อาจกล่าวได้ว่า หญิงผู้นี้ สามารถแสดงความโง่เขลาเบาปัญญา ต่อสาธารณชนได้อย่างต่อเนื่องนะครับ
คราวนี้ เธอก็ได้แสดงความโง่ ซึ่งอาจหมายรวมถึง "เจตนาชั่ว" ในการ ติเตียนพระภิกษุ
ด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ อย่างปราศจากความละอาย อีกครั้งหนึ่ง ดังต่อไปนี้
กล่าวโดยสรุป ก็คือ หญิงผู้นี้ ไม่พอใจที่บรรดา ลูกศิษย์ของท่านพระคึกฤทธิ์ กล่าวยกย่องอาจารย์ของตนว่าเป็นผู้มีอุปการะมาก(พหูปกาโร)
และด้วยเหตุดังนั้น หญิงผู้นี้ ก็ได้ตั้งคำถามโง่ๆ ขึ้นมาว่า ......... ผู้มีอุปการะมาก(พหูปกาโร) นี้ควรใช้กับใคร ?
ช่างน่าสมเพช ที่หญิงไร้จิตสำนึก ผู้นี้ ได้ทำการ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย
ตัดต่อ ดัดแปลง ความหมาย ของถ้อยคำซึ่งเป็นพระพุทธดำรัส และ/หรือ ถ้อยคำของพระอรหันต์
ให้ผู้อ่าน ซึ่งอาจมีความรู้ในพระธรรมวินัย ต่ำกว่ามาตรฐาน เข้าใจผิดไปว่า คำๆนี้ คือ .......
ผู้มีอุปการะมาก(พหูปกาโร) เป็นคำที่ใช้ได้แต่เฉพาะกับพระอรหันต์เท่านั้น
และในขั้นสุดท้าย จึงได้พูดจา "กระทบ" ผสมการ "กล่าวร้าย" ในทำนองว่า
ท่านพระคึกฤทธิ์เป็นพระอรหันต์ หรืออย่างไร จึงสามารถใช้คำๆนี้ได้ !
**********************************************************************
แต่ในความเป็นจริง กลับกลายเป็นว่า พหูปกาโร หรือ ผู้มีอุปการะมากนี้ เป็นคำที่ใช้อยู่โดยทั่วไป มิได้จำเพาะเจาะจงว่า
จะต้องใช้กับผู้เป็นอรหันต์ ดังที่หญิงผู้นั้น กำลังกล่าวบิดเบือนอยู่อย่างปราศจากความละอาย แต่อย่างใดไม่
ขอให้ท่านทั้งหลายพึงพิจารณาตั้งแต่ กรณี อานันทสูตร ที่หญิงผู้นั้นยกขึ้นอ้าง ซึ่งท่านพระอานนท์กล่าวว่า
"ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ท่านพระปุณณมันตานีบุตร มีอุปการะมาก(พหูปกาโร)แก่พวกเราเหล่าภิกษุใหม่ ฯลฯ"
ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า คำว่า ผู้มีอุปการะมากนี้ มาจากคำว่า พหูปกาโร ซึ่งปรากฏว่ามีการใช้คำๆ นี้ อยู่โดยทั่วไปในพระไตรปิฎก
มิได้เป็นคำที่ใช้เฉพาะกับ พระอรหันต์ แต่อย่างใดทั้งสิ้น เช่น "เศรษฐีคหบดีผู้นี้แล มีอุปการะมาก(พหูปกาโร) แก่พระเจ้าอยู่หัวและชาวนิคม ฯลฯ"
หรือเช่นว่า "แต่ภิกษุผู้พยาบาลไข้มีอุปการะมาก(พหูปการโร) เราอนุญาตให้สงฆ์มอบไตรจีวรและบาตร แก่ภิกษุผู้พยายาบาลไข้ ฯ"
หรือตัวอย่างเช่น "เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก(พหูปการา) บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ฯลฯ"
หรือแม้แต่ "ธรรม ๒ อย่าง คือ สมถะ และ วิปัสสนา ย่อมมีอุปการะมาก(พหูปการาติ) แก่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติฯ"
ตัวอย่างจากพระไตรปิฎก เพียงเท่าที่ปรากฏอยู่นี้ ถือว่ามากพอหรือไม่ครับ ที่จะแสดงให้เห็นว่า
การที่หญิงผู้นั้นพยายามกล่าวบิดเบือน ให้ผู้อื่นเข้าใจผิดไปว่า พหูปกาโร ใช้ได้เฉพาะกับพระอรหันต์
เป็นการกล่าวเท็จ !
**********************************************************************
ท่านทั้งหลายพึงพิจารณาต่อไปอีกว่า การที่ศิษย์วัดนาป่าพง จะกล่าวถึงอาจารย์ของตนว่า
เป็นผู้มีอุปการะมาก(พหูปกาโร) นี้เป็นการกล่าวที่ "เกินเลย" ไปหรือไม่ ?
ประการแรก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ..........
(๑) พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายเป็นผู้มีอุปการะมากแก่เธอทั้งหลาย ด้วยจีวร เสนาสนะ และ คิลานปัจจัยเภสัชบริขารฯ
(๒) แม้เธอทั้งหลาย ก็จงเป็นผู้มีอุปการะมากแก่ พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย จงแสดงธรรม ..... ฯลฯ
ประการต่อมา ตามความจาก พหุการสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคล ๓ จำพวกนี้ เป็นผู้มีอุปการะมาก แก่บุคคลผู้อาศัย คือ
(๑) บุคคลใดอาศัยแล้ว เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
(๒) บุคคลใดอาศัยแล้ว เป็นผู้ถึงโสดาปัตติมรรค
(๓) บุคคลใดอาศัยแล้ว เป็นผู้ถึงอรหัตมรรค
โดยอรรถกถาจารย์ กล่าวยืนยันว่า แม้แต่อาจารย์ผู้ให้(บอก)พุทธพจน์ ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอุปการะมาก เช่นกัน
ประการสุดท้าย สำหรับคำอธิบายนี้ ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมอันหนึ่ง มีอุปการะมาก(พหูปกาโร) เพื่อความเกิดขึ้นแห่งอริยมรรค คือ "กัลยาณมิตร"
ด้วยเหตุผลและหลักฐาน ตามที่ปรากฏอยู่จริง จากพระไตรปิฎกและอรรถกถา ดังที่แสดงให้เห็นแจ้งในบัดนี้
ผมยังไม่เห็นความไม่สมควรใดๆ เลย ที่บรรดาศิษย์วัดนาป่าพง จะกล่าวถึงครูบาอาจารย์ของพวกเขาว่าเป็น "ผู้มีอุปการะมาก"
ครูบาอาจารย์ของเขา ก็เปรียบเหมือนผู้เป็นพ่อแม่ ซึ่งย่อมไม่มีเหตุผลใดๆ เช่นกัน
ที่ผู้หนึ่งผู้ใด จะปฏิเสธความเป็นผู้มีอุปการะมาก ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ของผู้อื่น
หมายความว่า คุณอาจเห็นว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ของผู้อื่น ไม่ใช่ผู้มีอุปการะมากสำหรับคุณ ก็พอเป็นไปได้
แต่คุณมิอาจปฏิเสธ "ความเป็นผู้มีอุปการะมาก" ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์(ของผู้อื่น) ที่มีต่อผู้อื่น ได้เลยนะครับ !
ก็พ่อแม่ของเขา ย่อมมีอุปการะมากแก่เขา แม้ไม่มีอุปการะใดๆ เลยกับคุณ
เช่นเดียวกัน ครูบาอาจารย์ของเขา ก็ย่อมเป็นผู้มีอุปการะมากสำหรับเขา แม้ว่าจะไม่ใช่สำหรับคุณ ก็ตาม
การไม่กล่าววาจาเบียดเบียน (๑) พ่อแม่ของผู้อื่น (๒) ครูบาอาจารย์ของผู้อื่น นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ผู้เป็นบัณฑิต พึงกระทำ นะครับ
หาใช่ การพยายาม กล่าวหาว่าร้าย ใส่ความเพ่งโทษ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของผู้อื่น ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ อย่างที่มันกำลังกระทำอยู่นี้
และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ก็คือ ข้อมูลอันเป็นเท็จ ที่กล่าวถึงอยู่นี้ มีความหมายว่า หญิงผู้นั้น
กำลัง กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย ซึ่งจะเป็นบาปกรรมมิใช่น้อยเลย นะครับ
(๑) ถ้าหาก หญิงผู้นั้น จะแก้ตัวว่า ทำไปด้วยความ "ไม่รู้" เช่นนี้แล้ว มันคงเป็นเพียงแค่ "หนอนอาจม"
ด้วยเหตุแห่งความโง่เขลาเบาปัญญา(ของมัน) มากกว่าที่จะเป็น "หนอนพระไตรปิฎก" ตามที่พยายาม "อวดอ้าง" อยู่กระมัง ?
(๒) แต่หากแม้ ต้องการปฏิเสธว่า ตนมิใช่คนโง่เขลา นั่นย่อมหมายความว่า หญิงผู้นี้ กำลังกล่าวเท็จทั้งๆ ที่รู้อยู่
ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใด กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ ........ จะไม่ทำชั่วอย่างอื่น เป็นไม่มี !
คำถาม ก็คือ เธอผู้นั้น กล่าวร้ายใส่ความ พระสงฆ์องค์เจ้า ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ
โดยเนื่องกับ การกล่าวตู่พระพุทธเจ้า และ บิดเบือนพระธรรมวินัย ภายใต้ "เงื่อนไข" ข้อใดกันหนอ ?
นี่ย่อมมิใช่ "คำถาม" ที่รอ "คำตอบ" หรอกนะครับ
**********************************************************************
คำถามโง่ๆ ข้อสุดท้าย ที่หญิงผู้นี้ อุตส่าห์ "บีบเค้น" ออกมาจาก "ก้อนเต้าหู้" ในกะโหลกของเธอ ก็คือ ......
"เมื่อพระอรหันต์สาวก อยู่ในฐานะผู้มีอุปการะมาก แล้วพระผู้มีพระภาคอยู่ในฐานะใด ?
ขอประทานโทษ ที่จำเป็นต้องตอบตามความจริง อย่างตรงไปตรงมาว่า ก็ทรงอยู่ในฐานะ "ผู้มีอุปการะมาก" นั่นแหละครับ
โดยความข้อนี้ ผมอ้างอิง พุทธพจน์จาก มัชฌิมนิกาย ตรัสว่า ........
"ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้อย่างนั้น ข้อนี้อย่างนั้น กุลบุตรเหล่าใดมีศรัทธา ออกบวชเป็นบรรพชิตอุทิศเฉพาะเรา
เราเป็นหัวหน้าของกุลบุตรเหล่านั้น มีอุปการะมาก(พหุกาโร)แก่กุลบุตรเหล่านั้น ฯลฯ"
หลักฐาน ชัดเจนแจ่มแจ้ง ดีไหมครับ ?
สวัสดี
คำว่า ........... "ผู้มีอุปการะมาก" ........... นี้ควรใช้กับใคร ?
คราวนี้ เธอก็ได้แสดงความโง่ ซึ่งอาจหมายรวมถึง "เจตนาชั่ว" ในการ ติเตียนพระภิกษุ
ด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ อย่างปราศจากความละอาย อีกครั้งหนึ่ง ดังต่อไปนี้
กล่าวโดยสรุป ก็คือ หญิงผู้นี้ ไม่พอใจที่บรรดา ลูกศิษย์ของท่านพระคึกฤทธิ์ กล่าวยกย่องอาจารย์ของตนว่าเป็นผู้มีอุปการะมาก(พหูปกาโร)
และด้วยเหตุดังนั้น หญิงผู้นี้ ก็ได้ตั้งคำถามโง่ๆ ขึ้นมาว่า ......... ผู้มีอุปการะมาก(พหูปกาโร) นี้ควรใช้กับใคร ?
ช่างน่าสมเพช ที่หญิงไร้จิตสำนึก ผู้นี้ ได้ทำการ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย
ตัดต่อ ดัดแปลง ความหมาย ของถ้อยคำซึ่งเป็นพระพุทธดำรัส และ/หรือ ถ้อยคำของพระอรหันต์
ให้ผู้อ่าน ซึ่งอาจมีความรู้ในพระธรรมวินัย ต่ำกว่ามาตรฐาน เข้าใจผิดไปว่า คำๆนี้ คือ .......
ผู้มีอุปการะมาก(พหูปกาโร) เป็นคำที่ใช้ได้แต่เฉพาะกับพระอรหันต์เท่านั้น
และในขั้นสุดท้าย จึงได้พูดจา "กระทบ" ผสมการ "กล่าวร้าย" ในทำนองว่า
ท่านพระคึกฤทธิ์เป็นพระอรหันต์ หรืออย่างไร จึงสามารถใช้คำๆนี้ได้ !
**********************************************************************
แต่ในความเป็นจริง กลับกลายเป็นว่า พหูปกาโร หรือ ผู้มีอุปการะมากนี้ เป็นคำที่ใช้อยู่โดยทั่วไป มิได้จำเพาะเจาะจงว่า
จะต้องใช้กับผู้เป็นอรหันต์ ดังที่หญิงผู้นั้น กำลังกล่าวบิดเบือนอยู่อย่างปราศจากความละอาย แต่อย่างใดไม่
ขอให้ท่านทั้งหลายพึงพิจารณาตั้งแต่ กรณี อานันทสูตร ที่หญิงผู้นั้นยกขึ้นอ้าง ซึ่งท่านพระอานนท์กล่าวว่า
"ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ท่านพระปุณณมันตานีบุตร มีอุปการะมาก(พหูปกาโร)แก่พวกเราเหล่าภิกษุใหม่ ฯลฯ"
ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า คำว่า ผู้มีอุปการะมากนี้ มาจากคำว่า พหูปกาโร ซึ่งปรากฏว่ามีการใช้คำๆ นี้ อยู่โดยทั่วไปในพระไตรปิฎก
มิได้เป็นคำที่ใช้เฉพาะกับ พระอรหันต์ แต่อย่างใดทั้งสิ้น เช่น "เศรษฐีคหบดีผู้นี้แล มีอุปการะมาก(พหูปกาโร) แก่พระเจ้าอยู่หัวและชาวนิคม ฯลฯ"
หรือเช่นว่า "แต่ภิกษุผู้พยาบาลไข้มีอุปการะมาก(พหูปการโร) เราอนุญาตให้สงฆ์มอบไตรจีวรและบาตร แก่ภิกษุผู้พยายาบาลไข้ ฯ"
หรือตัวอย่างเช่น "เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก(พหูปการา) บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ฯลฯ"
หรือแม้แต่ "ธรรม ๒ อย่าง คือ สมถะ และ วิปัสสนา ย่อมมีอุปการะมาก(พหูปการาติ) แก่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติฯ"
ตัวอย่างจากพระไตรปิฎก เพียงเท่าที่ปรากฏอยู่นี้ ถือว่ามากพอหรือไม่ครับ ที่จะแสดงให้เห็นว่า
การที่หญิงผู้นั้นพยายามกล่าวบิดเบือน ให้ผู้อื่นเข้าใจผิดไปว่า พหูปกาโร ใช้ได้เฉพาะกับพระอรหันต์
เป็นการกล่าวเท็จ !
**********************************************************************
ท่านทั้งหลายพึงพิจารณาต่อไปอีกว่า การที่ศิษย์วัดนาป่าพง จะกล่าวถึงอาจารย์ของตนว่า
เป็นผู้มีอุปการะมาก(พหูปกาโร) นี้เป็นการกล่าวที่ "เกินเลย" ไปหรือไม่ ?
ประการแรก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ..........
(๑) พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายเป็นผู้มีอุปการะมากแก่เธอทั้งหลาย ด้วยจีวร เสนาสนะ และ คิลานปัจจัยเภสัชบริขารฯ
(๒) แม้เธอทั้งหลาย ก็จงเป็นผู้มีอุปการะมากแก่ พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย จงแสดงธรรม ..... ฯลฯ
ประการต่อมา ตามความจาก พหุการสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคล ๓ จำพวกนี้ เป็นผู้มีอุปการะมาก แก่บุคคลผู้อาศัย คือ
(๑) บุคคลใดอาศัยแล้ว เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
(๒) บุคคลใดอาศัยแล้ว เป็นผู้ถึงโสดาปัตติมรรค
(๓) บุคคลใดอาศัยแล้ว เป็นผู้ถึงอรหัตมรรค
โดยอรรถกถาจารย์ กล่าวยืนยันว่า แม้แต่อาจารย์ผู้ให้(บอก)พุทธพจน์ ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอุปการะมาก เช่นกัน
ประการสุดท้าย สำหรับคำอธิบายนี้ ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมอันหนึ่ง มีอุปการะมาก(พหูปกาโร) เพื่อความเกิดขึ้นแห่งอริยมรรค คือ "กัลยาณมิตร"
ด้วยเหตุผลและหลักฐาน ตามที่ปรากฏอยู่จริง จากพระไตรปิฎกและอรรถกถา ดังที่แสดงให้เห็นแจ้งในบัดนี้
ผมยังไม่เห็นความไม่สมควรใดๆ เลย ที่บรรดาศิษย์วัดนาป่าพง จะกล่าวถึงครูบาอาจารย์ของพวกเขาว่าเป็น "ผู้มีอุปการะมาก"
ครูบาอาจารย์ของเขา ก็เปรียบเหมือนผู้เป็นพ่อแม่ ซึ่งย่อมไม่มีเหตุผลใดๆ เช่นกัน
ที่ผู้หนึ่งผู้ใด จะปฏิเสธความเป็นผู้มีอุปการะมาก ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ของผู้อื่น
หมายความว่า คุณอาจเห็นว่า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ของผู้อื่น ไม่ใช่ผู้มีอุปการะมากสำหรับคุณ ก็พอเป็นไปได้
แต่คุณมิอาจปฏิเสธ "ความเป็นผู้มีอุปการะมาก" ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์(ของผู้อื่น) ที่มีต่อผู้อื่น ได้เลยนะครับ !
ก็พ่อแม่ของเขา ย่อมมีอุปการะมากแก่เขา แม้ไม่มีอุปการะใดๆ เลยกับคุณ
เช่นเดียวกัน ครูบาอาจารย์ของเขา ก็ย่อมเป็นผู้มีอุปการะมากสำหรับเขา แม้ว่าจะไม่ใช่สำหรับคุณ ก็ตาม
การไม่กล่าววาจาเบียดเบียน (๑) พ่อแม่ของผู้อื่น (๒) ครูบาอาจารย์ของผู้อื่น นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ผู้เป็นบัณฑิต พึงกระทำ นะครับ
หาใช่ การพยายาม กล่าวหาว่าร้าย ใส่ความเพ่งโทษ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของผู้อื่น ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ อย่างที่มันกำลังกระทำอยู่นี้
และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ก็คือ ข้อมูลอันเป็นเท็จ ที่กล่าวถึงอยู่นี้ มีความหมายว่า หญิงผู้นั้น
กำลัง กล่าวตู่พระพุทธเจ้า บิดเบือนพระธรรมวินัย ซึ่งจะเป็นบาปกรรมมิใช่น้อยเลย นะครับ
(๑) ถ้าหาก หญิงผู้นั้น จะแก้ตัวว่า ทำไปด้วยความ "ไม่รู้" เช่นนี้แล้ว มันคงเป็นเพียงแค่ "หนอนอาจม"
ด้วยเหตุแห่งความโง่เขลาเบาปัญญา(ของมัน) มากกว่าที่จะเป็น "หนอนพระไตรปิฎก" ตามที่พยายาม "อวดอ้าง" อยู่กระมัง ?
(๒) แต่หากแม้ ต้องการปฏิเสธว่า ตนมิใช่คนโง่เขลา นั่นย่อมหมายความว่า หญิงผู้นี้ กำลังกล่าวเท็จทั้งๆ ที่รู้อยู่
ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใด กล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ ........ จะไม่ทำชั่วอย่างอื่น เป็นไม่มี !
คำถาม ก็คือ เธอผู้นั้น กล่าวร้ายใส่ความ พระสงฆ์องค์เจ้า ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ
โดยเนื่องกับ การกล่าวตู่พระพุทธเจ้า และ บิดเบือนพระธรรมวินัย ภายใต้ "เงื่อนไข" ข้อใดกันหนอ ?
นี่ย่อมมิใช่ "คำถาม" ที่รอ "คำตอบ" หรอกนะครับ
**********************************************************************
คำถามโง่ๆ ข้อสุดท้าย ที่หญิงผู้นี้ อุตส่าห์ "บีบเค้น" ออกมาจาก "ก้อนเต้าหู้" ในกะโหลกของเธอ ก็คือ ......
"เมื่อพระอรหันต์สาวก อยู่ในฐานะผู้มีอุปการะมาก แล้วพระผู้มีพระภาคอยู่ในฐานะใด ?
ขอประทานโทษ ที่จำเป็นต้องตอบตามความจริง อย่างตรงไปตรงมาว่า ก็ทรงอยู่ในฐานะ "ผู้มีอุปการะมาก" นั่นแหละครับ
โดยความข้อนี้ ผมอ้างอิง พุทธพจน์จาก มัชฌิมนิกาย ตรัสว่า ........
"ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้อย่างนั้น ข้อนี้อย่างนั้น กุลบุตรเหล่าใดมีศรัทธา ออกบวชเป็นบรรพชิตอุทิศเฉพาะเรา
เราเป็นหัวหน้าของกุลบุตรเหล่านั้น มีอุปการะมาก(พหุกาโร)แก่กุลบุตรเหล่านั้น ฯลฯ"
หลักฐาน ชัดเจนแจ่มแจ้ง ดีไหมครับ ?
สวัสดี