เราเข้าใจระบอบประชาธิปไตยตรงกันไหม?
(ผมเขียนบทความนั้นตั้งแต่สิงหาคม 2552 www.thaiappraisal.org/thai/market/market_view.php?strquery=market258.htm รับรองว่าพวก สนช สปช เปลืองข้าวสุก คิดไม่ได้หรอกครับ กลัวแต่จะคิดบิดเบือนประชาธิปไตยซะมากกว่า)
.
ดร.โสภณ พรโชคชัย
.
ใคร ๆ ก็ชอบระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่รู้ว่าเราเข้าใจตรงกันไหม? นิยามของประชาธิปไตยที่ทุกคนเคยได้ยินเหมือนกัน แต่อาจตีความต่างกันก็คือ ‘ระบอบการปกครองซึ่งอำนาจมาจากเสียงข้างมาก’ นี่แสดงว่าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง คือสัจธรรม หรือสัจธรรมยืนอยู่ข้างคนส่วนใหญ่
.
.
บิดเบือนประชาธิปไตย
.
แต่ทุกวันนี้มีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการบิดเบือนสัจธรรมนี้ เช่น
.
1. มีการสร้างวาทกรรมกรอกหูกันว่า สังคมไทยเสื่อมทรามลงทุกวัน {2} ราวกับว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนเลวที่จะพากันลงเหว เพื่อไม่ให้เชื่อมั่นในเสียงส่วนใหญ่ ไม่ถือ ‘ประชาชนเป็นศูนย์กลาง’ ขณะเดียวกันก็อุปโลกน์ ‘คนดี’ ที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง หรือผ่านเฉพาะการสรรหาแบบปาหี่มาเป็นผู้ปกครอง นี่เป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตยโดยตรง
.
2. มีความพยายามในการลดทอนความน่าเชื่อถือ (discredit) ระบอบประชาธิปไตยด้วยการโพนทะนาว่า คนส่วนใหญ่อาจบีฑาหรือเข่นฆ่าคนส่วนน้อย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นในสังคมโจร แต่โจรก็ยังเป็นคนส่วนน้อยในสังคมอยู่ดี ในสังคมประชาธิปไตย คนส่วนน้อยต้องยอมรับและปฏิบัติตามมติของคนส่วนใหญ่แม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม {3} การสร้างความหวาดระแวงแก่คนส่วนน้อยก็เพื่อบ่อนทำลายประชาธิปไตยนั่นเอง
.
3. การอ้างผู้รู้ส่วนน้อย เช่น คนส่วนใหญ่คงไม่รู้วิธีสร้างจรวดไปดวงจันทร์ ข้อนี้จริงในเชิงเทคนิควิทยากร แต่ในเชิงเศรษฐกิจและสังคม เสียงส่วนใหญ่ย่อมถูกต้อง อย่างกรณีราคาซื้อขายสินค้า จะมีระนาบราคาตลาด (Zone of Market Prices) ที่คนส่วนใหญ่ซื้อขายกัน ซึ่งถือเป็นดัชนี ‘หั่งเช้ง’ (‘หั่งเส็ง’) แต่บางครั้งอาจมีการซื้อขายที่ ตามราคา ‘บอกผ่าน’ หรือ ‘ผิดราคา’ (Outliers) อยู่บ้าง เพราะผู้ซื้อจำเป็นต้องซื้อหรือซื้อเพราะความไม่รู้ เป็นต้น
.
4. การอ้างความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยที่บิดเบี้ยว อันเกิดจากผลงานของคนที่บ่อนทำลายประชาธิปไตยเอง เพื่อกีดขวางการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน เช่น การอ้างอิงถึงนักการเมืองน้ำเน่า หรือการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของข้าราชการประจำ ดังนั้นเครื่องมือใหม่ ๆ ของระบอบประชาธิปไตย เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การเวนคืนที่เป็นธรรม จึงถูกป้ายสีให้เป็นภาพลบและถูกกีดขวางมาโดยตลอด {4}
.
5. การอ้างข้อยกเว้นต่าง ๆ เช่น อ้างเผด็จการฮิตเลอร์ก็มาจากการเลือกตั้งยังเป็นเผด็จการไปได้ แต่ในความเป็นจริง ฮิตเลอร์ไม่เคยชนะเสียงข้างมาก มาร่วมเป็นรัฐบาลผสม และยึดอำนาจการปกครองในที่สุด ที่สำคัญฮิตเลอร์เคยก่อการรัฐประหาร แต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นเสียงส่วนใหญ่จึงไมได้หลงผิดเลือกฮิตเลอร์แต่แรก หรือบางท่านอ้างกษัตริย์ในสมัยโบราณที่เป็นผู้นำสูงสุดโดยไม่ต้องมีประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระในยุคสังคมทาสโบราณ หรือสังคมศักดินาในอดีต ยิ่งกว่านั้นบางท่านยังอ้างว่าประเทศสังคมนิยมเป็นเผด็จการ เพราะเขาเรียกตัวเองว่า “เผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ” แต่ตามแนวคิดสังคมนิยมนั้นเขาถือเป็นประชาธิปไตยเพราะกรรมาชีพคือคนส่วนใหญ่นั่นเอง
.
อาจกล่าวได้ว่าการบิดเบือนประชาธิปไตยก็เพื่อไม่ให้ความสำคัญกับคนส่วนใหญ่ แต่มุ่งสถาปนาระบอบผู้นำเดี่ยวหรือคณาธิปไตย เป็นต้น
.
.
กาฝากประชาธิปไตย
.
ประเทศไทยยังมีกาฝากประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยแบบจอมปลอม ที่บ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย มีอยู่ 2 ประการสำคัญในขณะนี้ ก็คือ
.
1. การฟังเสียงประชาชนในระบบ ‘ประชาพิจารณ์’ {5} ที่ดำเนินการกันมานั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพียง ‘ปาหี่’ เท่านั้น ในแง่หนึ่ง ก็เป็นการทำตามแบบพิธีการ และในอีกด้านหนึ่งการถามความเห็นของประชาชนเฉพาะที่ได้รับผลกระทบนั้นเป็นสิ่งที่ดี จะได้หาทางเยียวยา แต่จะถือเอาเป็นที่ตั้งถ่ายเดียวไม่ได้ เพราะอย่างไรเสีย คนที่เสียผลประโยชน์ย่อมไม่เห็นดีเห็นงามกับโครงการของรัฐอยู่แล้ว จะสังเกตได้ว่า การทำประชาพิจารณ์ในประเทศไทยนั้น เน้นการถามความเห็นของผู้เสียผลประโยชน์มากกว่าสังคมโดยรวม ดังนั้นจึงมักได้คำตอบเพียงด้านเดียว และในบางกรณีผู้เสียประโยชน์ก็ไม่เคารพมติเสียงส่วนใหญ่ ใช้กฎหมู่เสียอีก
.
2. ระบบสรรหา ซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นการสร้างระบอบคณาธิปไตย ระบบสรรหาทำให้เกิดการระดม ‘นอมินี’ ที่อุปโลกน์กันขึ้นมาเลือกสรรกันเอง พวกนี้กลายเป็น ‘อภิชน’ นักสรรหามืออาชีพ หรือผู้นำ ‘กำมะลอ’ ที่ชอบสิงสถิตใน ‘องค์กรอิสระ’ ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ผู้นำชุมชนที่มีอาชีพเป็น ‘ผู้นำชุมชน’ และเกาะอยู่ตาม ‘องค์กรอิสระ’ ต่าง ๆ บ้างก็อ้างความจนหรืออ้างเป็นตัวแทนคนจน แต่คนเหล่านี้มักไม่ใช่ตัวแทนที่แท้จริงของคนส่วนใหญ่ ในทุกวันนี้ ยังมีการฟ้องร้องกันในการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา หรือการสรรหาสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ {6} เป็นต้น
.
ระบบประชาพิจารณ์ (จอมปลอม) ก็ดี และระบบสรรหาในองค์กรต่าง ๆ ก็ดี โดยเฉพาะสภาองค์กรชุมชน {7} นั้น ดูเหมือนเป็นการส่งเสริมอนาธิปไตยมากกว่าการส่งเสริมประชาธิปไตย
.
.
แนวทางการส่งเสริมประชาธิปไตย
.
แล้วเราจะส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยที่แท้ ได้อย่างไร
.
1. การสร้างบรรยากาศการถกเถียง เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย เราต้องฟังเสียงของประชาชนเพื่อตรวจสอบว่ารัฐกิจใด ๆ ต้องตามความต้องการของคนส่วนใหญ่ อิสระในการถกเถียง และในขณะเดียวกันเสียงส่วนน้อยก็จะได้มีโอกาสแสดงออกด้วย ประเทศไทยจึงควรมีรายการขนาดยาวสัก 2-3 ชั่วโมงที่แต่ละวันจะถกเถียงในประเด็นแหลมคมต่าง ๆ ให้เวลาฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้านเท่า ๆ กัน สลับกันถกเถียง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเอง ไม่ใช่ปล่อยให้มีการโฆษณาชวนเชื่อเพียงฝ่ายเดียว การนี้ยังจะสร้าง ‘สังคมอุดมปัญญา’ ขึ้นได้อย่างแท้จริงอีกด้วย
.
2. การจัดการเลือกตั้งโดยตรงในทุกระดับ คือสิ่งที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ผู้ที่คัดค้านระบอบประชาธิปไตย มักจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อกันไม่ให้มีการเลือกตั้งโดยตรง หรือไม่ให้เกิดระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง การเลือกตั้งควรทำทั้งในระดับชาติ ระดับองค์กรอิสระ ระดับท้องถิ่น ระดับองค์กรการค้า ระดับองค์กรวิชาชีพ เพื่อเปิดโอกาสให้เสียงส่วนใหญ่ได้รับการเคารพ และเสียงส่วนน้อยได้รับการฟัง ให้โอกาสประชาชนได้เรียนรู้ ได้ตัดสินใจ อันเป็นการรดน้ำพรวนดินระบอบประชาธิปไตยให้ฝังรากลึก
.
3. นอกจากการเลือกตั้งแล้ว เรายังต้องให้ประชาชน ‘จ่าย’ เพื่อทำนุบำรุงระบอบประชาธิปไตย โดยเน้นการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เฉพาะท้องถิ่นเป็นหลัก ทุกวันนี้ท้องถิ่นต่าง ๆ ไม่เจริญเพราะขาดงบประมาณในการพัฒนา แต่ละท้องถิ่นก็รอแต่งบประมาณจากส่วนกลาง แต่ถ้าทุกคนที่มีทรัพย์สินในท้องถิ่น จ่ายภาษี เงินจำนวนนี้ก็จะมาใช้ได้อย่างตรงความต้องการและทันการ ประชาชนจะมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ ใครจะมาโกงเช่นแต่เดิมก็คงไม่ได้อีก คนดี ๆ ก็จะเข้ามาช่วยงานท้องถิ่นมากขึ้น ประชาธิปไตยก็จะได้รับการพัฒนาในขั้นรากฐานเลยทีเดียว
.
4. การสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันปัญหาการเกิด ‘ทรราช’ ในวงการเมือง ยุคสมัยใหม่นี้ การปกครองถือตามเสียงคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ให้ใครมาเป็นใหญ่คนเดียวหรือคณะเดียว ดังนั้นระบบตรวจสอบที่มีคุณภาพ และมีบทลงโทษที่ชัดเจน ย่อมจะเป็นประโยชน์ เพื่อให้ทั้งประชาชน ข้าราชการประจำและนักการเมืองเคารพในนิติรัฐ
.
นี่คือสาระของระบอบประชาธิปไตยที่วิญญูชนรู้กันอยู่แล้วในทางสากล เราเข้าใจระบอบประชาธิปไตยตรงกันไหม? เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตยเดียวกันไหม?
.
อ้างอิง:
{2} อย่างกรณีสถิติการฆ่าตัวตาย ในปี 2551 มี 3,792 คนจากประชากรไทย 63.6 ล้านคน โดยมีสัดส่วนแทบไม่ต่างจากปี 2550 เลย (โปรดดูรายละเอียดที่
http://www.dmh.go.th/plan/suicide/suicide51.pdf) และหากเทียบกับปี 2546 เป็นต้นมา อัตราการฆ่าตัวตายในประเทศไทย ลดลงตามลำดับ โปรดดูรายละเอียดที่
http://www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=7653
{3} อันนี้หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมือง ในกรณีศาสนา คนส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์ไปทำอะไรคนส่วนน้อยอยู่แล้ว เพราะในสังคมประชาธิปไตยย่อมคุ้มครองคนส่วนน้อย ในบางกรณีอาจมีคนจำนวนหนึ่งในคนส่วนใหญ่ที่รังแกคนส่วนน้อย เช่น สีผิว แต่ย่อมไม่ใช่มติของคนส่วนใหญ่ที่ให้ทำเช่นนี้
{4} โปรดอ่าน “ภาษีทรัพย์สิน มีแต่ดี ดีต่อทุกฝ่ายที่
http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market257.htm และ บทความ “เวนคืนเพื่อลูกหลานไทย” ที่
http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market191.htm
{5} คำว่าประชาพิจารณ์หมายถึง การ “รับฟังความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องที่มีผลกระทบชีวิตของประชาชนทุกคน การทำประชาพิจารณ์ควรจัดให้ได้รับความคิดเห็นจากประชาชนทุกหมู่เหล่า และทำในวงกว้างเพื่อให้ไดัข้อสรุปที่สะท้อนความคิดเห็นจากประชาชนอย่างแท้จริง ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งที่มีผลต่อประชาชนจำนวนมาก” ดูรายละเอียดที่
http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=147
{6} โปรดอ่านข่าว “กระทุ้งปธ.กกต.เร่งสอบสรรหา ส.ว.ผิด กม.-จี้ดองหลายเดือน ขู่ร้องป.ป.ช.-ดีเอสไอ” ในมติชนออนไลน์ 12 สิงหาคม 2551 21:50:58 และข่าว “ศาลปกครองสั่งระงับส่งชื่อตั้งสมาชิกสภาที่ปรึกษาศก.” ในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 19 มิถุนายน 2552 18:26
{7} โปรดอ่านบทความ สภาองค์กรชุมชน: ควรมีไหม? อปท.นิวส์ ฉบับที่ 30 วันที่ 1 ตุลาคม - 15 ตุลาคม 2550 หน้า 10 ซึ่งแสดงไว้ที่
http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market153.htm
เราเข้าใจระบอบประชาธิปไตยตรงกันไหม? - ดร.โสภณ พรโชคชัย
เราเข้าใจระบอบประชาธิปไตยตรงกันไหม?
(ผมเขียนบทความนั้นตั้งแต่สิงหาคม 2552 www.thaiappraisal.org/thai/market/market_view.php?strquery=market258.htm รับรองว่าพวก สนช สปช เปลืองข้าวสุก คิดไม่ได้หรอกครับ กลัวแต่จะคิดบิดเบือนประชาธิปไตยซะมากกว่า)
.
ดร.โสภณ พรโชคชัย
.
ใคร ๆ ก็ชอบระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่รู้ว่าเราเข้าใจตรงกันไหม? นิยามของประชาธิปไตยที่ทุกคนเคยได้ยินเหมือนกัน แต่อาจตีความต่างกันก็คือ ‘ระบอบการปกครองซึ่งอำนาจมาจากเสียงข้างมาก’ นี่แสดงว่าเสียงส่วนใหญ่คือความถูกต้อง คือสัจธรรม หรือสัจธรรมยืนอยู่ข้างคนส่วนใหญ่
.
.
บิดเบือนประชาธิปไตย
.
แต่ทุกวันนี้มีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการบิดเบือนสัจธรรมนี้ เช่น
.
1. มีการสร้างวาทกรรมกรอกหูกันว่า สังคมไทยเสื่อมทรามลงทุกวัน {2} ราวกับว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนเลวที่จะพากันลงเหว เพื่อไม่ให้เชื่อมั่นในเสียงส่วนใหญ่ ไม่ถือ ‘ประชาชนเป็นศูนย์กลาง’ ขณะเดียวกันก็อุปโลกน์ ‘คนดี’ ที่ไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง หรือผ่านเฉพาะการสรรหาแบบปาหี่มาเป็นผู้ปกครอง นี่เป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตยโดยตรง
.
2. มีความพยายามในการลดทอนความน่าเชื่อถือ (discredit) ระบอบประชาธิปไตยด้วยการโพนทะนาว่า คนส่วนใหญ่อาจบีฑาหรือเข่นฆ่าคนส่วนน้อย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นในสังคมโจร แต่โจรก็ยังเป็นคนส่วนน้อยในสังคมอยู่ดี ในสังคมประชาธิปไตย คนส่วนน้อยต้องยอมรับและปฏิบัติตามมติของคนส่วนใหญ่แม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม {3} การสร้างความหวาดระแวงแก่คนส่วนน้อยก็เพื่อบ่อนทำลายประชาธิปไตยนั่นเอง
.
3. การอ้างผู้รู้ส่วนน้อย เช่น คนส่วนใหญ่คงไม่รู้วิธีสร้างจรวดไปดวงจันทร์ ข้อนี้จริงในเชิงเทคนิควิทยากร แต่ในเชิงเศรษฐกิจและสังคม เสียงส่วนใหญ่ย่อมถูกต้อง อย่างกรณีราคาซื้อขายสินค้า จะมีระนาบราคาตลาด (Zone of Market Prices) ที่คนส่วนใหญ่ซื้อขายกัน ซึ่งถือเป็นดัชนี ‘หั่งเช้ง’ (‘หั่งเส็ง’) แต่บางครั้งอาจมีการซื้อขายที่ ตามราคา ‘บอกผ่าน’ หรือ ‘ผิดราคา’ (Outliers) อยู่บ้าง เพราะผู้ซื้อจำเป็นต้องซื้อหรือซื้อเพราะความไม่รู้ เป็นต้น
.
4. การอ้างความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยที่บิดเบี้ยว อันเกิดจากผลงานของคนที่บ่อนทำลายประชาธิปไตยเอง เพื่อกีดขวางการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน เช่น การอ้างอิงถึงนักการเมืองน้ำเน่า หรือการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของข้าราชการประจำ ดังนั้นเครื่องมือใหม่ ๆ ของระบอบประชาธิปไตย เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การเวนคืนที่เป็นธรรม จึงถูกป้ายสีให้เป็นภาพลบและถูกกีดขวางมาโดยตลอด {4}
.
5. การอ้างข้อยกเว้นต่าง ๆ เช่น อ้างเผด็จการฮิตเลอร์ก็มาจากการเลือกตั้งยังเป็นเผด็จการไปได้ แต่ในความเป็นจริง ฮิตเลอร์ไม่เคยชนะเสียงข้างมาก มาร่วมเป็นรัฐบาลผสม และยึดอำนาจการปกครองในที่สุด ที่สำคัญฮิตเลอร์เคยก่อการรัฐประหาร แต่ไม่สำเร็จ ดังนั้นเสียงส่วนใหญ่จึงไมได้หลงผิดเลือกฮิตเลอร์แต่แรก หรือบางท่านอ้างกษัตริย์ในสมัยโบราณที่เป็นผู้นำสูงสุดโดยไม่ต้องมีประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระในยุคสังคมทาสโบราณ หรือสังคมศักดินาในอดีต ยิ่งกว่านั้นบางท่านยังอ้างว่าประเทศสังคมนิยมเป็นเผด็จการ เพราะเขาเรียกตัวเองว่า “เผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ” แต่ตามแนวคิดสังคมนิยมนั้นเขาถือเป็นประชาธิปไตยเพราะกรรมาชีพคือคนส่วนใหญ่นั่นเอง
.
อาจกล่าวได้ว่าการบิดเบือนประชาธิปไตยก็เพื่อไม่ให้ความสำคัญกับคนส่วนใหญ่ แต่มุ่งสถาปนาระบอบผู้นำเดี่ยวหรือคณาธิปไตย เป็นต้น
.
.
กาฝากประชาธิปไตย
.
ประเทศไทยยังมีกาฝากประชาธิปไตย หรือประชาธิปไตยแบบจอมปลอม ที่บ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย มีอยู่ 2 ประการสำคัญในขณะนี้ ก็คือ
.
1. การฟังเสียงประชาชนในระบบ ‘ประชาพิจารณ์’ {5} ที่ดำเนินการกันมานั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพียง ‘ปาหี่’ เท่านั้น ในแง่หนึ่ง ก็เป็นการทำตามแบบพิธีการ และในอีกด้านหนึ่งการถามความเห็นของประชาชนเฉพาะที่ได้รับผลกระทบนั้นเป็นสิ่งที่ดี จะได้หาทางเยียวยา แต่จะถือเอาเป็นที่ตั้งถ่ายเดียวไม่ได้ เพราะอย่างไรเสีย คนที่เสียผลประโยชน์ย่อมไม่เห็นดีเห็นงามกับโครงการของรัฐอยู่แล้ว จะสังเกตได้ว่า การทำประชาพิจารณ์ในประเทศไทยนั้น เน้นการถามความเห็นของผู้เสียผลประโยชน์มากกว่าสังคมโดยรวม ดังนั้นจึงมักได้คำตอบเพียงด้านเดียว และในบางกรณีผู้เสียประโยชน์ก็ไม่เคารพมติเสียงส่วนใหญ่ ใช้กฎหมู่เสียอีก
.
2. ระบบสรรหา ซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นการสร้างระบอบคณาธิปไตย ระบบสรรหาทำให้เกิดการระดม ‘นอมินี’ ที่อุปโลกน์กันขึ้นมาเลือกสรรกันเอง พวกนี้กลายเป็น ‘อภิชน’ นักสรรหามืออาชีพ หรือผู้นำ ‘กำมะลอ’ ที่ชอบสิงสถิตใน ‘องค์กรอิสระ’ ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ผู้นำชุมชนที่มีอาชีพเป็น ‘ผู้นำชุมชน’ และเกาะอยู่ตาม ‘องค์กรอิสระ’ ต่าง ๆ บ้างก็อ้างความจนหรืออ้างเป็นตัวแทนคนจน แต่คนเหล่านี้มักไม่ใช่ตัวแทนที่แท้จริงของคนส่วนใหญ่ ในทุกวันนี้ ยังมีการฟ้องร้องกันในการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา หรือการสรรหาสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ {6} เป็นต้น
.
ระบบประชาพิจารณ์ (จอมปลอม) ก็ดี และระบบสรรหาในองค์กรต่าง ๆ ก็ดี โดยเฉพาะสภาองค์กรชุมชน {7} นั้น ดูเหมือนเป็นการส่งเสริมอนาธิปไตยมากกว่าการส่งเสริมประชาธิปไตย
.
.
แนวทางการส่งเสริมประชาธิปไตย
.
แล้วเราจะส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยที่แท้ ได้อย่างไร
.
1. การสร้างบรรยากาศการถกเถียง เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย เราต้องฟังเสียงของประชาชนเพื่อตรวจสอบว่ารัฐกิจใด ๆ ต้องตามความต้องการของคนส่วนใหญ่ อิสระในการถกเถียง และในขณะเดียวกันเสียงส่วนน้อยก็จะได้มีโอกาสแสดงออกด้วย ประเทศไทยจึงควรมีรายการขนาดยาวสัก 2-3 ชั่วโมงที่แต่ละวันจะถกเถียงในประเด็นแหลมคมต่าง ๆ ให้เวลาฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้านเท่า ๆ กัน สลับกันถกเถียง เพื่อให้ประชาชนได้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจเอง ไม่ใช่ปล่อยให้มีการโฆษณาชวนเชื่อเพียงฝ่ายเดียว การนี้ยังจะสร้าง ‘สังคมอุดมปัญญา’ ขึ้นได้อย่างแท้จริงอีกด้วย
.
2. การจัดการเลือกตั้งโดยตรงในทุกระดับ คือสิ่งที่จะสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ผู้ที่คัดค้านระบอบประชาธิปไตย มักจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อกันไม่ให้มีการเลือกตั้งโดยตรง หรือไม่ให้เกิดระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง การเลือกตั้งควรทำทั้งในระดับชาติ ระดับองค์กรอิสระ ระดับท้องถิ่น ระดับองค์กรการค้า ระดับองค์กรวิชาชีพ เพื่อเปิดโอกาสให้เสียงส่วนใหญ่ได้รับการเคารพ และเสียงส่วนน้อยได้รับการฟัง ให้โอกาสประชาชนได้เรียนรู้ ได้ตัดสินใจ อันเป็นการรดน้ำพรวนดินระบอบประชาธิปไตยให้ฝังรากลึก
.
3. นอกจากการเลือกตั้งแล้ว เรายังต้องให้ประชาชน ‘จ่าย’ เพื่อทำนุบำรุงระบอบประชาธิปไตย โดยเน้นการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เฉพาะท้องถิ่นเป็นหลัก ทุกวันนี้ท้องถิ่นต่าง ๆ ไม่เจริญเพราะขาดงบประมาณในการพัฒนา แต่ละท้องถิ่นก็รอแต่งบประมาณจากส่วนกลาง แต่ถ้าทุกคนที่มีทรัพย์สินในท้องถิ่น จ่ายภาษี เงินจำนวนนี้ก็จะมาใช้ได้อย่างตรงความต้องการและทันการ ประชาชนจะมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ ใครจะมาโกงเช่นแต่เดิมก็คงไม่ได้อีก คนดี ๆ ก็จะเข้ามาช่วยงานท้องถิ่นมากขึ้น ประชาธิปไตยก็จะได้รับการพัฒนาในขั้นรากฐานเลยทีเดียว
.
4. การสร้างระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันปัญหาการเกิด ‘ทรราช’ ในวงการเมือง ยุคสมัยใหม่นี้ การปกครองถือตามเสียงคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ให้ใครมาเป็นใหญ่คนเดียวหรือคณะเดียว ดังนั้นระบบตรวจสอบที่มีคุณภาพ และมีบทลงโทษที่ชัดเจน ย่อมจะเป็นประโยชน์ เพื่อให้ทั้งประชาชน ข้าราชการประจำและนักการเมืองเคารพในนิติรัฐ
.
นี่คือสาระของระบอบประชาธิปไตยที่วิญญูชนรู้กันอยู่แล้วในทางสากล เราเข้าใจระบอบประชาธิปไตยตรงกันไหม? เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตยเดียวกันไหม?
.
อ้างอิง:
{2} อย่างกรณีสถิติการฆ่าตัวตาย ในปี 2551 มี 3,792 คนจากประชากรไทย 63.6 ล้านคน โดยมีสัดส่วนแทบไม่ต่างจากปี 2550 เลย (โปรดดูรายละเอียดที่ http://www.dmh.go.th/plan/suicide/suicide51.pdf) และหากเทียบกับปี 2546 เป็นต้นมา อัตราการฆ่าตัวตายในประเทศไทย ลดลงตามลำดับ โปรดดูรายละเอียดที่ http://www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=7653
{3} อันนี้หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมือง ในกรณีศาสนา คนส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์ไปทำอะไรคนส่วนน้อยอยู่แล้ว เพราะในสังคมประชาธิปไตยย่อมคุ้มครองคนส่วนน้อย ในบางกรณีอาจมีคนจำนวนหนึ่งในคนส่วนใหญ่ที่รังแกคนส่วนน้อย เช่น สีผิว แต่ย่อมไม่ใช่มติของคนส่วนใหญ่ที่ให้ทำเช่นนี้
{4} โปรดอ่าน “ภาษีทรัพย์สิน มีแต่ดี ดีต่อทุกฝ่ายที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market257.htm และ บทความ “เวนคืนเพื่อลูกหลานไทย” ที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market191.htm
{5} คำว่าประชาพิจารณ์หมายถึง การ “รับฟังความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องที่มีผลกระทบชีวิตของประชาชนทุกคน การทำประชาพิจารณ์ควรจัดให้ได้รับความคิดเห็นจากประชาชนทุกหมู่เหล่า และทำในวงกว้างเพื่อให้ไดัข้อสรุปที่สะท้อนความคิดเห็นจากประชาชนอย่างแท้จริง ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งที่มีผลต่อประชาชนจำนวนมาก” ดูรายละเอียดที่ http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=147
{6} โปรดอ่านข่าว “กระทุ้งปธ.กกต.เร่งสอบสรรหา ส.ว.ผิด กม.-จี้ดองหลายเดือน ขู่ร้องป.ป.ช.-ดีเอสไอ” ในมติชนออนไลน์ 12 สิงหาคม 2551 21:50:58 และข่าว “ศาลปกครองสั่งระงับส่งชื่อตั้งสมาชิกสภาที่ปรึกษาศก.” ในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ 19 มิถุนายน 2552 18:26
{7} โปรดอ่านบทความ สภาองค์กรชุมชน: ควรมีไหม? อปท.นิวส์ ฉบับที่ 30 วันที่ 1 ตุลาคม - 15 ตุลาคม 2550 หน้า 10 ซึ่งแสดงไว้ที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market153.htm