จะรีวิวยังไงก็ได้ 05 A Separation | อย่ามองข้ามรอยร้าวเล็กๆแม้เพียงจุดเดียวบนกระจก

PAGE | โตแล้ว จะดูหนังเรื่องอะไรก็ได้
www.facebook.com/tohlaew

จะรีวิวยังไงก็ได้ 05

A Separation | อย่ามองข้ามรอยร้าวเล็กๆแม้เพียงจุดเดียวบนกระจก

หากจะเปรียบสังคมเป็นกระจกบานใหญ่ บางทีการแตกกระจายของมันอาจเกิดจากรอยร้าวเล็กๆแค่รอยเดียว เหมือนที่หนังเริ่มต้นเล่าด้วยภาพความสัมพันธ์ที่ไปไม่รอดของสามีภรรยาชนชั้นกลางเพียงหนึ่งคู่ ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นอะไรที่ธรรมดาสากลมาก

นั่นแหละเราจึงมองข้ามไป ปล่อยให้มันลุกลาม จนในที่สุดกระจกก็แตกลงทั้งบาน

เนเดอร์ กับ ซิมิน แต่งงานอยู่กินกันมา 14 ปี มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อ เทอเมห์ ซิมินฝ่ายหญิง และครอบครัวของเธอกำลังจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ เธออยากให้สามีไปด้วย แต่เนเดอร์ยืนกรานที่จะไม่ออกจากอิหร่าน เพราะเขามีภาระที่ต้องดูแลพ่อซึ่งป่วยเป็นอัลไซเมอร์ เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งคู่จึงหย่ากัน ตัวลูกสาวเลือกที่จะอยู่ที่อิหร่านกับพ่อ และไม่พอใจในการตัดสินใจของซิมิน

เนเดอร์จ้างราเซียห์ (ตามคำแนะนำของซิมิน) ให้มาทำงานเป็นแม่บ้าน รวมทั้งคอยดูแลพ่อของเขาในเวลากลางวันซึ่งเขาและลูกจะไม่อยู่บ้าน ราเซียห์มาทำงานโดยหอบหิ้วเอาลูกมาด้วย 2 คน คนหนึ่งยังเล็ก ส่วนอีกคนหนึ่งยังเล็กกว่า คือยังอยู่ในท้องของเธอ ราเซียห์ต้องเผชิญความยากลำบาก ทั้งต้องเสียค่ารถค่าราเดินทางมาไกล และต้องดูแลพ่อของเนเดอร์ ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย มันลำบากตรงที่ การดูแลคนแก่อาจต้องมีการสัมผัสโดนกันทางร่างกายบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งผิดหลักศาสนาอิสลามที่เธอนับถือ แต่เพราะครอบครัวเธอมีฐานะยากจน สามีก็มีหนี้สิน ไหนจะลูกในท้องอีก เธอจึงต้องจำใจทำ

วันหนึ่งเนเดอร์กลับมาที่บ้านในตอนกลางวัน เขาพบพ่อนอนหมดสติอยู่กับพื้นและถูกมัดไว้กับหัวเตียง รวมทั้งเงินที่เขาเก็บไว้ในลิ้นชักก็หายไป เมื่อราเซียห์ ซึ่งแอบออกไปข้างนอกในระหว่างเวลางาน กลับมาถึง เนเดอร์จึงบันดาลโทสะไล่เธออกจากบ้าน ราเซียห์ล้มลงตรงบันได ก่อนที่ในวันถัดมาเนเดอร์จะทราบข่าวจากซิมินว่าเธอแท้งลูก ราเซียห์และสามีฟ้องเขาในข้อหาฆาตกรรม เขาจึงฟ้องกลับเช่นกันในข้อหาขโมยทรัพย์ อันนำไปสู่การต่อสู้กัน (อย่างดุเดือด) ในชั้นศาล เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริง ว่าตกลงแล้วใครพูดจริง ใครโกหก

หลังจากดู a separation จบ ผมพลันนึกไปถึงกระจกร้าวดังที่กล่าวไปตั้งแต่แรก – ไม่ได้ร้าวแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆในทีเดียว แต่เป็นการร้าวแบบค่อยๆแผ่ขยายวง จนในที่สุดก็หลุดแยกออกจากกัน

หนังดำเนินไปตามเส้นที่เกิดจากรอยร้าวดังกล่าว ค่อยๆลากพาเราให้ได้รู้จักตัวตนของตัวละครแต่ละตัว ที่แม้จะมีอุปนิสัยรวมไปถึงวิธีคิดแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดก็ล้วนถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยกรอบของศาสนา ศีลธรรม และสังคมเหมือนๆกัน และก็มีบางสถานการณ์ ที่ความเชื่อตามกรอบข้อจำกัดต่างๆข้างต้น ตีกันเอง จนทำให้ต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เช่น ฉากที่ราเซียห์ ซึ่งมีความศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า ต้องยอมผิดหลักข้อบังคับของศาสนาในการแตะเนื้อต้องตัวชายที่ไม่ใช่สามี เพื่อที่จะได้ช่วยพ่อของเนเดอร์อาบน้ำแต่งตัว หรือการต้องเลือกว่าจะต้องพูดโกหก (ซึ่งถือเป็นบาปตามความเชื่อของศาสนา) เพื่อหนีรอดจากความผิดตามกฎหมาย หรือยอมพูดความจริง ยอมรับบทลงโทษของกฎหมาย ดีกว่าจะต้องก่อบาปตามความเชื่อของศาสนา

ซึ่งการตัดสินใจกระทำการใดๆ (ที่ผ่านการกรองด้วยความเชื่อและกฎเกณฑ์ของกรอบต่างๆมาแล้ว) แม้จะดูเป็นการกระทำที่เหมือนจะไม่ได้พิเศษอะไร แต่กลับส่งผลต่อเนื่องบานปลายอย่างไม่น่าเชื่อ เช่นอาการอัลไซเมอร์ของพ่อของเนเดอร์ ที่เอาแต่เพ้อถึงหนังสือพิมพ์จนต้องเดินออกจากบ้านไปที่ร้านขายหนังสือพิมพ์ หรือฉากการสนทนาระหว่างครูสอนพิเศษของเทอเมห์กับราเซียห์

หากลองไล่เรียงดู จะเห็นว่าทุกความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ต่างเกิดจากการกระทำเล็กๆน้อยๆดังกล่าว ซึ่งโยงใยถึงกัน ผูกต่อกันจนยุ่งเหยิง และหากจะหาคนที่ผิดจริงจากเหตุการณ์ทั้งหมด เกรงว่าจะเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ เพราะคงต้องลากไปจนถึงจุดเริ่มต้น ที่ก็ไม่รู้ว่าเริ่มมาจากจุดไหนกันแน่ ( ฉากในตอนท้ายเรื่องที่เนเดอร์กับซิมินโบ้ยความผิดกันไปมา ว่าถ้าไม่เพราะเธอทำอย่างนั้น ไอ้อย่างนี้ก็คงไม่เกิด )

หนังขมวดปมสุดท้ายได้น่าสนใจ การเฉลยความจริงของความขัดแย้งทั้งหมด (ขอไม่สปอยล์นะ) เหมือนเป็นการบอกเราว่า สุดท้ายแล้วคงไม่อาจบ่งชี้ชัดเจนได้ว่า ใครผิดใครถูก หรือใครเป็นตัวการทั้งหมดของหายนะที่เกิดขึ้น มิหนำซ้ำยังจบแบบค้างคา ให้เราไปคิดต่อเอาเอง

แต่เมื่อดูจบ ผมกลับไม่ได้คิดว่าจะเกิดอะไรต่อ

ผมย้อนกลับไปคิดถึงฉากเปิดเรื่อง

แม้จะเป็นฉากการฟาดฟันกันด้วยวาจาของเนเดอร์และซิมินในชั้นศาล แต่ฉากตรงหน้ากลับไม่ปรากฏให้เห็นผู้พิพากษา มีเพียงการโต้เถียงอย่างเอาเป็นเอาตายของคนสองคนที่เคยรักกัน

ตอนที่ดูครั้งแรก ผมคิดเอาเองว่าหนังคงจงใจให้เรามองฉากนี้ผ่านมุมมองของบุคคลที่ 3

แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า ตกลงนี่ผมกำลังมองผ่านมุมมองของบุคคลที่ 3

หรือผ่านมุมมองของกระจกกันแน่.



เข้ามาพูดคุยกันได้ที่
PAGE | โตแล้ว จะดูหนังเรื่องอะไรก็ได้
www.facebook.com/tohlaew



เท่เท่เท่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่