เพิ่งกลับมาจากเกาหลีเมื่อวันพุธตอนกลางคืนที่ผ่านมาพร้อมกับบาดแผลที่นิ้ว
จริงๆ แล้วเราจะต้องบินกลับวันอังคารแต่เผอิญมีอุบัติเหตุ 2.5 ชั่วโมงก่อนบิน ก่อนอุบัติเหตุนั้นเราเรียกแท็กซี่จะไปสถานีรถไฟใต้ดินเพราะเริ่มสายแล้ว พอดีมีของเยอะเลยนั่งข้างหน้าแทนแต่เผลอเอามือขวาไปจับขอบประตูหลัง แท็กซี่ปิดประตูเพื่อจะเอาของใส่บนเบาะหลังประตูเลยหนีบตรงนิ้วกลาง ถึงแม้จะไม่ได้ปิดแรงเลยก็ได้ยินเสียงเปราะ พอมองดูแผลก็เห็นกระดูกตรงนิ้วกลางเพราะเลือดยังไม่ออก เราเกรงว่ากระดูกจะหักและคนที่มาช่วยอีกคนนึงเห็นเข้าก็แนะนำให้ไปโรงพยาบาลแทนที่จะไปสนามบิน
คนขับแท็กซี่เกาหลีพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่พอรู้เป็นบางคำ เขาขอโทษเราและเอาพลาสเตอร์ 2 ผืนปิดแผลให้ก่อนที่จะขับรถไปคลินิคกระดูก พยาบาลที่คลินิคพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเหมือนกันแต่หมอพูดพอได้ ระหว่างที่รอคิวอยู่นั้น แท็กซี่ก็ให้ยืมโทรศัพท์เพื่อที่จะติดต่อสายการบินและเพื่อนๆ ของเรา ขอตัดเรื่องให้สั้นลงนะครับ แท็กซี่คนนี้เป็นคนดีมากๆ จ่ายค่าทำแผลทุกอย่างเลย เราบอกไม่เป็นไรแต่เขาก็ยังยืนยันที่จะจ่าย เราไม่รู้นะว่าราคาเท่าไหร่แต่คงแพงน่าดูเพราะมี X-ray กับเย็บแผลด้วย จริงอยู่ที่แท็กซี่น่าจะมีประกันแต่เรารู้สึกดีมากๆ ที่เขารับผิดชอบอย่างเต็มที่ เขายังให้ข้อมูลการติดต่อของเขาและถามข้อมูลติดต่อของเราด้วยเพื่อที่จะจ่ายค่าล้างแผลให้เราที่เมืองไทย
หลังจากนั้น แท็กซี่ก็ช่วยหาโรงแรมราคาถูกให้ที่กรุงโซลเพราะโรงแรมในโซลโดยทั่วไปแล้วจะแพงมาก เขาเจอโรงแรมที่นึงแต่พอดีไม่มีห้องว่างเราตัดสินใจไปสถานีรถใต้บินแทนเพราะไม่ต้องการให้แท็กซี่เสียเวลา ระหว่างทางที่กำลังจะไปถึงนั้นก็ขับรถผ่านกลุ่มนมัสการนอกโบสถ์และคนที่นั่นก็ร้องเพลง "พระเจ้ายิ่งใหญ่" กัน เราถ่ายวีดีโอกลุ่มนมัสการนั้นและแท็กซี่ก็ถามเป็นภาษาอังกฤษว่า "คุณ คริสเตียน?" เราก็บอกใช่และพอถามไปถามมาก็พบว่าเขาเป็นคริสเตียนเหมือนกันและเรามั่นใจว่าเขาบังเกิดใหม่ด้วย พอถึงสถานีแล้วเขาก็บอกเราอีกครั้งว่าเขาจะจ่ายค่าล้างแผลของเราที่เมืองไทย เราบอกไม่เป็นไรแต่เขาก็พยายามให้เงินเราแทน! เราปฏิเสธไปเพราะเขาจ่ายให้เยอะมากพอแล้ว
ประสบการณ์นี้ทำให้เราระลึกถึงอุปมาของพระเยซูเรื่องคนดีชาวสะมาเรีย แท็กซี่คนนี้รับผิดชอบทุกอย่างและยังเต็มใจจะจ่ายเพิ่มอีก คนเกาหลีไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนเพราะเราก็เจอคนเกาหลีบางคนที่นิสัยไม่ดีด้วย บอกตามตรงว่าเราไม่มีความรู้สึกไม่ดีกับแท็กซี่คนนี้เลย
อุบัติเหตุเล็กๆ ที่เกาหลีแต่เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจมาก
จริงๆ แล้วเราจะต้องบินกลับวันอังคารแต่เผอิญมีอุบัติเหตุ 2.5 ชั่วโมงก่อนบิน ก่อนอุบัติเหตุนั้นเราเรียกแท็กซี่จะไปสถานีรถไฟใต้ดินเพราะเริ่มสายแล้ว พอดีมีของเยอะเลยนั่งข้างหน้าแทนแต่เผลอเอามือขวาไปจับขอบประตูหลัง แท็กซี่ปิดประตูเพื่อจะเอาของใส่บนเบาะหลังประตูเลยหนีบตรงนิ้วกลาง ถึงแม้จะไม่ได้ปิดแรงเลยก็ได้ยินเสียงเปราะ พอมองดูแผลก็เห็นกระดูกตรงนิ้วกลางเพราะเลือดยังไม่ออก เราเกรงว่ากระดูกจะหักและคนที่มาช่วยอีกคนนึงเห็นเข้าก็แนะนำให้ไปโรงพยาบาลแทนที่จะไปสนามบิน
คนขับแท็กซี่เกาหลีพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่พอรู้เป็นบางคำ เขาขอโทษเราและเอาพลาสเตอร์ 2 ผืนปิดแผลให้ก่อนที่จะขับรถไปคลินิคกระดูก พยาบาลที่คลินิคพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเหมือนกันแต่หมอพูดพอได้ ระหว่างที่รอคิวอยู่นั้น แท็กซี่ก็ให้ยืมโทรศัพท์เพื่อที่จะติดต่อสายการบินและเพื่อนๆ ของเรา ขอตัดเรื่องให้สั้นลงนะครับ แท็กซี่คนนี้เป็นคนดีมากๆ จ่ายค่าทำแผลทุกอย่างเลย เราบอกไม่เป็นไรแต่เขาก็ยังยืนยันที่จะจ่าย เราไม่รู้นะว่าราคาเท่าไหร่แต่คงแพงน่าดูเพราะมี X-ray กับเย็บแผลด้วย จริงอยู่ที่แท็กซี่น่าจะมีประกันแต่เรารู้สึกดีมากๆ ที่เขารับผิดชอบอย่างเต็มที่ เขายังให้ข้อมูลการติดต่อของเขาและถามข้อมูลติดต่อของเราด้วยเพื่อที่จะจ่ายค่าล้างแผลให้เราที่เมืองไทย
หลังจากนั้น แท็กซี่ก็ช่วยหาโรงแรมราคาถูกให้ที่กรุงโซลเพราะโรงแรมในโซลโดยทั่วไปแล้วจะแพงมาก เขาเจอโรงแรมที่นึงแต่พอดีไม่มีห้องว่างเราตัดสินใจไปสถานีรถใต้บินแทนเพราะไม่ต้องการให้แท็กซี่เสียเวลา ระหว่างทางที่กำลังจะไปถึงนั้นก็ขับรถผ่านกลุ่มนมัสการนอกโบสถ์และคนที่นั่นก็ร้องเพลง "พระเจ้ายิ่งใหญ่" กัน เราถ่ายวีดีโอกลุ่มนมัสการนั้นและแท็กซี่ก็ถามเป็นภาษาอังกฤษว่า "คุณ คริสเตียน?" เราก็บอกใช่และพอถามไปถามมาก็พบว่าเขาเป็นคริสเตียนเหมือนกันและเรามั่นใจว่าเขาบังเกิดใหม่ด้วย พอถึงสถานีแล้วเขาก็บอกเราอีกครั้งว่าเขาจะจ่ายค่าล้างแผลของเราที่เมืองไทย เราบอกไม่เป็นไรแต่เขาก็พยายามให้เงินเราแทน! เราปฏิเสธไปเพราะเขาจ่ายให้เยอะมากพอแล้ว
ประสบการณ์นี้ทำให้เราระลึกถึงอุปมาของพระเยซูเรื่องคนดีชาวสะมาเรีย แท็กซี่คนนี้รับผิดชอบทุกอย่างและยังเต็มใจจะจ่ายเพิ่มอีก คนเกาหลีไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนเพราะเราก็เจอคนเกาหลีบางคนที่นิสัยไม่ดีด้วย บอกตามตรงว่าเราไม่มีความรู้สึกไม่ดีกับแท็กซี่คนนี้เลย