
"ภูทับเบิก" คงเป็นสถานที่ที่อยู่ในใจใครหลายๆคน ทั้งคนที่เคยไปเยือนมาแล้วและคนที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไป
ซึ่งเราเองเป็นคนกลุ่มหลัง ที่แอบหลงรักภูทับเบิกแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปถึงและสารภาพรักภูทับเบิกตรงๆสักที
จนเพื่อนสาว ส่งรีวิว ของรุ่นพี่ที่ไปเที่ยวภูทับเบิกมาให้ดู และชวนด้วยคำง่ายๆคือ
“ไปลำบากกัน”
ทริปนี้จึงเป็นทริปที่ เราสองคน คิดจะ backpack กัน 2 วัน 2 คืน และโบกรถ อย่างจริงจัง
plan ของพวกเรา คือ ไม่มี plan
มีแค่ความตั้งใจที่จะไป ภูหินร่องกล้า ต่อด้วยขึ้นไปนอนที่ภูทับเบิก ดูพระอาทิตย์ขึ้น และไปไหว้พระที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว แค่เท่านั้น
แต่หากจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากความตั้งใจก็ไม่มีปัญหา (:
นอกจากนั้น ทริปนี้ยังเป็นทริปที่หวังพึ่งน้ำบ่อหน้าล้วนๆ !
แล้ววันเดินทางซึ่งให้หลัง จากวันที่เพื่อนชวนไม่นานก็มาถึง
เรามาหมอชิต ตอนประมาณ 1 ทุ่ม เพื่อหารถไปยัง พิษณุโลก ซึ่งรถที่เรานั่งคือ รถของ พิษณุโลกยานยนตร์

สิ่งที่อยู่เหนือการคาดหมายเกิดขึ้นได้เสมอ ที่นั่งของสองเราต้องเลื่อนเพราะมีคนนั่งอยู่แล้ว และรถคันที่เราต้องนั่งจริงๆเสีย เลยต้องเป็นรถคันนี้ ช่างเป็นการต้อนรับการเดินทางไกลของเราได้ดี แต่พี่พนักงานเดินรถของรถคันนี้ก็น่ารักมาก ได้ของสมนาคุณ เป็นขนมหนึ่งชิ้นและน้ำหนึ่งขวด
ล้อหมุนตอน 5 ทุ่ม ซึ่งถึงขนส่ง พิษณุโลก ตอนประมาณ ตี 3.30
เรามาที่ขนส่งพิษณุโลกเพื่อที่จะต่อรถขึ้นไปยังนครไทย ซึ่งช่องขายบัตร เปิด ตอน ตี 5 และรถคันแรกออกตอน ตี 5 ครึ่ง เราก็นั่งรอ นอนรอกันสักพัก จนตี 5 ช่องขายบัตรก็เปิด เที่ยวรถ พิษณุโลก- นครไทย สนน ราคาที่อยู่ที่ 73 บาท เป็นรถแอร์ เบาะนุ่ม แต่คนแน่น 5555 ในช่วงแรกที่รถออกตัว เราสองคนก็หลับกันไม่รู้เรื่อง
ตื่นมาอีกที พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นตรงหน้าเราแล้ว บรรยากาศระหว่างทางสวยงามมากกกกกกก เมฆก็สวย ภูเขาก็สวย ต้นไม้ก็สวย ทุกอย่างสวยงามอย่างกับภาพในฝันเลย
เราถึงนครไทยประมาณ 7 โมง เป้าหมายต่อไปคือ โบกรถ ไปยังอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
เดินไปโบกไป ก็ยังไม่มีรถคันไหนจะไปเส้นทางเดียวกับเราซักที จนมีพี่สาวที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยว เรียกให้เข้ามาพักที่ร้านก่อน พี่สาวคนนั้นก็คือ พี่โอ๋ พี่โอ๋บอกว่าเค้าเป็นคนภูหินร่องกล้า เดี๋ยวจะถามแฟนให้ว่าวันนี้จะลงมาข้างล่างมั๊ยจะให้รับเราสองคนติดรถขึ้นไปด้วย ความรู้สึกดีเกิดขึ้นทันที พี่เค้าใจดีมากๆ โทรหาคนโน้นคนนี้ให้ สรุปคือจะมีน้อยชายเค้าลงมา แต่จะลงมาประมาณ เที่ยง ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเพียง 8 โมง เราสองคนปรึกษากันว่าจะเอายังไงกันดี เลยตัดสินใจว่า กินก๋วยเตี๋ยวพี่เค้าก่อนแล้วกัน แหะๆ คือหิวไง
ก๋วยเตี๋ยวของพี่โอ๋ เป็นก๋วยเตี๋ยวไก๋ตุ๋น น้ำใส๊ใส กับผักแม้ว อร่อยลื้มมมม ถ้าใครผ่านไปอย่าพลาดนะ ต้องกินนะ “ร้านคนภูหินร่องกล้า” ก๋วยเตี๋ยวอร่อยกับแม่ค้าใจดีเป็นการต้อนรับที่น่ารักของการเดินทางที่รออยู่ (:
พอกินก๋วยเตี๋ยวและกาแฟ โอวัลตินอะไรเสร็จ เราเลือกที่จะร่ำลาพี่โอ๋และเตรียมเข้าตลาดไปหารถโบกขึ้นภู แต่ไม่ลืมที่จะบันทึกเบอร์ที่ร้านพี่เขาไว้ เผื่อมีรถหรือไม่มีจะได้โทรรายงาน พี่เขาจะได้ไม่เป็นห่วง
เดินไปโบกไป จนไปเจอกับ รถกระบะคันหนึ่ง เหยื่อของเรามาแล้ว พี่เขาเป็นทหาร และอาสาที่จะไปส่งที่ตลาดให้

รถเคลื่อนไปยังเส้นทางไหนก็ไม่รู้ เป็นเส้นทางแปลกตาบนถนนเส้นเล็กๆ สองข้างทางเป็นชุมชนของชาวบ้าน อากาศเช้าปะทะหน้าพวกเรา สดชื่นบอกไม่ถูก ในใจก็ตื่นเต้นดีใจกับรถคันแรก 5555 รถแล่นไปได้ไม่นาน พี่ทหารก็หยุดอยู่หน้าสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่ดูเหมือนวัด และเปิดกระจกมาตะโกนบอกพวกเราว่า นี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนที่นี่ พ่อขุนบางกลางท่าว โห อะไรจะดีขนาดนี้ พามาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย พี่เขาดูใส่ใจมากๆ
รถเคลื่อนไปเรื่อยๆ ข้างทางเป็นธรรมชาติที่สวยงาม มีทุ่งข้าว ต้นไม้ใบไม้ก็ดูดีไปหมด รถเคลื่อนมานานไปสมควร นานพอให้เราสองคนมานึกได้ว่า นี่มันไม่ใช่ทางไปตลาดเว่ยมึ๊งงงงงงง แต่อีก 20 กิโลนี่ ภูหินร่องกล้าแล้ว
ใช่!!!! พี่เค้ามาส่งเรา มาส่งเราสองคนถึงที่ เขาพาเรามาทั้งๆที่เส้นทางนี้เค้าไม่ต้องผ่านมาก็ได้ เห้ย ทำไมดีขนาดนี้
เราสองคนเห็นตรงกันว่า “พี่เค้าใจดีมากไปแล้ว ทั้งๆที่เราไม่รู้จักกัน ไม่ได้เป็นอะไรกัน เค้าทำแบบนี้กับพวกเราทำไม” พร้อมน้ำตาที่ปริ่มมาขอบตาด้วยความตื้นตันใจ
การเดินทางครั้งนี้ แค่เริ่มต้น ก็ทำให้เราสองคน มีทัศนคติต่อผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป คนที่ใจดีจนเหลือเชื่อยังมีอยู่จริงๆเว่ย เมืองไทยผู้คนยังมีน้ำใจอยู่ เมืองหลวงอาจวุ่นวายและเร่งรีบจนเราไม่มีเวลาใส่ใจกับสิ่งรอบตัว แต่การออกมาเดินทางมันทำให้เราเห็นว่าในตัวคนทุกคนยังมีด้านสวยงาม ยังมีน้ำใจเผื่อแผ่สำหรับคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งกับคนแปลกหน้าอย่างพวกเราเสมอ
ด้วยการที่ไม่รู้จะตอบแทนอะไรพี่เขา เรามองหาสิ่งรอบตัว ซึ่งมีเพียงเอากระดาษสมุดกะปากกาเท่านั้น เราจึงเริ่มลงมือเขียนการ์ด ขอบคุณพี่ทหาร กันอยู่หลังรถนั่นแหละ กระดาษแผ่นนั้นมันเล็กเกินไปด้วยซ้ำที่จะเขียนคำขอบคุณและความรู้สึกดีๆให้พี่เค้า แต่พี่คะ พี่สอนพวกหนูสองคน ให้มีแนวทางในการเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีแล้ว พอหนูโตพอที่จะตอบแทนคนอื่นๆได้แล้ว หนูจะใจดีแบบพี่

พอถึงภูหินร่องกล้า เราขอบคุณและร่ำลากับพี่ทหาร และพวกเราพร้อมแล้ววว สำหรับการเดินป่า หัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก เราเริ่มด้วยการเดินไปยัง ลานหินปุ่ม ระหว่างทางทุกอย่างสวยงาม (สวยงาม คำนี้คุณจะเจอในรีวิวนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง) เดินไปเรื่อยๆก็เจอ หินรูปร่างต่างๆ เจอดอกไม้ป่า เจอน้องแมลงที่ดูรักพวกเราเหลือเกิน ตอมตั้งแต่เข้าป่ายันออกจากป่า การเดินป่าทำให้เราทำอะไรๆช้าลง ให้เรามีความละเอียดในการมองสิ่งต่างๆรอบตัว พอเราใส่ใจกับรายละเอียดมากขึ้น ทุกอย่างในป่า ก็สวยงามขึ้นทันที

ลานหินปุ่มเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ อยากจะรู้ว่าธรรมชาติส่งใครมาสร้างไว้ มันเป็นปุ่มแบบนั้นได้ยังไง ช่างสวยงามเหลือเกิน เรานั่งอยู่ตรงนั้นซักพักเพื่อสูดอากาศเย็นสบาย ต่อจากลานหินปุ่ม เราก็มาที่ผาชูธง ท้องฟ้าไม่ใส แต่เมฆลอยต่ำมาก หมอกจางๆลอยผ่านหน้าเราไป อากาศสดชื่นมาก เจอ แก๊งค์คุณป้าใจดี ถามว่าเรามากันยังไง จะไปไหนต่อ พอดีว่าป้าไปคนละเส้นทางกับเราเลย อดพ่วงเราไปด้วย แต่ป้าก็แนะนำที่พักที่ทับเบิกให้เรามา
ไว้มาต่อนะคะ
[CR] สอง 'สาว' สู่ สอง 'ภู' (ภูหินร่องกล้า ภูทับเบิก) ด้วยงบ 1000 บาท ,, ตามหาความหมายของสวรรค์ :)
"ภูทับเบิก" คงเป็นสถานที่ที่อยู่ในใจใครหลายๆคน ทั้งคนที่เคยไปเยือนมาแล้วและคนที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไป
ซึ่งเราเองเป็นคนกลุ่มหลัง ที่แอบหลงรักภูทับเบิกแต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปถึงและสารภาพรักภูทับเบิกตรงๆสักที
จนเพื่อนสาว ส่งรีวิว ของรุ่นพี่ที่ไปเที่ยวภูทับเบิกมาให้ดู และชวนด้วยคำง่ายๆคือ
“ไปลำบากกัน”
ทริปนี้จึงเป็นทริปที่ เราสองคน คิดจะ backpack กัน 2 วัน 2 คืน และโบกรถ อย่างจริงจัง
plan ของพวกเรา คือ ไม่มี plan
มีแค่ความตั้งใจที่จะไป ภูหินร่องกล้า ต่อด้วยขึ้นไปนอนที่ภูทับเบิก ดูพระอาทิตย์ขึ้น และไปไหว้พระที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว แค่เท่านั้น
แต่หากจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากความตั้งใจก็ไม่มีปัญหา (:
นอกจากนั้น ทริปนี้ยังเป็นทริปที่หวังพึ่งน้ำบ่อหน้าล้วนๆ !
แล้ววันเดินทางซึ่งให้หลัง จากวันที่เพื่อนชวนไม่นานก็มาถึง
เรามาหมอชิต ตอนประมาณ 1 ทุ่ม เพื่อหารถไปยัง พิษณุโลก ซึ่งรถที่เรานั่งคือ รถของ พิษณุโลกยานยนตร์
สิ่งที่อยู่เหนือการคาดหมายเกิดขึ้นได้เสมอ ที่นั่งของสองเราต้องเลื่อนเพราะมีคนนั่งอยู่แล้ว และรถคันที่เราต้องนั่งจริงๆเสีย เลยต้องเป็นรถคันนี้ ช่างเป็นการต้อนรับการเดินทางไกลของเราได้ดี แต่พี่พนักงานเดินรถของรถคันนี้ก็น่ารักมาก ได้ของสมนาคุณ เป็นขนมหนึ่งชิ้นและน้ำหนึ่งขวด
ล้อหมุนตอน 5 ทุ่ม ซึ่งถึงขนส่ง พิษณุโลก ตอนประมาณ ตี 3.30
เรามาที่ขนส่งพิษณุโลกเพื่อที่จะต่อรถขึ้นไปยังนครไทย ซึ่งช่องขายบัตร เปิด ตอน ตี 5 และรถคันแรกออกตอน ตี 5 ครึ่ง เราก็นั่งรอ นอนรอกันสักพัก จนตี 5 ช่องขายบัตรก็เปิด เที่ยวรถ พิษณุโลก- นครไทย สนน ราคาที่อยู่ที่ 73 บาท เป็นรถแอร์ เบาะนุ่ม แต่คนแน่น 5555 ในช่วงแรกที่รถออกตัว เราสองคนก็หลับกันไม่รู้เรื่อง
ตื่นมาอีกที พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นตรงหน้าเราแล้ว บรรยากาศระหว่างทางสวยงามมากกกกกกก เมฆก็สวย ภูเขาก็สวย ต้นไม้ก็สวย ทุกอย่างสวยงามอย่างกับภาพในฝันเลย
เราถึงนครไทยประมาณ 7 โมง เป้าหมายต่อไปคือ โบกรถ ไปยังอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
เดินไปโบกไป ก็ยังไม่มีรถคันไหนจะไปเส้นทางเดียวกับเราซักที จนมีพี่สาวที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยว เรียกให้เข้ามาพักที่ร้านก่อน พี่สาวคนนั้นก็คือ พี่โอ๋ พี่โอ๋บอกว่าเค้าเป็นคนภูหินร่องกล้า เดี๋ยวจะถามแฟนให้ว่าวันนี้จะลงมาข้างล่างมั๊ยจะให้รับเราสองคนติดรถขึ้นไปด้วย ความรู้สึกดีเกิดขึ้นทันที พี่เค้าใจดีมากๆ โทรหาคนโน้นคนนี้ให้ สรุปคือจะมีน้อยชายเค้าลงมา แต่จะลงมาประมาณ เที่ยง ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลาเพียง 8 โมง เราสองคนปรึกษากันว่าจะเอายังไงกันดี เลยตัดสินใจว่า กินก๋วยเตี๋ยวพี่เค้าก่อนแล้วกัน แหะๆ คือหิวไง
ก๋วยเตี๋ยวของพี่โอ๋ เป็นก๋วยเตี๋ยวไก๋ตุ๋น น้ำใส๊ใส กับผักแม้ว อร่อยลื้มมมม ถ้าใครผ่านไปอย่าพลาดนะ ต้องกินนะ “ร้านคนภูหินร่องกล้า” ก๋วยเตี๋ยวอร่อยกับแม่ค้าใจดีเป็นการต้อนรับที่น่ารักของการเดินทางที่รออยู่ (:
พอกินก๋วยเตี๋ยวและกาแฟ โอวัลตินอะไรเสร็จ เราเลือกที่จะร่ำลาพี่โอ๋และเตรียมเข้าตลาดไปหารถโบกขึ้นภู แต่ไม่ลืมที่จะบันทึกเบอร์ที่ร้านพี่เขาไว้ เผื่อมีรถหรือไม่มีจะได้โทรรายงาน พี่เขาจะได้ไม่เป็นห่วง
เดินไปโบกไป จนไปเจอกับ รถกระบะคันหนึ่ง เหยื่อของเรามาแล้ว พี่เขาเป็นทหาร และอาสาที่จะไปส่งที่ตลาดให้
รถเคลื่อนไปยังเส้นทางไหนก็ไม่รู้ เป็นเส้นทางแปลกตาบนถนนเส้นเล็กๆ สองข้างทางเป็นชุมชนของชาวบ้าน อากาศเช้าปะทะหน้าพวกเรา สดชื่นบอกไม่ถูก ในใจก็ตื่นเต้นดีใจกับรถคันแรก 5555 รถแล่นไปได้ไม่นาน พี่ทหารก็หยุดอยู่หน้าสิ่งก่อสร้างบางอย่างที่ดูเหมือนวัด และเปิดกระจกมาตะโกนบอกพวกเราว่า นี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนที่นี่ พ่อขุนบางกลางท่าว โห อะไรจะดีขนาดนี้ พามาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย พี่เขาดูใส่ใจมากๆ
รถเคลื่อนไปเรื่อยๆ ข้างทางเป็นธรรมชาติที่สวยงาม มีทุ่งข้าว ต้นไม้ใบไม้ก็ดูดีไปหมด รถเคลื่อนมานานไปสมควร นานพอให้เราสองคนมานึกได้ว่า นี่มันไม่ใช่ทางไปตลาดเว่ยมึ๊งงงงงงง แต่อีก 20 กิโลนี่ ภูหินร่องกล้าแล้ว
ใช่!!!! พี่เค้ามาส่งเรา มาส่งเราสองคนถึงที่ เขาพาเรามาทั้งๆที่เส้นทางนี้เค้าไม่ต้องผ่านมาก็ได้ เห้ย ทำไมดีขนาดนี้
เราสองคนเห็นตรงกันว่า “พี่เค้าใจดีมากไปแล้ว ทั้งๆที่เราไม่รู้จักกัน ไม่ได้เป็นอะไรกัน เค้าทำแบบนี้กับพวกเราทำไม” พร้อมน้ำตาที่ปริ่มมาขอบตาด้วยความตื้นตันใจ
การเดินทางครั้งนี้ แค่เริ่มต้น ก็ทำให้เราสองคน มีทัศนคติต่อผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป คนที่ใจดีจนเหลือเชื่อยังมีอยู่จริงๆเว่ย เมืองไทยผู้คนยังมีน้ำใจอยู่ เมืองหลวงอาจวุ่นวายและเร่งรีบจนเราไม่มีเวลาใส่ใจกับสิ่งรอบตัว แต่การออกมาเดินทางมันทำให้เราเห็นว่าในตัวคนทุกคนยังมีด้านสวยงาม ยังมีน้ำใจเผื่อแผ่สำหรับคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งกับคนแปลกหน้าอย่างพวกเราเสมอ
ด้วยการที่ไม่รู้จะตอบแทนอะไรพี่เขา เรามองหาสิ่งรอบตัว ซึ่งมีเพียงเอากระดาษสมุดกะปากกาเท่านั้น เราจึงเริ่มลงมือเขียนการ์ด ขอบคุณพี่ทหาร กันอยู่หลังรถนั่นแหละ กระดาษแผ่นนั้นมันเล็กเกินไปด้วยซ้ำที่จะเขียนคำขอบคุณและความรู้สึกดีๆให้พี่เค้า แต่พี่คะ พี่สอนพวกหนูสองคน ให้มีแนวทางในการเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีแล้ว พอหนูโตพอที่จะตอบแทนคนอื่นๆได้แล้ว หนูจะใจดีแบบพี่
พอถึงภูหินร่องกล้า เราขอบคุณและร่ำลากับพี่ทหาร และพวกเราพร้อมแล้ววว สำหรับการเดินป่า หัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก เราเริ่มด้วยการเดินไปยัง ลานหินปุ่ม ระหว่างทางทุกอย่างสวยงาม (สวยงาม คำนี้คุณจะเจอในรีวิวนี้ไม่ต่ำกว่า 100 ครั้ง) เดินไปเรื่อยๆก็เจอ หินรูปร่างต่างๆ เจอดอกไม้ป่า เจอน้องแมลงที่ดูรักพวกเราเหลือเกิน ตอมตั้งแต่เข้าป่ายันออกจากป่า การเดินป่าทำให้เราทำอะไรๆช้าลง ให้เรามีความละเอียดในการมองสิ่งต่างๆรอบตัว พอเราใส่ใจกับรายละเอียดมากขึ้น ทุกอย่างในป่า ก็สวยงามขึ้นทันที
ลานหินปุ่มเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจ อยากจะรู้ว่าธรรมชาติส่งใครมาสร้างไว้ มันเป็นปุ่มแบบนั้นได้ยังไง ช่างสวยงามเหลือเกิน เรานั่งอยู่ตรงนั้นซักพักเพื่อสูดอากาศเย็นสบาย ต่อจากลานหินปุ่ม เราก็มาที่ผาชูธง ท้องฟ้าไม่ใส แต่เมฆลอยต่ำมาก หมอกจางๆลอยผ่านหน้าเราไป อากาศสดชื่นมาก เจอ แก๊งค์คุณป้าใจดี ถามว่าเรามากันยังไง จะไปไหนต่อ พอดีว่าป้าไปคนละเส้นทางกับเราเลย อดพ่วงเราไปด้วย แต่ป้าก็แนะนำที่พักที่ทับเบิกให้เรามา
ไว้มาต่อนะคะ