@@@@@-------- เรื่องเล่าสบายๆ.....สไตล์ช้อยชบา ----------@@@@@ ( ตอนที่ 1 สาวโรงงาน)

กระทู้สนทนา
เรื่องเล่าจากกระทู้เดิมตามลิ้งค์ที่แอบซ็อนซ่อนเงื่อนอยู่ด้านล่างนี้ค่ะ หาอ่านได้ไม่ยากเพราะมาแปะให้อ่านกันง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่เตรียมสายตามาให้ดีๆ เพราะเล่าสั้นๆไม่เป็นง่ะ เพี้ยนเพลีย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

--------------------------------------------------


เล่าประสบการณ์เรื่องทำกาแฟแล้วมีคนอยากให้เล่าเรื่องอื่นๆด้วย มีหลายเรื่องที่อยากเล่าสมัยที่ทำงานที่ไทย
ตอนแรกๆที่เขียนกะเล่าชีวิตกรรมกรกาแฟในต่างประเทศ กะเล่าแล้วก็จบ แต่เล่าไปเล่ามาเริ่มบ้านำ้ลาย เลยมาเล่าย้อนแต่แรกกันดีกว่าเน๊อะ

.....มาเขียนเล่าในห้องไกลบ้าน คนส่วนใหญ่ก็จะเล่าชีวิตในต่างแดน ว่าชีวิตความเป็นอยู่ รึการทำงาน การใช้ชีวิตต่างบ้านต่างเมืองมันเป็นอย่างไร แต่ช้อยแม่มเพี้ยน
เล่าเรื่องตอนทำงานที่อยู่ไทย ประหลาดคนดีแท้ เพี้ยนเงือก

อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจกันหน่อย เพราะเนื้อเรื่องมันสลับฉากไปมาเหมือนสตาร์วอร์เล่าเรื่องตอนท้ายๆก่อนแล้วค่อยมาเล่าชีวิตในวัยเด็กทีหลัง

ตอนนี้ขอย้อนเล่ากลับไปชีวิตการทำงานที่ไทยบ้างดีกว่า
คลิ๊กเข้ามาอ่านแล้วนึกว่าโรงงานในต่างประเทศ  ไม่ช่าย!!!!โรงงานในไทยนี่เเหล่ะ หลวมตัวเข้ามาอ่านแล้วก็อ่านต่อไปนะเค๊อะ!!!เพี้ยนแว๊น





เรื่องราวของช้อยชบา.......

สังคมคนทำงานเงินเดือนที่ไทย.....ใช้ชีวิตเป็นกรรมกรในโรงงาน โรงไม้โรงเหล็ก.....
ตอนที่จขกท. จบมาๆใหม่ๆเพื่อนๆในรุ่นส่วนใหญ่จะได้งานทำกันหมดแล้ว จขกท. มัวอกหัก รักคุ้ดคู้ กลับไปรักษาแผลใจ กลับไปหาครอบครัวรักเก่าที่บ้านเกิด ครอบครัวเราเองนั่นแหล่ะที่จะช่วยรักษาจิตใจเม่าโศก
อันเปราะบางในขณะนั้น  มานั่งนึกย้อนเรื่องเก่าๆแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้

ผิดหวังจากความรักคิดว่าชีวิตนี้ชั้นจะไม่กลับมาเหยียบเมืองกรุงอีกแล้ว วันๆนั่งๆนอนๆอยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้าน นอนจ้องจิ้งจกจะขรี้ใส่ตาเรารึเปล่าจ้องมันทั้งวัน บางครั้งก็ออกไปช่วยพี่สาวขายผลไม้บ้าง
วันดีคืนดีมีรถมาจอดซื้อผลไม้ แต่ไม่ได้มาซื้อมากมาย มาชวนจขกท. ไปเป็นหางเครื่อง 555
พี่สาวจขกท. ขำกร๊าก  บอกช้อยมันเต้นไม่เป็นหรอก มันได้แต่ระบำรำฟ้อนแบบรำอวยพร รำนู่นนี่ มาให้เต้นๆเป็นสาวหางเครื่องมันทำไม่ได้หรอก  ป้าที่มาชวนบอกแหม่ เสียดายหน่วยก้าน ( จริงอ่ะป้า? ป้ามองอย่างไรว่าช้อยหน่วยก้านดี ?? ลืมถามเมื่อ 19 ปีที่แล้ว )เม่าอดีต

แม่จขกท. เป็นคนดุๆไม่เคยพูดจาหวานๆกับลูกๆ แม่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งแม่คงเห็นช้อยอาการแย่ อกหักคั่กๆเลยลูกเอ๋ย....ชวนช้อยขับแมงกะไซด์ไปซื้อผัดไทยชื่อดัง  แม่จขกท. บอกกินที่ร้านเถอะ แต่ช้อยไม่อยากนั่งที่ร้าน ไม่อยากเจอผู้คน
เบื่อคำถามต่างๆ เรียนจบแล้วทำอะไร เป็นอะไร นู่นนี่นั่น เพราะเเม่รู้จักคนเยอะ ไปตลาดทีกว่าจะได้กลับบ้านร่ำลากันเป็นสิบรอบไม่ได้กลับสักที

พอจขกท. ย้อนกลับเสียงแข็งบอกว่าไม่อยากกินที่ร้าน  เป็นครั้งแรกที่แม่จขกท.พูดว่าไม่กินที่นี่ใส่ห่อกลับบ้านก็ได้ เพราะถ้าเป็นแต่ก่อนบังอาจมาทำเสียงแข็ง หนูไม่กินที่นี่!!!!
ได้โดนตบตกรถแน่ แต่วันนั้นแม่ยอม ขับมอเตอร์ไซด์ด๊อกแด๊กไปปาดนำ้ตาไป เพราะถุงผัดไทยที่แม่วางไว้ข้างขาโคตรร้อนเลย...

อยู่ดีๆวันหนึ่งรุ่นพี่ที่เรียนมาด้วยกันก็ขับรถมาหาที่บ้าน  เค้าคนนั้นชื่อกานต์.....ไม่ช่าย......มันคือพี่ไม้...
พี่ไม้คือรุ่นพี่ตั้งแต่สมัยอนุปริญญาและระดับปริญญาอยู่กันคนละห้องทั้งสองสถาบัน เป็นรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าจขกท. 3ปี แต่เรียนรุ่นเดียวกัน เรียกพี่แต่พูดแกพูดชั้นไม่รู้จะเรียกพี่ทำไม พี่ไม้คงนึกด่าช้อยอยู่ในใจ ตกลงแกเคารพชั้นจริงๆรึเปล่าวะนังช้อย??
เรื่องเล่าของพี่ไม้นี่มีเยอะ ขอติดเอาไว้ก่อน แต่ขอเล่ารเื่องของตัวเองก่อนนะ เดี๋ยวคนอ่านจะหลับใน ....เม่าอ่าน

พี่ไม้มาตามที่บ้าน ถามว่าแกเป็นบ้าอะไร จบแล้วทำไมไม่หางานทำมันจะห้าเดือนแล้วนะแก มานอนมองจิ้งจกอยู่อยู่ได้  ตอบพี่ไม้ไปว่าช้อยดอนท์แคร์ มีข้าวกิน มีที่นอนมีชีวิตปกติดี พี่ไม้ก็สอนๆกึ่งๆด่านั่นแหล่ะ ว่าโตแล้วนะแกทำตัวปัญญาอ่อนอยู่ได้
เถียงกลับไปว่าใช่ซี้แกมันคนไม่มีความร๊ากกก!!!!
แต่ก็ตามพี่ไม้เข้ากรุงมาอีกรอบ ด้วยหัวใจอันบอบช้ำ เห็นทุกที่ๆเราเคยไปเดินด้วยกับใครคนนั้น โอ้ย!!!!เศร้าหลายๆ ถ้ามีฝนตกคงลงไปเดินตากฝนทำตัวป็นนางเอกมิวสิคแน่ๆ พูดไปงั้นแหล่ะจริงๆไม่ลงไปเพราะขี้เกียจ นอนกระดิกเท้าให้โซฟามันยุบดีกว่าเม่าฝนตก

ตอนกลับมากรุงเทพ มาอาศัยอยู่กับเพื่อนร่วมรุ่นที่พัฒนาการ  เพื่อนชื่อม่อนก่อนจะไปทำงานพื่อนถามเช้าเย็นว่าแกกินข้าวแล้วรึยัง เดินเข้ามาดูใกล้ๆเห้ยมันยังไม่ตาย ยังหายใจอยู่เว้ย!!!! โทรไปเมาท์กับเพื่อนอีกคน ช้อยแมร่งอาการหนักหว่ะอุ๋ย
มันนั่งโซฟากรู จนยุบไปหนึ่งเบาะ ก่อนออกจากบ้านเห็นช้อยมันนั่งตรงนี้ กลับมาช้อยแมร่งมันก็นั่งตรงนี้ แต่มันยังหายใจหว่ะ มันยังไม่ตาย  เดือดร้อนถึงเพื่อนอุ๋ย มาเยี่ยมเยียน
ถ้าอุ๋ยจับจขกท. แต่งตัวได้ อุ๋ยคงทำไปแล้ว เพราะจขกท. ไม่ทำอะไรเลยจริงๆ นอกจากนั่งดูสมรักษ์ชนะโอลิมปิคเกมส์ วันๆก็นั่งอยู่ที่เดิมตำแหน่งเดิม ปัจจุบันนี้ม่อนก็ยังยืนยันว่าโซฟาที่เรานั่งมันไม่คืนตัว ยุบไปหนึ่งเบาะตามความหนักของตรูดแกหน่ะนังช้อย!!!!อมยิ้ม20

และเเล้ววันหนึ่งพี่ไม้ก็มาหา บอกว่าแกไปสมัครงานที่ชั้นทำงานนะเค้าเปิดบริษัทใหม่ เค้าต้องการดีไซน์เน่อร์ประจำโรงงาน  บอกสถานที่เวลาเรียบร้อย พอไปถึงสภาพจขกท. นี่เหมือนไปฟัดกับหมามาเลย  คือนั่งรถจากกรุงเทพจากพัฒนาการไป
โรงงานที่มหาชัย ลงรถเมลย์ที่ไปถึงมหาชัยเมืองใหม่ แล้วต้องนั่งมอเตอร์ไซด์ไปอีก เกือบ 2 km.  แต่มันเป็นทางหลวงรถวิ่งกันหลายช่องทาง

พอขึ้นมอเตอร์ไซด์ปุ๊ป ฝนตกลงมาห่าใหญ่ปั๊บ ยังไม่ถึงที่สัมภาษณ์งานเลย  พอไปถึงที่ป้อมยามบริษัทฝนไม่มีเค้าสักนิด พี่ไม้ให้ลูกน้องมารอรับและพาเข้าไปในบริษัท พี่ไม้มองจขกท. หัวจรดเท้า แกไปตกนำ้ที่ไหนมาวะเนี่ย คือสภาพมันเยินมากๆ
และจขกท. ไม่ได้เกล้าผม นั่งมอเตอร์ไซด์ บิดด้วยความเร็วตามถนนใหญ่ทางหลาวง ใส่กระโปรงสีครีม ใส่เสื้อสีนำ้เงินลายดอก แต่กระโปรงมีลายขี้โคลนแปะๆแบบศิลปะที่ไม่ได้ตั้งใจ
บอกพี่ไม้ว่าฝนตกก่อนมา พี่ไม้ส่ายหัว ฝนอะไรของแก๊!!!!! ที่นี่มันไม่มีฝนสักเม็ด ไม่เชื่ออีกนึกว่าช้อยอกหักจนเพี้ยนเดินตกหลุมตกร่องแล้วมั่วว่าฝนตก  ต้องไปยืนตากแอร์ที่บริษัทพี่ไม้อีกนานกว่ากระโปรงจะเเห้ง

ช่วงบ่ายมีสัมภาษณ์งานกับน้องชายเจ้าของบริษัท เค้าเห็นใบสมัครเค้าก็ยิ้มๆ บอกแหม่เพิ่งจบใหม่ประสบการณ์ยังไม่มีเรียกเงินเดือนซะสูงเชียวนะ  ตอบแบบมั่นๆว่า ไม่มีประสบการณ์ก็จริงค่ะ แต่หนูเป็นคนตั้งใจทำงาน ถ้ามั่นใจในตัวหนูคิดว่าหนูทำได้ก็อยากให้รับไว้พิจารณาค่ะ คำตอบคุ้นๆเหมือนตอนสมัครทำกาแฟเลยเน๊อะ ใช้มันทุกที่ๆไปสมัครงาน  หน้าด้านไว้ก่อนได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที

น้องชายเจ้าของบริษัทก็มองเราแบบยิ้มๆแล้วถามว่าเริ่มงานได้เมื่อไร ตอบว่าเมื่อไรก็ได้ค่ะ พราะหนูไม่ได้ทำงานที่ไหน  นึกถึงทุกวันนี้เค้ารับเราเพราะเอ็นดูว่าสภาพเหมือนลูกหมาตกนำ้ รึเรามีพลังอะไรบางอย่าง??เม่าปัดรังควาน





ภาพประกอบ...สายตาอันร้ายเดียงสาของช้อยตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่