่นแท้ของมันได้"

ด้วยหน้าหนังที่แข็งแรงมากๆแล้ว ทีมนักแสดงของหนังก็แข็งปั๋งไม่แพ้กัน เพราะนอกเหนือไปจากแม็คคอนนาเฮย์และฮาทาเวย์แล้ว หนังก็ยังมี เจสสิก้า แชสเตน, ไมเคิล เคน (โคจรมาร่วมงานกับโนแลนเป็นครั้งที่ 6), เคซี่ย์ เอฟเฟลค, โทเฟอร์ เกรซ, เวส เบนท์ลี่ย์, เอลเลน เบอร์สตีน, จอห์น ลิธกาว, เดวิด โอเยโลโว, บิลล์ เออร์บิน, คอลเลตต์ วูล์ฟ และแมต เดมอนที่จะมาร่วมแจมในบทรับเชิญด้วย

หากปีที่แล้วคุณเคยตื่นตะลึงกับวิสัยทัศน์ใหม่ของงานไซไฟใน Gravity ปีนี้ความรู้สึกเดียวกันของแฟนหนังทั้งหลายจะเกิดขึ้นกับ Interstellar ที่พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับผลงานแนวไซไฟที่ผสมผสานไปด้วยอารมณ์ดราม่าและการผจญภัยที่เน้นเรื่องราวบนโลกแห่งความเป็นจริงอย่างลงตัว และไม่แน่ว่าประสบการณ์ในการชมหนังไซไฟที่ยิ่งใหญ่เรื่องนี้ของโนแลน จะทำให้คุณลืมหนังแนวเดียวกันที่เคยดูมาทุกเรื่องก็เป็นได้

...โนแลนไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว

สำหรับคอหนังในบ้านเราก็ถือว่าโชคเข้าข้างมากๆ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีข่าวออกมาว่า เราจะไม่ได้ชมกันในรูปแบบ IMAX ด้วยฟิล์ม 70 มม. แต่ล่าสุดมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการจากต้นสังกัด วอร์เนอร์ว่า บ้านเราได้รับเลือกให้ฉายในรูปแบบดังกล่าวด้วย และเป็นหนึ่งในสองประเทศของทวีปเอเชียที่ได้ชมในรูปแบบนี้ (อีกประเทศในแถบภูมิภาคเราคือ ไต้หวัน) แถมยังเป็นหนึ่งใน 4 ประเทศทั่วโลกนอกจากอเมริกาที่ได้รับชมในเวอร์ชั่นนี้ด้วย นอกเหนือจากนี้ก็คือ อังกฤษและเช็ก ....งานนี้แฟนหนังทั้งหลายไม่ควรพลาดในรูปแบบ IMAX 70 mm. ด้วยประกาศทั้งปวง ก่อนที่การใช้ฟิล์มในการถ่ายทำจะสูญพันธ์ในตลอดกาล

ตัวอย่าง : http://www.youtube.com/watch?v=0vxOhd4qlnA
เว็บไซต์ทางการ : http://www.interstellar-movie.com/





ความคิดเห็นที่ 2


THE HUNGER GAMES : MOCKINGJAY PART I
เกมล่าเกม : ม็อคกิ้งเจย์ พาร์ท 1
ผู้กำกับ : ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ (I Am Legend, Constantine)
ผู้เขียนบท : ปีเตอร์ เคร้ก (The Town) / แดนนี่ สตรอง (The Butler)
นักแสดง : เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ / จอช ฮัทเชอร์สัน / เลียม เฮมสเวิร์ธ / โดนัลด์ ซุทเทอร์แลนด์ / จูเลียน มัวร์ / แซม คลาฟลิน / นาตาลี ดอร์เมอร์ / ฟิลิป ซีมัวร์ ฮอฟแมน / เจฟฟรี่ย์ ไรท์ / สแตนลี่ย์ ทุชชี่ / โทบี้ โจนส์ / วิลโลว์ ชีลด์ส / อลิซาเบธ แบงค์ส / เจน่า มาโลน
กำหนดฉายในอเมริกา : 21 พฤศจิกายน 2014 (ไลออนส์เกต)
กำหนดฉายในไทย : 20 พฤศจิกายน 2557 (มงคลเมเจอร์)
ทุนสร้าง : 250 ล้านดอลล่าร์ (แบ่งทุนสร้างกับ Part 2)

"ถึงจะเป็นเรื่องราวต่อกัน ...แต่ทั้งสองภาค (พาร์ท 1 และ 2) จะเป็นมาพร้อมความเป็นเอกเทศ...เป็นปัจเจกในตัวของมันและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สำหรับเราแล้วมันคือการขยายขอบเขตของเรื่องราว หาใช่การเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ" -ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ให้คำจำกัดความของสองภาคสุดท้ายในไตรภาค The Hunger Games ที่เขารับหน้าที่กำกับอีกครั้ง

หลายคนอาจจะยังคงสงสัยว่า รอยต่อระหว่างพาร์ท 1 และ 2 จะอยู่ที่ตรงไหน แม้จนถึงตอนนี้แฟนๆยังคงนั่งเดากันต่อไป แต่ผู้กำกับลอว์เรนซ์ก็ยืนยันออกมาแล้วว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะทั้งสองภาคจะมีจุดยืนในแบบของตัวมันเอง และจะมีเรื่องราวที่เป็นประเด็นสำคัญให้ได้พูดถึงโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าน้ำหนักในพาร์ทสองจะหนักกว่าพาร์ทแรกที่เบาจนแทบไม่มีอะไรจะเล่า....

The Hunger Games : Mockingjay คือเล่มสุดท้ายในชุดนิยายไตรภาคต้นฉบับ ภายใต้การเขียนของ ซูซาน คอลลินส์เมื่อปี 2010 เป็นภาคต่อจาก Catching Fire ที่เรื่องราวจะเปลี่ยนโทนจากการเล่าถึงเกมส์ล่าชีวิตในอารีน่า พัฒนากลายมาเป็นสงครามการปฎิวัติที่ยิ่งใหญ่และมีอะไรตื่นตามากกว่าเดิม

แคตนิสกลับมาผงาดอีกครั้ง และครั้งนี้ในฐานะ "ม็อคกิ้งเจย์" สัญลักษณ์ของฝ่ายกบฎ พร้อมแท็กทีมพลพรรคจากเขต 13 ที่คิดว่าสาบสิ้นสูญพันธ์ไปแล้ว ออกเผชิญหน้ากับประธานาธิบดีสโนว์ เพื่อนำพาสันติกลับคืนสู่พาเน็มอีกครั้ง แน่นอนว่าภารกิจของนางยังรวมไปถึงการตามหาตัวคนรัก "พีต้า" ให้รอดพ้นจากการเป็นเครื่องมือของแคปิตอลด้วยเช่นกัน

หากมอง The Hunger Games สองเล่มแรกเป็นสนามฝึกหัดสำหรับวัยรุ่น ในเล่มท้ายสุดนี้ก็เปรียบเสมือนสนามแข่งจริงที่เด็กทั้งหลายต่างฝึกปรือฝีมือและวิชากันมาอย่างหนักหน่วงเพื่อเผชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริง ที่ไม่มีขอบเขตของกฎเกณฑ์มาเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพอีกต่อไป

เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เจ้าของมหึมาภาพฉาวบนโลกโซเชียลมากมายในช่วงก่อนหน้านี้ กลับมารับบทเป็น แคตนิสอีกครั้ง ซึ่งในภาคนี้นางต้องเพิ่มมิติทางตัวละครให้หลากหลายมากกว่าเดิม เพราะจะเป็นภาคที่ชีวิตนางเดินมาถึงทางหลายแยก และมีหลายเรื่องให้ต้องครุ่นคิดและก้าวข้ามมันไปในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่เพื่อเดินหน้าปฎิวัติ รวมไปถึงสงครามรักสามเส้าที่มีนางเป็นเดิมพันของชายหนุ่มทั้งสอง นั่นก็คือเกล (เลียม เฮมสเวิร์ธ) พ่อหนุ่มรักเดียวใจเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนใจจากแคตนิสไปไหน และพีต้า (จอช ฮัทเชอร์สัน) หนุ่มร่างเล็กที่บัดนี้ได้ถูกปธน. สโนว์พาตัวไปล้างสมองและใช้เป็นเครื่องในการหลอกล่อและบีบคั้นนาง

และในภาคนี้นอกจากสมาชิกเดิมที่เข้ามาเป็นตัวเดินเรื่องหลักแล้ว หนังก็ยังมีสมาชิกใหม่มากหน้าหลายตาเข้ามาสร้างสีสันไม่แพ้กัน นำทีมมาโดยสุดยอดตัวแม่แห่งวงการ จูเลียน มัวร์ สลัดภาพมาย้อมผมสีขาวในมาดประธานาธิบดี อัลม่า คอยน์ ผู้นำเขต 13 ผู้ที่กุมความลับบางอย่างเอาไว้ ตามด้วย นาตาลี ดอร์เมอร์จาก Game of Thrones ที่มาร่วมแจมในภาคนี้กับบท "เครสสิด้า"  สาวแกร่งจากแคปิตอลที่ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับฝ่ายกบฎ ซึ่งก็มีเมสซาล่า เข้าเป็นผู้ช่วย บทหลังนี้ได้หนุ่มอีวาน รอสส์จาก 90210 มารับหน้าที่ นอกจากนี้ยังมีโรเบิร์ต เน็ปเปอร์ร่วมสมทบในบท "แอนโตเนียส", เกวนโดลีน คริสตี้รับบทเป็น "ผู้บัญชาการไลม์" ผู้นำกองกำลังกบฎจากเขต 2, แพติน่า มิลเลอร์ รับบทเป็น "ผู้บัญชาการเพย์เลอร์" ผู้นำกองกำลังกบฎจากเขต 8, สเตฟ ดอว์สัน หลังจากที่โผล่มารับเชิญในภาคนี้ ภาคนี้นางมาเต็มในบทของแฟนสาวฟินนิค โอแดร์จากเขต 4 ที่ถูกแคปิตอลจับตัวไป

ทางด้านของนักแสดง สิ่งที่ยังสร้างความสงสัยให้กับแฟนหนังก็คือ บทพลูตาร์ชของฟิลลิป ซีมัวร์ ฮอฟแมน จะมีมากน้อยเพียงใด หลังจากเจ้าตัวได้ด่วนจากแฟนหนังไปซะก่อน คำตอบที่ได้ก็คือ ฮอฟแมนถ่ายทำในส่วนของ Part I เสร็จสิ้นไปแล้วเรียบร้อย ในส่วนของ Part 2 ที่ฮอฟแมนได้เสียชีวิตก่อนเปิดกล้องถ่ายทำกันไปนั้น ก็มีการปรับบทเล็กๆน้อยๆ และใช้เทคนิคคอมพิวเตอร์กราฟฟิคเข้ามาช่วยในการสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาด้วยการให้ตัวแสดงแทนเป็นเจ้าของท่าทาง อากัปกิริยาและลักษณะทางกายภาพภายในเรื่อง ส่วนหน้าตานั้นก็จะเป็นการใช้ CG เข้ามาเสริมในภายหลัง

เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับแฟนเดนตายของ The Hunger Games ที่ติดตามกันมาตั้งแต่ภาคแรก และภาคนี้ถือเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญสู่บทสรุปที่แท้จริงที่จะเข้าฉายในปีหน้า ซึ่งก็แน่นอนว่าหนังจะต้องกลายเป็นผลงานทำเงินสูงสุดในอันดับต้นๆประจำปีนี้อย่างแน่นอน หลังจากปีที่แล้วก็คว้าอันดับหนึ่งหนังทำเงินสูงสุดในอเมริกาไปได้อย่างสวยงามด้วยรายรับรวม 424 ล้านดอลล่าร์ แฟนๆทั้งหลายมาดูภาคนี้กรุยทางกันไปก่อน ก่อนที่ทุกอย่างจะถึงจุดที่มันควรจะเป็นตามที่แฟนๆได้อ่านกันมาแล้วในหน้าหนังสือ มาร่วมลุ้นกันว่าภาคนี้จะตัดจบที่เหตุการณ์ใด !!

การปฎิวัติ...ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว !!!

ตัวอย่าง : http://www.youtube.com/watch?v=3PkkHsuMrho
เว็บไซต์ทางการ : http://www.thehungergamesexplorer.com/





ความคิดเห็นที่ 10



THE IMITATION GAME

ผู้กำกับ : มอร์เท็น ทิลดัม (Headhunters, Fallen Angels)
ผู้เขียนบท : เกรแฮม มัวร์
นักแสดง : เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ / เคียร่า ไนท์ลี่ย์ / ชาร์ลส แดนซ์ / แมทธิว กู้ด / มาร์ค สตรอง / อัลเลน ลีช / โรรี่ คินเนียร์
กำหนดฉายในอเมริกา : 21 พฤศจิกายน 2014 (ไวน์สตีน)
กำหนดฉายในไทย : ปี 2558 (เอ็มพิคเจอร์)
ทุนสร้าง : 15 ล้านดอลล่าร์

ได้เวลาที่พ่อหนุ่มแตงกวา เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์ จะได้มีผลงานที่เป็นเจ้าของเสียงเชียร์จากนักวิจารณ์และหมายมั่นสู่เวทีรางวัลทั้งหลายจริงๆจังๆเสียที และเรื่องนี้คือเรื่องที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเสียงลือจากเทศกาลฉายต่างๆที่ผ่านมาที่หนังได้ไปมีส่วนร่วม ต่างกล่าวขานว่า "นี่คือผลงานชิ้นเยี่ยมที่สุดของเขา" เลยทีเดียว

The Imitation Game ว่าด้วยเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของ อลัน ทัวริ่ง อัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ที่มีวีรกรรมมากมายในอดีตไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ให้กำเนิดรากฐานของคอมพิวเตอร์จนกลายเป็นที่แพร่หลายนับตั้งแต่นั้น และทำให้ชาวโลกได้มีคอมพิวเตอร์ใช้กันจนถึงทุกวันนี้ ที่ขาดไม่ได้ก็คือวีรกรรมสำคัญที่ทำให้ฝ่ายพันธมิตรกลายเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องด้วยความสามารถในการถอดรหัสอินิกม่าของเยอรมันที่เขาสามารถทำได้สำเร็จ แต่ถึงกระนั้นก็ตามชีวิตของทัวริ่งก็ต้องพบเจอกับความยากลำบาก และความกดดันทั้งหลายแหล่ เมื่อเขาถูกตัดสินให้ต้องทำหมัน เพราะมีพฤติกรรมเป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งถือเป็นความผิดทางอาชญากรรมในช่วงนั้น ทำให้เขาชีวิตของเขาต้องทนรับสภาพการถูกวิพากษ์วิจารณ์และการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่าง นำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันคนทั้งโลก

คัมเบอร์แบทช์เคยรับบทเป็นบุคคลผู้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์มาแล้ว กับผลงานชิ้นก่อนหน้าเมื่อปี  2013 อย่าง The Fifth Estate ภายใต้การกำกับของบิลล์ คอนดอน แต่หนังล้มเหลวทางด้านคำวิจารณ์และรายรับอย่างหนัก แต่ในที่สุดคัมเบอร์แบทช์ก็ทำสำเร็จด้วยการมาเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้ หนังที่จะได้รับคำวิจารณ์ว่าเป็นผลงานที่จะทำให้เขากวาดรางวัลเกือบทั่วทุกเวทีมาครอบครองนั่นเอง

แต่กว่าจะได้กลายมาเป็นเจ้าของความสำเร็จในหนังเรื่องนี้ คัมเบอร์แบทช์เกือบเสียตำแหน่งบทนี้ไปให้กับ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ที่มีอยู่ช่วงนึงให้ความสนใจในการมารับบทเป็น "อลัน ทัวริ่ง" โดยตอนนั้นโปรเจ็กต์ตกเป็นของ "วอร์เนอร์" ที่กำลังเตรียมงานสร้างกันอย่างขะมักเขม้น แต่โชคดีที่ดิคาปริโอถอนตัวออกไป และโปรเจ็กต์ก็ไปอยู่ในมือของผู้สร้างรายใหม่ โดยก่อนหน้าที่มาเป็นผลงานภายใต้การกำกัยของ มอร์เท็น ทิลดัมจาก Headhunters และ Fallen Angels ก็เคยมีชื่อผู้กำกับมากฝีมืออย่าง เดวิด เยทส์และ รอน โฮเวิร์ด เข้าร่วมเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งมาแล้ว

นอกจากคัมเบอร์แบทช์แล้ว หนังก็ยังมีนักแสดงรายอื่นๆที่น่าสนใจมาร่วมฟีทเจอริ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ เคียร่า ไนท์ลี่ย์ หญิงหนึ่งเดียวในทีมนักแสดงนำ ที่ได้รับการคาดการณ์ว่านางก็จะไปมีเอี่ยวบนเวทีออสการ์สาขานักแสดงด้วยเช่นเดียวกัน ร่วมด้วย มาร์ค สตรอง, ชาร์ลส แดนซ์, อัลเลน ลีชและแมทธิว กู้ด

ท่ามกลางหนังชีวประวัติย้อนยุคมากมายที่ถาโถมกันมาเข้าฉายในช่วงปลายปีเพื่อแย่งกันเป็นตัวเก็งรางวัล หนังเรื่องนี้ถือว่านอนมาในระดับนึง ด้วยเสียงวิจารณ์แง่บวกเป็นอย่างมากจากที่ไปเปิดตัวฉายตามเทศกาลต่างๆ แฟนๆคัมเบอร์แบทช์ที่อยากเห็นบทบาทที่จัดจ้านไปมากกว่าเดิม เรื่องนี้เฮียแกก็จะจัดหนักให้ได้ฟินคาจอกันไปข้างนึง เพราะบทที่เฮียได้รับ จะมาพร้อมมิติทางอารมณ์ที่สุดเหวี่ยงกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมา ด้วยสภาพตัวละครที่ต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ และความกดดันจากแวดล้อมต่างๆ นี่ถือเป็นบทที่น่าสนใจของคัมเบอร์แบทช์เป็นอย่างมาก

มาลุ้นกันว่าพ่อหนุ่มจะไปได้ไกลในช่วงล่ารางวัลทั้งหลายได้มากน้อยแค่ไหน !!! แต่รับรองว่าได้ติด 1 ใน 5 ผู้เข้าชิงออสการ์ 2015 อย่างแน่นอน

ตัวอย่าง : http://www.youtube.com/watch?v=j2jRs4EAvWM
เว็บไซต์ทางการ : http://blackbearpictures.com/films-in-theaters/the-imitation-game/





ความคิดเห็นที่ 12


INTO THE WOODS

ผู้กำกับ : ร็อบ มาร์แชล (Chicago, Pirates of The Caribbean 4)
ผู้เขียนบท : เจมส์ ลาพิน
นักแสดง : เมอรีล สตรีพ / เอมิลี่ บลันท์ / คริส ไพน์ / จอห์นนี่ เด็ปป์ / แอนนา เคนดริก / เจมส์ คอร์เด็น / ลูซี่ พันช์ / แม็กเคนซี่ เมาซี่ / คริสติน บาแรนสกี้ / เทรซี่ อุลล์แมน
กำหนดฉายในอเมริกา : 25 ธันวาคม 2014 (ดิสนีย์)
กำหนดฉายในไทย : 22 มกราคม 2558 (ดิสนีย์)
ทุนสร้าง : 40 ล้านดอลล่าร์

จงระวัง ในสิ่งที่คุณร้องขอ....

จากผู้กำกับที่หลงใหลในงานละครเวที "ร็อบ มาร์แชล" หยิบเอาละครเวทีมิวสิคัลชื่อดังเมื่อปี 1986 โดย สตีเฟ่น ซอนด์ไฮม์และ เจมส์ ลาพิน มาดัดแปลง ซึ่งก็ยังคงเค้าโครงเรื่องเดิมของต้นฉบับเอาไว้ แต่ใส่ความเป็นงานแฟนตาซีเน้นภาพวิชวลให้ตระการตาในมุมมองที่เหมาะสำหรับทุกเพศวัยมากขึ้น

Into The Woods เล่าเรื่องราวในอีกหนึ่งรูปแบบจากโลกเทพนิยายกริมส์ ที่ทุกคนคุ้นเคย โดยโฟกัสไปที่ตัวละคร สองสามีภรรยาคนอบขนมปัง ที่ต้องเผชิญหน้ากับคำสาปของนังแม่มดร้ายที่สาปให้พวกเขาไม่สามารถมีลูกได้ ทำให้ทั้งคู่ต้องเดินทางบุกป่าฝ่าดงและพงไพรเพื่อตามล่าวัตถุปริศนาบางอย่างที่จะสามารถลบล้างคำสาปนั้นได้ ซึ่งระหว่างทางที่สองสามีภรรยาออกผจญภัยนั้น พวกเขาก็ได้พบกับตัวละครในโลกเทพนิยายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ซินเดอเรลล่ากับเจ้าชาย ชาร์มิ่ง, หนูน้อยหมวกแดงกับหมาป่า, สาวน้อยบนหอคอย ราพันเซลและแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ พร้อมด้วยเรื่องราวเหนือปาฎิหาริย์มากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

แต่เริ่มเดิมทีโปรเจ็กต์เคยถูกพัฒนาให้กลายเป็นหนังตั้งแต่ช่วงยุค 90 ซึ่งถือเป็นความพยายามแรกในการที่จะสร้างสรรค์ผลงานละครเวทีเรื่องนี้ออกมาบนจอใหญ่ โดยนักแสดงที่เข้าชื่อในตอนนี้ก็มี โรบิน วิลเลี่ยมส์, โกลดี้ ฮอว์น, ป้าแชร์, แดนนี่ เดอวิโต้, สตีฟ มาร์ติน และโรซานน่า แบร์ ภายใต้งานสร้างของ โซนี่ และมีร็อบ มินคอฟฟ์ (The Lion King) อยู่ในตำแหน่งผู้กำกับ และหลังจากวางทุกอย่างไว้เรียบร้อย โปรเจ็กต์ก็ถูกแขวนไว้บนเชลฟ์มายาวนาน 15 ปี โดยไม่มีอะไรคืบหน้า

จนกระทั่งเมื่อปี 2012 ร็อบ มาร์แชลล์จาก Pirates of The Caribbean : On Stranger Tides และ Chicago ได้เข้ามาข้องแวะกับโปรเจ็กต์นี้ในตำแหน่งผู้กำกับ ภายใต้การสร้างของดิสนีย์ที่มุ่งมั่นจะสร้างให้ได้ในที่สุด ซึ่งครั้งนี้ก็ได้ เจมส์ ลาพินผู้อยู่เบื้องหลังละครเวทีเวอร์ชั่นต้นฉบับมาร่วมเขียนบทหนังด้วยตัวเอง แถมผู้ประพันธ์เพลงเจ้าเก่าอย่าง สตีเฟ่น ซอนด์ไฮม์ก็มาร่วมด้วยช่วยกันแต่งเพลงใหม่ให้กับหนังเช่นกัน  

ไหนๆเป็นโปรเจ็กต์ที่ยืดเยื้อยาวนานแล้ว นักแสดงที่เข้ามาร่วมฟีทเจอริ่งกันนั้นก็ต้องไม่ธรรมดาด้วย เริ่มที่การได้เจ้าป้าเมอรีล สตรีพ ยอดฝีมือออสการ์ 3 สมัยมารับบทร้ายสุดขั้วชั่วสุดขีดในมาดแม่มดผู้เป็นเจ้าของคำสาปในเรื่อง ตามด้วยขุ่นป๋าจอห์นนี่ เด็ปป์ ที่เคยร่วมงานกับมาร์แชลมาแล้วใน Pirates 4 ก็ขอมาโผล่แจมในบท หมาป่าผู้หิวโหย ยังมี แอนนา เคนดริกและคริส ไพน์รับบทคู่กันในมาดของสาวน้อยซินเดอเรลล่าและเจ้าชายชาร์มมิ่ง ร่วมด้วย คริสติน บาแรนสกี้ในบท แม่เลี้ยงใจร้ายของลูกสาวผู้ขี้เหร่ทั้งสอง, หนุ่มน้อยแดเนียล ฮัทเทิลสโตนในบท แจ็คผู้ฆ่ายักษ์, ลิลล่า ครอว์ฟอร์ดในบท หนูน้อยหมวกแดงตัวน้อย และ แม็กเคนซี่ เมาซี่ในบทสาวผมยาวบนหอคอย ราพันเซล (หนังเคยเกือบจะได้เจ้ค จิลเลนฮาลล์ มารับบทเป็นเจ้าชายของราพันเซล แต่ถอนตัวออกไป เพราะติดถ่ายทำ Nightcrawler)

เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว สำหรับหนังเรื่องนี้ ที่แฟนๆผู้เป็นคอหนังเทพนิยายทั้งหลายจะได้เห็นแคแรกเตอร์ต่างๆที่คุณหลงรักและคุ้นเคยมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ที่เดียว จากในเวอร์ชั่นต้นฉบับนั้นเนื้อหาของหนังพาเข้าไปหมกมุ่นอยู่กับความดาร์ค, ความรุนแรงและเซ็กซ์จนกลายเป็นละครเพลงที่เทียบเท่ากับหนังเรต R สักเรื่อง เห็นแบบนี้แล้วเลยไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่สำหรับการนำมาดัดแปลงเป็นหนังใหญ่ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและครอบครัว ดิสนีย์ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนแปลงพล็อตเรื่อง "บางส่วน" ซะใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ชมทุกเพศวัยมากขึ้น ซึ่งซอนด์ไฮม์ผู้อยู่เบื้องหลังเวอร์ชั่นต้นฉบับก็เห็นชอบด้วย

"ในหนังเราจะไม่ได้เห็นตัวละครมีสัมพันธ์อะไรที่เกินเลยและลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็น หนูน้อยหมวกแดงกับหมาป่า หรือจะเป็นเจ้าชายกับภรรยาคนอบขนมปัง และแน่นอนว่าราพันเซลก็จะไม่ถูกฆ่าตายด้วย" ซอนด์ไฮม์กล่าว

มาร์แชลเองก็มีพื้นในการทำหนังมิวสิคัลมาแล้วกับ Chicago บวกกับเนื้อหาแฟนตาซีที่ได้ประสบการณ์มาจาก Pirates 4 การจับหนังสองแนวมารวมกันในหนึ่งเดียวกับแบบนี้ พร้อมความท้าทายในการหยิบเอาละครเวทีของเก่ามาดัดแปลงก็ยิ่งทำให้ผลงานชิ้นนี้น่าสนใจมากขึ้นไปอีก ใครที่เป็นแฟนหนังเทพนิยายคนแสดงจริง แต่อยากหาอะไรที่แปลกและแตกต่างจากที่เคยดูกันมา เรื่องนี้เป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว

ตัวอย่าง : http://www.youtube.com/watch?v=L6Yz5BRMGIQ
เว็บไซต์ทางการ : http://movies.disney.com/into-the-woods





แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่