บทที่ 4 – ไล่จับโจร
ในชีวิตของคุลิกา เธอไม่เคยเข้าร้านอาหารหรูหราด้วยตัวเพียงคนเดียว เพราะเธอมักจะพาฉกาจกับออกัสมาทานด้วยกันเป็นครอบครัวเสมอ ดังนั้น ในขณะที่เบื้องหน้ามีอาหารญี่ปุ่นนานาชนิดเรียงรายบนโต๊ะอย่างตอนนี้ หญิงสาวจึงอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ที่ข้างกายไม่มีน้องชายกับหลานสาวอยู่ด้วย
“อย่าลืมแผนที่เตรียมไว้นะคุณ ประมาณสองทุ่มสิบห้าคุณก็ทำเป็นเดินมาเจอผมที่เหลาโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ปรี๊ดแตกให้แรงที่สุด จะด่าว่าผมเป็นผู้ชายหน้าหม้อrะยำตำบอนขนาดไหนก็ได้ ผมอนุญาตเต็มที่ เสร็จแล้วก็ไปที่อู่ผม ลูกน้องผมเตรียมเงินค่าจ้างไว้ให้คุณแล้ว”
เสียงกำชับทางโทรศัพท์จากคนขี้เก๊กที่จองโต๊ะในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนี้ไว้ให้เธอนั่งคอยเวลาปฏิบัติแผนการยังคงดังวนเวียนอยู่ในหู คุลิกาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ หนึ่งทุ่มห้าสิบนาที เหลือเวลาอีกตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่เขานัดแนะไว้เมื่อตอนเย็น อาหารเธอก็กินอิ่มแล้ว หญิงสาวนั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตัดสินใจคว้ากระเป๋าสะพายออกไปเดินเล่นย่อยอาหาร
เหลาอาหารจีนที่เขานัดพบและร้านอาหารญี่ปุ่นที่จองให้เธอนั่งคอยล้วนตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าสุดหรูใจกลางเมืองพัทยา วันนี้เป็นวันที่วุ่นวายวันหนึ่งของคุลิกา แม้เธอจะลางานครึ่งวันเพื่อเดินทางมาที่นี่ แต่งานช่วงเช้าก็เป็นอะไรที่น่าเหนื่อยหน่ายที่สุด
นอกจากต้องรองรับการระบายอารมณ์จากลูกค้าขี้หงุดหงิดแล้ว เธอยังต้องผจญกับสายโรคจิตที่เพื่อนๆ พร้อมใจโอนมาให้เธอรับมือ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะคุลิกาได้ชื่อว่าเป็นพนักงานที่รับมือกับบรรดาโรคจิตได้ดีที่สุดในบริษัท แต่วันนี้ไม่รู้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรืออย่างไร สายโรคจิตถึงได้เยอะมากกว่าปกติตั้งสองเท่า จนเธอแทบจะหลุดคำหยาบคายตอบกลับพวกจิตไม่ว่างเหล่านั้นก็หลายครั้ง
แต่คิดแล้วก็ทำได้แค่ถอนหายใจ คุลิกาไม่ใช่คนที่ชอบบ่น ก่นด่าหรือคร่ำครวญต่อชะตาฟ้าลิขิต ในเมื่อไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง จะทำอย่างไรได้นอกจากทำงานหนักเพื่อแลกกับชีวิตที่ดีกว่า
เธอเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาจากพี่สาว พี่เธอยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้เธอกับฉกาจได้อยู่กันอย่างสุขสบายหลังจากที่แม่เสียชีวิตไปตอนที่พี่แป๋มอายุยี่สิบเอ็ดและคุลิกาอายุเพียงสิบขวบ พี่แป๋มทำหน้าที่แทนแม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าคุลิกากับฉกาจจะเป็นเพียงน้องต่างพ่อก็ตาม แต่ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ในขณะนั้นคุลิกาเด็กเกินกว่าจะฉุกคิดว่า คนที่จบการศึกษาเพียงชั้นมัธยมปีที่สามอย่างพี่สาว หาเงินมากมายจากที่ไหนมาเลี้ยงดูพวกเธอ
แต่ถึงแม้จะฉุกคิดและสามารถย้อนเวลากลับไปได้ หากได้ยืนอยู่ตรงหน้าพี่สาวจริงๆ คุลิกาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะกล้าถามหรือเปล่า
“...ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากดวงใจ...”
เสียงเพลงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นจากกระเป๋าสะพาย ดึงคุลิกาออกจากห้วงคิดแห่งอดีต เธอกำลังยืนอยู่บนบันไดเลื่อนเพื่อลงไปดูร้านขายของที่ชั้นล่างของห้างสรรพสินค้า หญิงสาวล้วงโทรศัพท์ออกมาดู และชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าฉกาจน้องชายเธอนั่นเอง
“ไงแก๊ก มีอะไรหรอ” คุลิกาพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริงเหมือนปกติ เพราะน้องชายและหลานสาวไม่ทราบว่าขณะนี้เธอต้องมาทำตัวงี่เง่าเล่นละครอยู่ที่พัทยา เธอบอกฉกาจกับออกัสไปเพียงว่า วันนี้ที่โรงเรียนสอนเทควันโดมีกิจกรรมพิเศษ จึงอาจจะกลับบ้านดึกกว่าปกติสักหน่อย
“เมื่อเย็นที่ผมไปรับออกัส มีเรื่องแปลกๆ อีกแล้วเจ้”
“เรื่องแปลกๆ หรอ” หญิงสาวขมวดคิ้ว แทรกตัวผ่านคนที่ยืนขวางหน้าและก้าวลงจากบันไดเลื่อนเพื่อหามุมสงบคุยโทรศัพท์
“อื้อ ครูมะนาวบอกว่ามีคนแปลกหน้ามาขอรับออกัสกลับบ้านก่อนที่ผมจะไปถึงล่ะ” เสียงเด็กหนุ่มตอบกลับมาอย่างเป็นกังวล “ถึงจะบอกว่าเป็นญาติที่เจ้ส่งให้ไปรับแทนผม แต่ครูเขาไม่คุ้นหน้าไง ก็เลยไม่ได้ปล่อยออกัสไป ตอนที่ครูมะนาวโทร.มาถามผมเรื่องนี้นะ ใจหายแทบแย่แน่ะ ว่าแต่เจ้คิดเหมือนที่ผมคิดหรือเปล่า”
“มีคนพยายามลักพาตัวออกัสอีกแล้วสินะ” คุลิกาหยุดยืนข้างเสาต้นหนึ่ง
“ผมก็ว่างั้นเหมือนกัน”
“แต่พวกมันจะจับตัวออกัสไปเพื่ออะไรกัน” หญิงสาวถามตัวเองอย่างมืดแปดด้าน เธอพยายามหาเหตุผลร้อยแปดแต่ก็ไม่พบอะไรที่ฟังดูเข้าท่า นอกจากว่ามันจะเกี่ยวข้องกับพ่อที่แท้จริงของออกัส อย่างเช่นว่า พ่อของออกัสต้องการนำตัวเด็กหญิงไปเลี้ยง เลยส่งคนมาลักพาตัวเพราะตระหนักดีว่าหากใช้วิธีเจรจาคุลิกาคงไม่ยอมแน่
ทว่าถึงจะคิดอย่างนั้น คุลิกาก็รู้ว่ามันฟังดูพิลึกชอบกล ถ้าพ่อของออกัสอยากได้ลูกจริงๆ ก็คงไม่ทิ้งพี่สาวเธอไปหรอก อย่างนั้นแล้ว พ่อของออกัสก็คงไปก่อเรื่องเลวร้ายอะไรไว้ เช่นติดหนี้พนันและเจ้าหนี้ต้องการจับตัวลูกของเขาไปเป็นการแก้แค้น...
ไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ฟังไม่ขึ้นเลยสักอย่าง
ก็คงต้องรอให้พบตัวพ่อที่แท้จริงของออกัสก่อนละนะ ถึงตอนนั้นพวกเธอก็คงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่
“แล้วนี่ออกัสปลอดภัยอยู่กับแกแล้วใช่ไหม” เสียงของคุลิกาแสดงออกถึงความเป็นห่วง
“อยู่ครับเจ้ แต่ผมกลัวพวกมันจะบุกมาที่บ้านเราอีกเหมือนคืนนั้น นี่ก็เลยชวนพวกไอ้อาร์ตมันมาอยู่เป็นเพื่อน”
หญิงสาวทราบว่าน้องชายหมายถึงกลุ่มเพื่อนสนิทซึ่งเรียนอยู่ในคณะศิลปศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน และแต่ละคนก็มีใบหน้าที่โหดเหี้ยมเหมาะกับการไปเล่นเป็นตัวโกงของละครที่กำกับโดยฉลอง ภักดีวิจิตรมากที่สุด
“อืม ดีแล้วล่ะ คนเยอะๆ พวกมันไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรอก อีกอย่างระบบรักษาความปลอดภัยที่ติดตั้งใหม่ก็แน่นหนาใช่ย่อย แต่อย่าเสียงดังเอะอะกันจนน้องไม่ได้นอนล่ะ ไม่งั้นฉันกลับไปเมื่อไหร่แกกะเพื่อนเจอดีแน่”
“แหม เสียงไม่ดังหรอกน่า” เด็กหนุ่มตอบอย่างแข็งขัน “ผมว่าเดี๋ยวสองทุ่มครึ่งก็จะพาขึ้นนอนแล้ว ตอนนี้กำลังสนุกสนานกับการระบายสีตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ของไอ้ด้วงอยู่ เจ้น่าจะเห็นนะ ออกัสมีพรสวรรค์ด้านศิลปะมากเลย สมแล้วที่เป็นหลานผม ฮ่าๆ”
“จ้า พ่อจิตรกรเอก”
“แล้วกิจกรรมพิเศษที่โรงเรียนเจ้เป็นไงบ้างอ่ะ?”
“ก็ยุ่งๆ อยู่แหละ” คุลิการะบายลมหายใจยาวแรง ก้มมองนาฬิกาข้อมือพบว่าเลยสองทุ่มมาห้านาทีแล้ว “เอ้อ มีคนมาตามแล้ว แค่นี้ก่อนนะแก๊ก ก่อนนอนอย่าลืมให้น้องกินนมด้วยล่ะ”
“ครับผม ไม่ลืมอยู่แล้ว”
คุลิกาพูดกำชับอีกสองสามคำก็กดวางสาย ว่าจะเดินเล่นดูของประดับกุ๊กกิ๊กไปฝากออกัสก็คงไม่มีเวลาแล้ว หญิงสาวยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋าและเดินตรงกลับไปที่บันไดเลื่อนซึ่งเพิ่งเดินลงมาเมื่อครู่ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เธอเพิ่งออกมานั้นอยู่บริเวณชั้นสาม แต่เหลาอาหารจีนที่ภุชงค์นัดไว้อยู่ที่ชั้นห้า แม้ก่อนนี้จะลองเดินสำรวจจนรู้ที่ตั้งของเหลานั้นแล้ว แต่ถ้าชักช้ากว่านี้ เธอก็คงไปถึงที่นั่นช้ากว่าเวลาที่เขานัดไว้แน่ๆ
แต่ในวินาทีนั้นเอง คุลิกาก็รู้สึกได้ว่าใครบางคนวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนมาอย่างรีบร้อน รีบร้อนชนิดที่แหวกทางคนที่ยืนขวางบนขั้นบันไดเลื่อนและเบียดกระแทกอย่างไม่เกรงใจ คุลิกาเองก็ถูกกระแทกไหล่จนเซมาพิงกับราวกั้น เธอตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ จึงได้เห็นว่าคนที่กำลังก้าวพรวดๆ ผ่านเธอไปนั้นเป็นชายร่างสันทัด แถมยังสวมแจ็คเก็ตตัวโคร่ง มีหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้า ท่าทางไม่น่าไว้ใจ
แล้วเสียงตะโกนของหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างร้อนรนจากปลายบันไดเลื่อน
“ช่วยด้วยค่ะ โจรกระชากกระเป๋า ผู้ชายคนเมื่อกี้ขโมยกระเป๋าฉันไปค่ะ!”
ศีรษะของทุกคนที่อยู่บนบันไดเลื่อนพากันเหลียวมองไปยังต้นเสียง คุลิกาก็เป็นหนึ่งในนั้น หญิงสาวอายุสามสิบกว่าๆ คนหนึ่งกระหืดกระหอบชี้มือไปยังชายสวมหมวกแก๊ปที่เพิ่งก้าวพ้นบันไดเลื่อนไป แต่ไม่มีใครเลยที่จะทำอะไร นอกจากหันหน้ากลับมาสนใจเรื่องของตัวเองต่อ และทำราวกับว่าคำร้องขอความช่วยเหลือของเหยื่อสาวโจรกระชากกระเป๋าเป็นเพียงสายลมไร้ตัวตน
ไม่มีใครสนใจ...นอกจากคุลิกา
(ต่อด้านล่าง)
สุดที่รักพิทักษ์เธอ - บทที่ 4 ไล่จับโจร
ในชีวิตของคุลิกา เธอไม่เคยเข้าร้านอาหารหรูหราด้วยตัวเพียงคนเดียว เพราะเธอมักจะพาฉกาจกับออกัสมาทานด้วยกันเป็นครอบครัวเสมอ ดังนั้น ในขณะที่เบื้องหน้ามีอาหารญี่ปุ่นนานาชนิดเรียงรายบนโต๊ะอย่างตอนนี้ หญิงสาวจึงอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ที่ข้างกายไม่มีน้องชายกับหลานสาวอยู่ด้วย
“อย่าลืมแผนที่เตรียมไว้นะคุณ ประมาณสองทุ่มสิบห้าคุณก็ทำเป็นเดินมาเจอผมที่เหลาโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ปรี๊ดแตกให้แรงที่สุด จะด่าว่าผมเป็นผู้ชายหน้าหม้อrะยำตำบอนขนาดไหนก็ได้ ผมอนุญาตเต็มที่ เสร็จแล้วก็ไปที่อู่ผม ลูกน้องผมเตรียมเงินค่าจ้างไว้ให้คุณแล้ว”
เสียงกำชับทางโทรศัพท์จากคนขี้เก๊กที่จองโต๊ะในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนี้ไว้ให้เธอนั่งคอยเวลาปฏิบัติแผนการยังคงดังวนเวียนอยู่ในหู คุลิกาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ หนึ่งทุ่มห้าสิบนาที เหลือเวลาอีกตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่เขานัดแนะไว้เมื่อตอนเย็น อาหารเธอก็กินอิ่มแล้ว หญิงสาวนั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตัดสินใจคว้ากระเป๋าสะพายออกไปเดินเล่นย่อยอาหาร
เหลาอาหารจีนที่เขานัดพบและร้านอาหารญี่ปุ่นที่จองให้เธอนั่งคอยล้วนตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าสุดหรูใจกลางเมืองพัทยา วันนี้เป็นวันที่วุ่นวายวันหนึ่งของคุลิกา แม้เธอจะลางานครึ่งวันเพื่อเดินทางมาที่นี่ แต่งานช่วงเช้าก็เป็นอะไรที่น่าเหนื่อยหน่ายที่สุด
นอกจากต้องรองรับการระบายอารมณ์จากลูกค้าขี้หงุดหงิดแล้ว เธอยังต้องผจญกับสายโรคจิตที่เพื่อนๆ พร้อมใจโอนมาให้เธอรับมือ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะคุลิกาได้ชื่อว่าเป็นพนักงานที่รับมือกับบรรดาโรคจิตได้ดีที่สุดในบริษัท แต่วันนี้ไม่รู้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรืออย่างไร สายโรคจิตถึงได้เยอะมากกว่าปกติตั้งสองเท่า จนเธอแทบจะหลุดคำหยาบคายตอบกลับพวกจิตไม่ว่างเหล่านั้นก็หลายครั้ง
แต่คิดแล้วก็ทำได้แค่ถอนหายใจ คุลิกาไม่ใช่คนที่ชอบบ่น ก่นด่าหรือคร่ำครวญต่อชะตาฟ้าลิขิต ในเมื่อไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง จะทำอย่างไรได้นอกจากทำงานหนักเพื่อแลกกับชีวิตที่ดีกว่า
เธอเห็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาจากพี่สาว พี่เธอยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้เธอกับฉกาจได้อยู่กันอย่างสุขสบายหลังจากที่แม่เสียชีวิตไปตอนที่พี่แป๋มอายุยี่สิบเอ็ดและคุลิกาอายุเพียงสิบขวบ พี่แป๋มทำหน้าที่แทนแม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าคุลิกากับฉกาจจะเป็นเพียงน้องต่างพ่อก็ตาม แต่ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ในขณะนั้นคุลิกาเด็กเกินกว่าจะฉุกคิดว่า คนที่จบการศึกษาเพียงชั้นมัธยมปีที่สามอย่างพี่สาว หาเงินมากมายจากที่ไหนมาเลี้ยงดูพวกเธอ
แต่ถึงแม้จะฉุกคิดและสามารถย้อนเวลากลับไปได้ หากได้ยืนอยู่ตรงหน้าพี่สาวจริงๆ คุลิกาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะกล้าถามหรือเปล่า
“...ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากดวงใจ...”
เสียงเพลงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือดังขึ้นจากกระเป๋าสะพาย ดึงคุลิกาออกจากห้วงคิดแห่งอดีต เธอกำลังยืนอยู่บนบันไดเลื่อนเพื่อลงไปดูร้านขายของที่ชั้นล่างของห้างสรรพสินค้า หญิงสาวล้วงโทรศัพท์ออกมาดู และชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็ไม่ใช่ใครอื่น เจ้าฉกาจน้องชายเธอนั่นเอง
“ไงแก๊ก มีอะไรหรอ” คุลิกาพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริงเหมือนปกติ เพราะน้องชายและหลานสาวไม่ทราบว่าขณะนี้เธอต้องมาทำตัวงี่เง่าเล่นละครอยู่ที่พัทยา เธอบอกฉกาจกับออกัสไปเพียงว่า วันนี้ที่โรงเรียนสอนเทควันโดมีกิจกรรมพิเศษ จึงอาจจะกลับบ้านดึกกว่าปกติสักหน่อย
“เมื่อเย็นที่ผมไปรับออกัส มีเรื่องแปลกๆ อีกแล้วเจ้”
“เรื่องแปลกๆ หรอ” หญิงสาวขมวดคิ้ว แทรกตัวผ่านคนที่ยืนขวางหน้าและก้าวลงจากบันไดเลื่อนเพื่อหามุมสงบคุยโทรศัพท์
“อื้อ ครูมะนาวบอกว่ามีคนแปลกหน้ามาขอรับออกัสกลับบ้านก่อนที่ผมจะไปถึงล่ะ” เสียงเด็กหนุ่มตอบกลับมาอย่างเป็นกังวล “ถึงจะบอกว่าเป็นญาติที่เจ้ส่งให้ไปรับแทนผม แต่ครูเขาไม่คุ้นหน้าไง ก็เลยไม่ได้ปล่อยออกัสไป ตอนที่ครูมะนาวโทร.มาถามผมเรื่องนี้นะ ใจหายแทบแย่แน่ะ ว่าแต่เจ้คิดเหมือนที่ผมคิดหรือเปล่า”
“มีคนพยายามลักพาตัวออกัสอีกแล้วสินะ” คุลิกาหยุดยืนข้างเสาต้นหนึ่ง
“ผมก็ว่างั้นเหมือนกัน”
“แต่พวกมันจะจับตัวออกัสไปเพื่ออะไรกัน” หญิงสาวถามตัวเองอย่างมืดแปดด้าน เธอพยายามหาเหตุผลร้อยแปดแต่ก็ไม่พบอะไรที่ฟังดูเข้าท่า นอกจากว่ามันจะเกี่ยวข้องกับพ่อที่แท้จริงของออกัส อย่างเช่นว่า พ่อของออกัสต้องการนำตัวเด็กหญิงไปเลี้ยง เลยส่งคนมาลักพาตัวเพราะตระหนักดีว่าหากใช้วิธีเจรจาคุลิกาคงไม่ยอมแน่
ทว่าถึงจะคิดอย่างนั้น คุลิกาก็รู้ว่ามันฟังดูพิลึกชอบกล ถ้าพ่อของออกัสอยากได้ลูกจริงๆ ก็คงไม่ทิ้งพี่สาวเธอไปหรอก อย่างนั้นแล้ว พ่อของออกัสก็คงไปก่อเรื่องเลวร้ายอะไรไว้ เช่นติดหนี้พนันและเจ้าหนี้ต้องการจับตัวลูกของเขาไปเป็นการแก้แค้น...
ไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ฟังไม่ขึ้นเลยสักอย่าง
ก็คงต้องรอให้พบตัวพ่อที่แท้จริงของออกัสก่อนละนะ ถึงตอนนั้นพวกเธอก็คงได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่
“แล้วนี่ออกัสปลอดภัยอยู่กับแกแล้วใช่ไหม” เสียงของคุลิกาแสดงออกถึงความเป็นห่วง
“อยู่ครับเจ้ แต่ผมกลัวพวกมันจะบุกมาที่บ้านเราอีกเหมือนคืนนั้น นี่ก็เลยชวนพวกไอ้อาร์ตมันมาอยู่เป็นเพื่อน”
หญิงสาวทราบว่าน้องชายหมายถึงกลุ่มเพื่อนสนิทซึ่งเรียนอยู่ในคณะศิลปศาสตร์ในมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกัน และแต่ละคนก็มีใบหน้าที่โหดเหี้ยมเหมาะกับการไปเล่นเป็นตัวโกงของละครที่กำกับโดยฉลอง ภักดีวิจิตรมากที่สุด
“อืม ดีแล้วล่ะ คนเยอะๆ พวกมันไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรอก อีกอย่างระบบรักษาความปลอดภัยที่ติดตั้งใหม่ก็แน่นหนาใช่ย่อย แต่อย่าเสียงดังเอะอะกันจนน้องไม่ได้นอนล่ะ ไม่งั้นฉันกลับไปเมื่อไหร่แกกะเพื่อนเจอดีแน่”
“แหม เสียงไม่ดังหรอกน่า” เด็กหนุ่มตอบอย่างแข็งขัน “ผมว่าเดี๋ยวสองทุ่มครึ่งก็จะพาขึ้นนอนแล้ว ตอนนี้กำลังสนุกสนานกับการระบายสีตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์ของไอ้ด้วงอยู่ เจ้น่าจะเห็นนะ ออกัสมีพรสวรรค์ด้านศิลปะมากเลย สมแล้วที่เป็นหลานผม ฮ่าๆ”
“จ้า พ่อจิตรกรเอก”
“แล้วกิจกรรมพิเศษที่โรงเรียนเจ้เป็นไงบ้างอ่ะ?”
“ก็ยุ่งๆ อยู่แหละ” คุลิการะบายลมหายใจยาวแรง ก้มมองนาฬิกาข้อมือพบว่าเลยสองทุ่มมาห้านาทีแล้ว “เอ้อ มีคนมาตามแล้ว แค่นี้ก่อนนะแก๊ก ก่อนนอนอย่าลืมให้น้องกินนมด้วยล่ะ”
“ครับผม ไม่ลืมอยู่แล้ว”
คุลิกาพูดกำชับอีกสองสามคำก็กดวางสาย ว่าจะเดินเล่นดูของประดับกุ๊กกิ๊กไปฝากออกัสก็คงไม่มีเวลาแล้ว หญิงสาวยัดโทรศัพท์เข้ากระเป๋าและเดินตรงกลับไปที่บันไดเลื่อนซึ่งเพิ่งเดินลงมาเมื่อครู่ ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เธอเพิ่งออกมานั้นอยู่บริเวณชั้นสาม แต่เหลาอาหารจีนที่ภุชงค์นัดไว้อยู่ที่ชั้นห้า แม้ก่อนนี้จะลองเดินสำรวจจนรู้ที่ตั้งของเหลานั้นแล้ว แต่ถ้าชักช้ากว่านี้ เธอก็คงไปถึงที่นั่นช้ากว่าเวลาที่เขานัดไว้แน่ๆ
แต่ในวินาทีนั้นเอง คุลิกาก็รู้สึกได้ว่าใครบางคนวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนมาอย่างรีบร้อน รีบร้อนชนิดที่แหวกทางคนที่ยืนขวางบนขั้นบันไดเลื่อนและเบียดกระแทกอย่างไม่เกรงใจ คุลิกาเองก็ถูกกระแทกไหล่จนเซมาพิงกับราวกั้น เธอตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ จึงได้เห็นว่าคนที่กำลังก้าวพรวดๆ ผ่านเธอไปนั้นเป็นชายร่างสันทัด แถมยังสวมแจ็คเก็ตตัวโคร่ง มีหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้า ท่าทางไม่น่าไว้ใจ
แล้วเสียงตะโกนของหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างร้อนรนจากปลายบันไดเลื่อน
“ช่วยด้วยค่ะ โจรกระชากกระเป๋า ผู้ชายคนเมื่อกี้ขโมยกระเป๋าฉันไปค่ะ!”
ศีรษะของทุกคนที่อยู่บนบันไดเลื่อนพากันเหลียวมองไปยังต้นเสียง คุลิกาก็เป็นหนึ่งในนั้น หญิงสาวอายุสามสิบกว่าๆ คนหนึ่งกระหืดกระหอบชี้มือไปยังชายสวมหมวกแก๊ปที่เพิ่งก้าวพ้นบันไดเลื่อนไป แต่ไม่มีใครเลยที่จะทำอะไร นอกจากหันหน้ากลับมาสนใจเรื่องของตัวเองต่อ และทำราวกับว่าคำร้องขอความช่วยเหลือของเหยื่อสาวโจรกระชากกระเป๋าเป็นเพียงสายลมไร้ตัวตน
ไม่มีใครสนใจ...นอกจากคุลิกา