แคมเปญเล็กๆในโรงพยาบาลชุมชน กับความรู้เบื้องต้นในการดูแลตนเองเมื่อเจ็บป่วย

ก่อนอื่นต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยครับ ผมเองไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ใดๆทั้งสิ้น
หากแต่เป็นแฟนของผมครับที่เป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลชุมชมในต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง
ส่วนตัวผมเองน่ะเหรอ ก็เป็นแค่วิศวกรต๊อกต๋อยอยู่ที่ กทม. เองครับ
ซึ่งโดยปกติแล้ว ผมมักจะได้รับการอบรมสั่งสอน ผ่านประสบการณ์ต่างๆที่เธอพบเจอมาในแต่ละวัน
มันจึงทำให้ผมพอจะเข้าใจมุมมองของคนเป็นหมอที่อยู่ในโรงพยาบาลตามต่างจังหวัดอยู่บ้าง

และเรื่องราวที่มาที่ไปของแคมเปญเล็กๆที่ผมจะเล่า มันจึงเริ่มมาจากสิ่งที่แฟนผมเจอ ผ่านคำบอกเล่า(บ่น) และการพูดคุยกันทางโทรศัพท์
หากแต่ครั้งนี้มันมีสิ่งที่ต่างไปจากครั้งก่อนๆ ที่ทำได้แค่บ่น...เอ้ย เล่าให้ฟังเหมือนเคย
กลายเป็นสิ่งเล็กๆที่ทำให้แฟนผมได้ เปิดหูเปิดตา รับรู้ความเป็นจริงอีกเรื่อง ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะแย่กว่าสิ่งที่คาดหวังไว้พอสมควร

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา แฟนผมก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ใน รพ. ให้ผมฟังตามปกติ เธอเล่าให้ฟังว่า
ช่วงนี้มีเด็กนักเรียน ม.6 จากโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนในต่างจังหวัด มาฝึกงานดูงานอยู่ที่ รพ.
เธอเลยอยากจะรู้ว่า เด็กๆม.6กลุ่มนี้ มาฝึกงานอยู่ที่ รพ.ก็หลายวันแล้ว น่าจะได้เห็น หรือมีความรู้อะไรบ้าง
พอได้พูดคุยเสร็จ เธอก็ค้นพบว่า เด็กๆ ไม่ได้อะไรจากการมาหาประสบการณ์ใน รพ.เลย
เราจึงเกิดไอเดียบางอย่างขึ้นมา ซึ่งเรื่องต่อจากนี้ ผมจะก็อปมาจาก status ใน fb ของแฟนผมที่อัพเดทไว้เมื่อวานเลยแล้วกันนะครับ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอน project ของนายจา Jarxxxxx Xxxxxxxx ****
Post นี้ยาวหน่อยแต่อยากให้ลองอ่านดูนะคะ
สืบเนื่องจากเมื่อวาน บ่นให้นายจาฟังว่า
มีเด็กม.6 มาหาประสบการณ์ในรพ. ก่อนจะเลือกคณะ ent.

1.แต่แอบถามความรู้ง่ายๆ เช่น ไข้คืออุณหภูมิเท่าไหร่,ปฐมพยาบาลเบื้องต้นทำยังไง เด็กตอบไม่ได้ หงุดหงิด!!!! เลยมาเล่าให้นายจาฟัง
บอกเด็กไปว่าจะมีแบบทดสอบง่ายๆ ว่าได้อะไรจากการมาดูงานบ้างตอนวันสุดท้ายของการฝึกงาน

2.นายจาฟังเราบ่นเสจ นางก็เสนอมาว่า ให้แจกคำถามให้เด็กไปก่อนเลยดีมั้ย ? เด็กจะได้มี aim คร่าวๆว่าต้องดูอะไรในรพ. บ้าง

3.ว่าแล้ว ประภากรก็เลยจัดเลย!!!!! วันนี้แจกประดาษคำถามที่เขียนด้วยลายมืองามๆของข้าพเจ้าให้เด็กในตอนเช้า บอกว่าจะขอคำตอบตอนบ่ายๆ

4. เห็นนะว่าเด็กก็ดูกระตือรือร้น สนใจในคำถาม แต่ชั้นไม่ได้ไปดูว่านางเหล่านั้นหาคำตอบยังไง

5.คำถามของเราเป็นเรื่องง่ายๆ ที่คนทั่วไปควรรู้ ไม่ใช่ความรู้ยากๆ แต่เป็นความรู้เบื้องต้นที่ชาวบ้านควรรู้ เรามักบ่นบ่อยๆว่าจะทำยังไงกับเรื่อง ไข้4 ชม มารพ. ท้องเสีย 3 ครั้งมารพ. มาขอพารารพ. บ้าง
หวังแค่นี้แหละ อยากสอนอะไรที่ง่ายๆนี่แหละ

6. ตอนบ่ายถึงเวลาทวงคำตอบ ไล่ถามทีละข้อ ตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคำตอบทำให้เราเว๋อแdก ชาวบ้านอ่อนแอกว่าที่เราคิดไว้มาก ขนาดเด็กมัธยมที่เรียนสุขศึกษายังตอบไม่ค่อยได้ พ่อแม่ที่ทำงานหาเงินทั้งวัน อาจจะแย่กว่าอีกก็เป็นได้

7.ข้อนึงเด็ดมาก ปฐมพยาบาลเรื่องเลือดกำเดา เด็กตอบเอาผ้าเช็ด แล้วเอาสำลีอุดจมูก !!!!! จะบ้าตาย ตกใจคำตอบ

8.เอาละ อย่างน้อยวันนี้ก็ได้สอนเรื่องง่ายๆ ที่หลายคนไม่รู้ อย่างน้อย ก็เด็กหกคนนี้ไม่รู้ แถมมีเจ้าหน้าที่ในรพ. หลายคนมาฟังด้วย เรียกว่าเปิดห้องประชุมย่อมๆ อัพเดทปัญหาสุขภาพก็ว่าได้

9. เราไม่ได้คาดหวังว่าพรุ่งนี้คนไข้เราจะดูเเลตัวเองได้ดี 100% แต่เราหวังให้คนน้อยคนเหล่านี้ ไม่เป็นปัญหาของเราในอนาคต
ถ้าโชคดีหน่อยก็คนในครอบครัวเล็กๆ ของเด็กกลุ่มนี้
ถ้าโชคดีไปอีกก็เพื่อนในห้องเรียน
ถ้าโชคดีกว่านั้นก็เพื่อนในรร. /คนข้างบ้าน /ญาติพี่น้องนานาจิตตัง
เขาเหล่านั้นจะเข้าใจการดูแลสุขภาพตัวเองเพิ่มมากขึ้น

10. บอกเด็กไปว่าจะมีการบ้านเรื่อยๆทุกวัน จนกว่าจะหมดช่วงฝึกงาน แต่ลืมไปพรุ่งนี้ไม่ได้เข้ารพ. 5555 เล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง พ่อชอบเเละเป็นปลื้มมาก บอกว่าเขียนคำถามมาสิ เด๋วพ่อ fax ไปให้ที่รพ. ประโยคจากพ่อคือ ค่าของคนเราจะมาก จะน้อยไม่ได้อยู่ที่ทำมากทำน้อย แต่ขอแค่ให้ได้ทำ ยิ่งทำเพื่อคนอื่นมันยิ่งมีค่ามาก

ปล.โปรเจกเล็กๆนี้ จิงๆ แล้วหวังผลลดคนไข้ให้อาชีพตัวเองนะแหละ เบื่อเขียนใบรับรองแพทย์ เบื่อจ่ายพาราแล้วโดนขอยาฆ่าเชื้อ 5555
ขอบคุณเจ้าของความคิดด้วยนะ เราสนุกมาก ได้ดุเด็กเล็กๆ ด้วย
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากแฟนผมได้โพสเรื่องนี้ลงใน fb ก็ได้มีความเห็นจากเพื่อนๆหมอของเธอมาสนับสนุนจำนวนมาก ซึ่งทำให้เธอมีกำลังใจที่จะสอนเด็กๆกลุ่มนี้ต่อ
และหวังว่า เด็กๆรุ่นต่อๆไป มาหาประสบการณ์ในโรงพยาบาลแล้ว นอกจากที่จะได้รู้ว่าตัวเองอยากเป็นหมอหรือไม่แล้วนั้น
ก็ขอให้ได้ความรู้พื้นฐานที่เราทุกๆคนควรจะรู้ติดตัวกลับออกไปด้วย

ส่วนตัวพวกเราเองก็ไม่ได้คาดหวังจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก แต่ทุกอย่างก็ขอให้เริ่มต้นที่เราลงมือทำ เป็นตัวอย่างให้คนอื่นก็พอ

สุดท้ายแล้ว ผมขอทิ้งคำถามที่แฟนผมถามเด็กๆเมื่อวานนี้ไว้นะครับ ให้เพื่อนๆได้ลองหาคำตอบกันดูเล่นๆ
ผมขอไม่เฉลยนะครับ เพราะคำตอบหาได้ตาม google ทั่วไป (เอาจริงๆตอนผมเห็นคำถาม ผมยังตอบไม่ได้เลย ให้ตายสิ)

ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรงครับ



edit* แก้เนื้อหาเล็กน้อยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่