#FilmzlapReview
Gone Girl : เล่นซ่อนหาย
คะแนน : 5 / 5
**NO ANY SPOILERS (ไม่สปอยล์ อ่านได้ ปลอดภัย)
จากเวอร์ชั่นนิยายที่เขาว่าสนุกนักสนุกหนาของกิลเลี่ยน ฟลินน์ ที่พอได้ลิ้มรสของมันจริงๆแล้วก็ ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดา ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องของฟลินน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ถ่ายทอดเรื่องราวของสามีภรรยาเบื่อโลกที่ชีวิตหลังสมรสไม่ได้เป็นไปตามที่วาดหวังไว้ กระทั่งฝ่ายภรรยาหนีหายตัวออกจากบ้านไปในวันครบรอบแต่งงานปีที่ 5 ฝ่ายสามีก็ตกเป็นเป้านิ่งโจมตีของทั้งเจ้าหน้าที่, สื่อและแวดล้อมพยาน ทำให้เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่ง....แม้จะเป็นเนื้อหาที่ออกจะแสนธรรมดาและพบเห็นได้ในงานแนวเดียวกันชิ้นอื่นๆทั่วไป แต่ที่ไม่ธรรมดาจริงๆคือ ชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของฟลินน์นั้นหาตัวจับได้ยากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกเล่น, ความซับซ้อน, เงื่อนงำปมปริศนาต่างๆที่ถูกใส่เข้ามาถูกที่ถูกทาง การปล่อยให้คนอ่านคิดไปต่างๆนานาๆว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรกันแน่ รวมไปถึง Plot Twist ที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับนักอ่านได้เป็นอย่างดี ถือเป็นจุดขายหลักที่ถ้าใครได้อ่านละก็ รับรองว่าจะวางกันไม่ลง
แน่นอนว่าการที่นิยายชิ้นเยี่ยมแบบนี้กลายมาเป็นหนังจอใหญ่ ผู้ที่จะทำให้มันออกมาเป็นไปตามที่ควรจะเป็นและมีชั้นเชิงไม่แพ้ในหนังสือก็ต้องเป็นยอดฝีมือที่เจนงานหนังแนวนี้มาแล้วเป็นอย่างดีนั่นเอง โชคดีมากๆที่โปรเจ็กต์นี้ตกมาอยู่ในมือของ "เดวิด ฟินเชอร์" สุดยอดผู้กำกับแห่งศตวรรษที่คร่ำหวอดในการเล่าเรื่องราวสืบสวนชวนระทึกและทำให้ผู้ชมผงะเงิบมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการหลอกล่อคนดูใน Seven หรือจะหนังที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงอย่าง Zodiac ก็ถือเป็นผลงานที่ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับหาตัวจับยากด้วยเช่นกัน
เรื่องความโดดเด่นในเนื้องาน แน่นอนเราจะได้เห็น "ฟินเชอร์สไตล์" แบบจัดหนัก ด้วยลีลาการเล่าเรื่อง, การให้ความสำคัญกับการตัดต่อ, การวางบทให้คนดูค่อยๆระแคะระคาย เกิดความไม่น่าไว้ใจในองค์ประกอบแวดล้อมหรือตัวละครต่างๆ, การผูกเงื่อนเพื่อให้เกิดความซับซ้อน, การเล่นสีโทนภาพเพื่อให้เกิดความอึมครึม กดดันและหวาดระแวง, ความนิ่งเงียบและเรียบง่ายในการเล่าเรื่องแต่อิมแพ็คสุดแรงเกิด, การขายฝีมือการแสดงที่ช่วยชักพาให้หนังดูมีน้ำหนัก ทรงพลังในแบบที่ควรจะเป็น และที่สำคัญก็คือการคล่อยๆคลายปมทั้งหมดออก เพื่อให้พบกับเซอร์ไพรส์ที่ชวนพีคของบทสรุป - Gone Girl มีสิ่งเหล่านั้นครบถ้วน...
จากนิยายที่ดูหนาเอาการ และเป็นเจ้าขององก์แรกที่ดูน่าเบื่อ พอมาอยู่ในมือฟินเชอร์ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำให้ความน่าเบื่อเหล่านั้นหายไปโดยสิ้นเชิง แถมกลับใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบรวบรัด กระชับ และหยิบเอาประเด็นสำคัญที่อยู่ในนิยาย นำมาถ่ายทอดเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างตรงจุด ด้วยความที่ตัวนิยายมีน้ำเยอะไปหน่อย การนำเอามาทำเป็นหนังในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งของฟินเชอร์ก็เลยดูลงตัวเพราะผู้กำกับเลือกแต่สิ่งเป็นเนื้อเน้นๆมาเล่าให้เกิดความบันเทิงแบบย่อยง่าย
ในเวอร์ชั่นนิยายเป็นการเล่าสลับมุมมองของนิค ดันน์ (เบน เอฟเฟลค) และ เอมี่ ดันน์ (โรซามุนด์ ไพค์) สลับกันไปคนละบท ค่อยๆเปิดเผยเรื่องราวต่างๆของกันและกัน จนกระทั่งไปสู่ไคลแม็กซ์ที่เกิดขึ้น ฟินเชอร์ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการเล่าออกมาร้อยเป็นเรื่องราว มีการเปลี่ยนองค์ประกอบต่างๆให้ดูเหมาะสมต่อการเล่า เพื่อให้เรื่องราวทั้งสองเส้น รวมกันเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นชั้นเชิงที่ชาญฉลาดและทำให้คนดูสนุกกับการคิดค้นหาความจริงไปตลอดทั้งเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะไม่ได้มีการปูความตัวละครต่างๆในหนังมากเท่าที่นิยายทำไว้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับหนัง เพราะฟินเชอร์แงะความเด่นของตัวละครนั้นออกมาให้เราได้เห็นกันตั้งแต่พบหน้าค่าตากันครั้งแรกแล้ว
ความนิ่งเรียบในการเล่าเรื่อง ความเรียบง่ายในการนำพาคนดูไปสู่เหตุการณ์ต่อเหตุการณ์ คือจุดเด่นที่ทำให้หนังสืบสวนชวนสงสัยเรื่องนี้ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ฟินเชอร์ทำให้ตัวหนังสือที่อัดแน่นกันในนิยาย กลายมาเป็นเรื่องราวที่ทำให้คนดูเพลิดเพลินอย่างต่อเนื่อง จัดการคนดูด้วยหมัดฮุกที่ไม่ต้องออกแรงเยอะ แต่น็อคเอาท์ได้ในเวลาหลังจากนั้นอีกไม่นาน ยิ่งถูกหนังพาไปสู่องก์ต่างๆมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งจะรู้สึกพีคโดยไม่รู้ตัวมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าหนังจะไม่ได้กระโชกโฮกฮากอะไรแม้แต่น้อยเลยก็ตาม
ทางด้านการแสดง ฟินเชอร์เลือกใช้บริการโรซามุนด์ ไพค์ สาวสวยจาก The World's End และ Jack Reacher มารับบทเป็นเอมี่ เจ้าของเหตุการณ์สำคัญภายในเรื่อง ถือเป็นการแคสติ้งที่ฟินเชอร์ได้ทำให้หญิงสาวที่แฟนหนังบ้านเราอาจจะยังไม่คุ้นเคย (เช่นเดียวกับรูนี่ย์ มาร่าตอนเล่น The Girl With The Dragon Tattoo) มารับบทที่จะทำให้กลายเป็นขวัญใจของแฟนหนังได้ไม่ยาก บวกด้วยการถ่ายทอดอารมณ์ที่เป็นเลิศของนางแล้ว ฟันเฟิร์มว่าไพค์จะได้เข้าไปข้องแวะกับเวทีรางวัลทั้งหลายในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้าอย่างแน่นอน (ขอจุดธูปอวยพรให้นางไปไกลถึงเวทีออสการ์)
ส่วนเบน เอฟเฟลคนั้น ตอนอ่านนิยาย และนึกภาพเบน เอฟเฟลคตามไปด้วย รู้สึกว่าเขายังไม่เหมาะกับบทนี้สักเท่าไหร่ (เว้นเสียแต่ว่าในนิยายจะมีการพูดถึง "คางตูด" ของเขา ทำให้ปิ๊งภาพเบนขึ้นมาได้อย่างเหมาะเจาะ) แต่อ่านไปอ่านมา และจินตนาการว่านิค ดันน์คือเบน ก็เริ่มรู้สึกถึงสไตล์ของเขาที่ดูจะเป็น นิค ดันน์ในอุดมคติของใครหลายคนได้ พอมาอยู่บนจอจริงๆ ต้องบอกเลยว่า "เหมือนเบนไม่ได้แสดง---เพราะนี่คือตัวเขาเอง" เป็นบทบาทที่เหมาะเหม็งกับสไตล์การแสดงของเขาเป็นอย่างยิ่ง และด้วยความเป็นธรรมชาติของเบน ที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในหนังจอใหญ่ของเขา ก็ยิ่งทำให้ตัวละครนี้เป็นตัวละครที่น่าสนใจไม่แพ้เอมี่ของไพค์เลยทีเดียว
จะบอกว่าให้อ่านหนังสือก่อนมาดูหนัง ก็เพื่อที่จะได้รู้แบ็คกราวด์ตัวละครก่อน ถ้าอยากจะอินมากขึ้นไปในจุดนี้ (เพราะอย่างที่บอกว่าหนังไม่ได้เฉลี่ยน้ำหนักตัวละครให้มีพื้นที่ในแบบที่คนดูอยากรู้สักเท่าไหร่) แต่ถ้าไม่อ่านมาก่อน การดูหนังเรื่องนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับคุณมากๆ เพราะคุณจะไม่รู้อะไรมาก่อน และหนังจะน็อคคุณทุกหมัดตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป ด้วยเซอร์ไพรส์ต่างๆมากมายที่ใส่เข้ามา และทำให้แทบจะสมองแทบจะแตกไปเป็นเสี่ยงๆเลยทีเดียว จะอ่านหรือไม่อ่าน หนังเรื่องนี้ก็จะทำให้คอหนังสืบสวนชวนสงสัย สนุกได้ไม่ยากครับ
Gone Girl คือผลงานทริลเลอร์ชวนระทึก เคล้าบรรยากาศดราม่า อมความสงสัยของตัวละคร ที่ขย้อนออกมาเป็นเบาะแสความระทึกชิ้นใหญ่ที่ทำให้คุณติดตามมันไปอย่างออกรส เป็นผลงานขายสมองของฟินเชอร์ที่สร้างสรรค์ออกมาอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าใช้ใจทำจริงๆ กัดจิกสังคมสื่อโทรทัศน์และเน้นความดำมืดในจิตใจมนุษย์ ตีแผ่สังคมครอบครัวออกมาได้อย่างถึงพริกถึงขิงด้วยความนิ่งที่ยิงเข้าเป้า เป็นช่วงเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ไม่มีช่วงไหนทำให้เราง่วงเหงาหาวนอนแม้แต่น้อยครับ แฟนฟินเชอร์ตัวยงไม่ควรพลาด !!!







พูดคุยและติดตามข่าวสารกันต่อได้ที่
http://facebook.com/filmzlapsocial
### จากใจคนอ่านนิยาย [Review : Gone Girl เล่นซ่อนหาย] เวอร์ชั่นไม่สปอยล์ อ่านได้ปลอดภัยหายห่วง
#FilmzlapReview
Gone Girl : เล่นซ่อนหาย
คะแนน : 5 / 5
**NO ANY SPOILERS (ไม่สปอยล์ อ่านได้ ปลอดภัย)
จากเวอร์ชั่นนิยายที่เขาว่าสนุกนักสนุกหนาของกิลเลี่ยน ฟลินน์ ที่พอได้ลิ้มรสของมันจริงๆแล้วก็ ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดา ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องของฟลินน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ถ่ายทอดเรื่องราวของสามีภรรยาเบื่อโลกที่ชีวิตหลังสมรสไม่ได้เป็นไปตามที่วาดหวังไว้ กระทั่งฝ่ายภรรยาหนีหายตัวออกจากบ้านไปในวันครบรอบแต่งงานปีที่ 5 ฝ่ายสามีก็ตกเป็นเป้านิ่งโจมตีของทั้งเจ้าหน้าที่, สื่อและแวดล้อมพยาน ทำให้เขากลายเป็นผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่ง....แม้จะเป็นเนื้อหาที่ออกจะแสนธรรมดาและพบเห็นได้ในงานแนวเดียวกันชิ้นอื่นๆทั่วไป แต่ที่ไม่ธรรมดาจริงๆคือ ชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของฟลินน์นั้นหาตัวจับได้ยากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกเล่น, ความซับซ้อน, เงื่อนงำปมปริศนาต่างๆที่ถูกใส่เข้ามาถูกที่ถูกทาง การปล่อยให้คนอ่านคิดไปต่างๆนานาๆว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรกันแน่ รวมไปถึง Plot Twist ที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับนักอ่านได้เป็นอย่างดี ถือเป็นจุดขายหลักที่ถ้าใครได้อ่านละก็ รับรองว่าจะวางกันไม่ลง
แน่นอนว่าการที่นิยายชิ้นเยี่ยมแบบนี้กลายมาเป็นหนังจอใหญ่ ผู้ที่จะทำให้มันออกมาเป็นไปตามที่ควรจะเป็นและมีชั้นเชิงไม่แพ้ในหนังสือก็ต้องเป็นยอดฝีมือที่เจนงานหนังแนวนี้มาแล้วเป็นอย่างดีนั่นเอง โชคดีมากๆที่โปรเจ็กต์นี้ตกมาอยู่ในมือของ "เดวิด ฟินเชอร์" สุดยอดผู้กำกับแห่งศตวรรษที่คร่ำหวอดในการเล่าเรื่องราวสืบสวนชวนระทึกและทำให้ผู้ชมผงะเงิบมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการหลอกล่อคนดูใน Seven หรือจะหนังที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงอย่าง Zodiac ก็ถือเป็นผลงานที่ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับหาตัวจับยากด้วยเช่นกัน
เรื่องความโดดเด่นในเนื้องาน แน่นอนเราจะได้เห็น "ฟินเชอร์สไตล์" แบบจัดหนัก ด้วยลีลาการเล่าเรื่อง, การให้ความสำคัญกับการตัดต่อ, การวางบทให้คนดูค่อยๆระแคะระคาย เกิดความไม่น่าไว้ใจในองค์ประกอบแวดล้อมหรือตัวละครต่างๆ, การผูกเงื่อนเพื่อให้เกิดความซับซ้อน, การเล่นสีโทนภาพเพื่อให้เกิดความอึมครึม กดดันและหวาดระแวง, ความนิ่งเงียบและเรียบง่ายในการเล่าเรื่องแต่อิมแพ็คสุดแรงเกิด, การขายฝีมือการแสดงที่ช่วยชักพาให้หนังดูมีน้ำหนัก ทรงพลังในแบบที่ควรจะเป็น และที่สำคัญก็คือการคล่อยๆคลายปมทั้งหมดออก เพื่อให้พบกับเซอร์ไพรส์ที่ชวนพีคของบทสรุป - Gone Girl มีสิ่งเหล่านั้นครบถ้วน...
จากนิยายที่ดูหนาเอาการ และเป็นเจ้าขององก์แรกที่ดูน่าเบื่อ พอมาอยู่ในมือฟินเชอร์ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทำให้ความน่าเบื่อเหล่านั้นหายไปโดยสิ้นเชิง แถมกลับใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบรวบรัด กระชับ และหยิบเอาประเด็นสำคัญที่อยู่ในนิยาย นำมาถ่ายทอดเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างตรงจุด ด้วยความที่ตัวนิยายมีน้ำเยอะไปหน่อย การนำเอามาทำเป็นหนังในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่งของฟินเชอร์ก็เลยดูลงตัวเพราะผู้กำกับเลือกแต่สิ่งเป็นเนื้อเน้นๆมาเล่าให้เกิดความบันเทิงแบบย่อยง่าย
ในเวอร์ชั่นนิยายเป็นการเล่าสลับมุมมองของนิค ดันน์ (เบน เอฟเฟลค) และ เอมี่ ดันน์ (โรซามุนด์ ไพค์) สลับกันไปคนละบท ค่อยๆเปิดเผยเรื่องราวต่างๆของกันและกัน จนกระทั่งไปสู่ไคลแม็กซ์ที่เกิดขึ้น ฟินเชอร์ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการเล่าออกมาร้อยเป็นเรื่องราว มีการเปลี่ยนองค์ประกอบต่างๆให้ดูเหมาะสมต่อการเล่า เพื่อให้เรื่องราวทั้งสองเส้น รวมกันเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นชั้นเชิงที่ชาญฉลาดและทำให้คนดูสนุกกับการคิดค้นหาความจริงไปตลอดทั้งเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะไม่ได้มีการปูความตัวละครต่างๆในหนังมากเท่าที่นิยายทำไว้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับหนัง เพราะฟินเชอร์แงะความเด่นของตัวละครนั้นออกมาให้เราได้เห็นกันตั้งแต่พบหน้าค่าตากันครั้งแรกแล้ว
ความนิ่งเรียบในการเล่าเรื่อง ความเรียบง่ายในการนำพาคนดูไปสู่เหตุการณ์ต่อเหตุการณ์ คือจุดเด่นที่ทำให้หนังสืบสวนชวนสงสัยเรื่องนี้ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ฟินเชอร์ทำให้ตัวหนังสือที่อัดแน่นกันในนิยาย กลายมาเป็นเรื่องราวที่ทำให้คนดูเพลิดเพลินอย่างต่อเนื่อง จัดการคนดูด้วยหมัดฮุกที่ไม่ต้องออกแรงเยอะ แต่น็อคเอาท์ได้ในเวลาหลังจากนั้นอีกไม่นาน ยิ่งถูกหนังพาไปสู่องก์ต่างๆมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งจะรู้สึกพีคโดยไม่รู้ตัวมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าหนังจะไม่ได้กระโชกโฮกฮากอะไรแม้แต่น้อยเลยก็ตาม
ทางด้านการแสดง ฟินเชอร์เลือกใช้บริการโรซามุนด์ ไพค์ สาวสวยจาก The World's End และ Jack Reacher มารับบทเป็นเอมี่ เจ้าของเหตุการณ์สำคัญภายในเรื่อง ถือเป็นการแคสติ้งที่ฟินเชอร์ได้ทำให้หญิงสาวที่แฟนหนังบ้านเราอาจจะยังไม่คุ้นเคย (เช่นเดียวกับรูนี่ย์ มาร่าตอนเล่น The Girl With The Dragon Tattoo) มารับบทที่จะทำให้กลายเป็นขวัญใจของแฟนหนังได้ไม่ยาก บวกด้วยการถ่ายทอดอารมณ์ที่เป็นเลิศของนางแล้ว ฟันเฟิร์มว่าไพค์จะได้เข้าไปข้องแวะกับเวทีรางวัลทั้งหลายในช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้าอย่างแน่นอน (ขอจุดธูปอวยพรให้นางไปไกลถึงเวทีออสการ์)
ส่วนเบน เอฟเฟลคนั้น ตอนอ่านนิยาย และนึกภาพเบน เอฟเฟลคตามไปด้วย รู้สึกว่าเขายังไม่เหมาะกับบทนี้สักเท่าไหร่ (เว้นเสียแต่ว่าในนิยายจะมีการพูดถึง "คางตูด" ของเขา ทำให้ปิ๊งภาพเบนขึ้นมาได้อย่างเหมาะเจาะ) แต่อ่านไปอ่านมา และจินตนาการว่านิค ดันน์คือเบน ก็เริ่มรู้สึกถึงสไตล์ของเขาที่ดูจะเป็น นิค ดันน์ในอุดมคติของใครหลายคนได้ พอมาอยู่บนจอจริงๆ ต้องบอกเลยว่า "เหมือนเบนไม่ได้แสดง---เพราะนี่คือตัวเขาเอง" เป็นบทบาทที่เหมาะเหม็งกับสไตล์การแสดงของเขาเป็นอย่างยิ่ง และด้วยความเป็นธรรมชาติของเบน ที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักในหนังจอใหญ่ของเขา ก็ยิ่งทำให้ตัวละครนี้เป็นตัวละครที่น่าสนใจไม่แพ้เอมี่ของไพค์เลยทีเดียว
จะบอกว่าให้อ่านหนังสือก่อนมาดูหนัง ก็เพื่อที่จะได้รู้แบ็คกราวด์ตัวละครก่อน ถ้าอยากจะอินมากขึ้นไปในจุดนี้ (เพราะอย่างที่บอกว่าหนังไม่ได้เฉลี่ยน้ำหนักตัวละครให้มีพื้นที่ในแบบที่คนดูอยากรู้สักเท่าไหร่) แต่ถ้าไม่อ่านมาก่อน การดูหนังเรื่องนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับคุณมากๆ เพราะคุณจะไม่รู้อะไรมาก่อน และหนังจะน็อคคุณทุกหมัดตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องเป็นต้นไป ด้วยเซอร์ไพรส์ต่างๆมากมายที่ใส่เข้ามา และทำให้แทบจะสมองแทบจะแตกไปเป็นเสี่ยงๆเลยทีเดียว จะอ่านหรือไม่อ่าน หนังเรื่องนี้ก็จะทำให้คอหนังสืบสวนชวนสงสัย สนุกได้ไม่ยากครับ
Gone Girl คือผลงานทริลเลอร์ชวนระทึก เคล้าบรรยากาศดราม่า อมความสงสัยของตัวละคร ที่ขย้อนออกมาเป็นเบาะแสความระทึกชิ้นใหญ่ที่ทำให้คุณติดตามมันไปอย่างออกรส เป็นผลงานขายสมองของฟินเชอร์ที่สร้างสรรค์ออกมาอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าใช้ใจทำจริงๆ กัดจิกสังคมสื่อโทรทัศน์และเน้นความดำมืดในจิตใจมนุษย์ ตีแผ่สังคมครอบครัวออกมาได้อย่างถึงพริกถึงขิงด้วยความนิ่งที่ยิงเข้าเป้า เป็นช่วงเวลาเกือบสามชั่วโมงที่ไม่มีช่วงไหนทำให้เราง่วงเหงาหาวนอนแม้แต่น้อยครับ แฟนฟินเชอร์ตัวยงไม่ควรพลาด !!!
พูดคุยและติดตามข่าวสารกันต่อได้ที่
http://facebook.com/filmzlapsocial