สุดที่รักพิทักษ์เธอ บทที่ 3 – คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก

กระทู้สนทนา


ติ๊ง

      เสียงข้อความสนทนาออนไลน์ดังเตือนจากกระเป๋าสะพายของคุลิกาขณะเธอกำลังลุกขึ้นเก็บข้าวของจากโต๊ะทำงานซึ่งเป็นคอกกั้นระหว่างพนักงานแต่ละคนในแผนกคอล เซ็นเตอร์แห่งบริษัทโทรศัพท์ T เพื่อลงไปทานอาหารกลางวันที่คาเฟ่ชั้นสาม

เสียงสัญญาณเรียกเข้าของโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะประจำตัวพนักงานดังอยู่เป็นระยะ แต่ก็เว้นช่วงกว่าเมื่อตอนเช้าซึ่งเกิดเหตุเครือข่ายล่มสิบนาทีมากแล้ว คุลิกาขอบคุณสวรรค์ที่วันนี้ไม่ใช่เวรของเธอที่ต้องคอยอยู่รับโทรศัพท์ช่วงพักเที่ยงเป็นผลัดแรก เพราะเธอรู้สึกเหมือนโรคกระเพาะเพื่อนเก่ากำลังจะกลับมาเล่นงานอีกครั้ง

         “เค้กจ๋า อัลบั้มที่เค้าให้ตัวไปดูวันก่อน มีคนไหนถูกใจอยากให้ดีลให้บ้างป่ะ” ชมพูนุช เพื่อนสาวคนสนิทซึ่งโต๊ะทำงานของพวกเธอหันหลังชนกันพอดีเอ่ยถามพลางลุกขึ้นเดินตามคุลิกาออกมาด้วย

      หญิงสาวย่นจมูก “ไม่เอาหรอกนุช แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบพวกนักกฎหมาย พวกนั้นหัวหมอจะตาย ใครจะไปอยู่ด้วยไหว”

           เพื่อนสาวร่างตุ้ยนุ้ยผู้มีอาชีพเสริมเป็นเอเย่นต์จากบริษัทจัดหาคู่หยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากด้านหลังเหมือนนักมายากลเสกของมาจากอากาศ “แต่นแต๊น แต่วันนี้เค้ามีแคเตกอรี่ใหม่มาให้ตัวดู แต่ละคนเป็นเจ้าของกิจการของตัวเอง อายุยี่สิบเจ็ดถึงสามสิบห้า สถานะโสด และที่สำคัญ ไม่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อนเลยจ้า”

      คุลิกาหัวเราะอย่างแกนๆ ขณะล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู คิ้วเรียวขมวดวุ่นเมื่อเห็นชื่อคนส่งข้อความเป็นชายหนุ่มผู้ขับรถมาส่งพวกเธอที่บ้านเมื่อสองสามวันก่อน



    ว่างแล้วช่วยโทร.มาด้วย ผมมีเรื่องสำคัญจะบอก



    ถัดจากข้อความนั้นก็เป็นรูปตัวการ์ตูนที่แสดงท่าทางเคร่งขรึมเอาจริงเอาจัง

หญิงสาวร่างเพรียวซึ่งวันนี้อยู่ในชุดเครื่องแบบพนักงานอันประกอบด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ผูกผ้าพันคอสีส้มและสวมกระโปรงสั้นเหนือเข่าสีเดียวกันครุ่นคิดทันทีว่านายขี้เก๊กเจ้าของอู่แต่งรถอาจจะมีเบาะแสเรื่องพ่อของออกัสมาบอกเธอ จึงบอกให้เพื่อนสนิทล่วงหน้าไปที่คาเฟ่ก่อน ส่วนตนเองแวบมาเข้าห้องน้ำและกดโทรศัพท์ไปยังคนไม่ชอบหน้า

         “ฮัลโหล คุณมีอะไรจะบอกฉันหรอ” เธอพูดทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย

    ดูเหมือนเขาจะไม่แปลกใจกับเสียงมะนาวไม่มีน้ำของเธอ “ผมถามข้อมูลจากพ่อผมให้แล้วนะ เรื่องเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนพ่อที่ติดต่อเซ้งอู่ให้ผมน่ะ”

         “อืม แล้วรู้หรือยังว่าเจ้าของอู่คนเก่าตอนนี้อยู่ที่ไหน” คุลิการอคอยคำตอบอย่างตื่นเต้น

          “ไม่รู้ เพราะเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนพ่อผมคนนั้นเขาตกบันไดตายไปตั้งแต่ปีก่อนโน้นแล้วน่ะ” ภุชงค์ตอบด้วยเสียงหนักใจ

          คุลิกาถอนหายใจอย่างผิดหวัง “พอจะมีทางอื่นที่จะหาข้อมูลต่อได้ไหมล่ะ”

       “มันก็พอมีแหละ แต่ว่า...”

      เมื่อปลายสายเงียบไปนาน คุลิกาเลยต้องถามอย่างเสียไม่ได้ “แต่ว่าอะไร”

             “แต่ว่าก่อนที่เราจะหาข้อมูลต่อ ผมมีเรื่องรบกวนขอความช่วยเหลือจากคุณนิดนึง” เสียงของชายหนุ่มเบาลงไปลิบลับคล้ายกลัวจะมีคนได้ยิน

            “จะให้ฉันช่วยอะไร”

           “คือว่า...อยากให้คุณช่วย...” ได้ยินเสียงปลายสายสูดหายใจลึกและพูดออกมารวดเดียวจบ “...วันพรุ่งนี้แม่ผมจะให้ผมไปนัดดูตัวกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ผมไม่ได้ชอบเธอ คุณช่วยแกล้งมาเป็นผู้หญิงที่โดนผมทิ้งหน่อยได้มั้ย”

           “อะไรนะ!” คุลิกาโพล่งลั่นห้องน้ำหญิง รู้สึกมึนงงมากพอๆ กับฉุนกึก ไม่สนใจว่าเพื่อนพนักงานที่ใช้ห้องน้ำอยู่ติดกันจะตกใจจนภารกิจส่วนตัวชะงักค้างหรือไม่ “นี่คุณเล่นบ้าอะไรของคุณอยู่เนี่ย ไร้สาระสิ้นดี ถ้าไม่มีธุระอะไรฉันวางแล้วนะ”

    “เดี๋ยวซี่ ฟังผมอธิบายก่อน” ชายหนุ่มพูดละล่ำละลัก “ผมรู้นะว่าคุณไม่ชอบหน้าผม”

          “ก็แหงสิ ในเมื่อรู้ตัวแล้วยังจะมาขออะไรบ้าๆ แบบนี้อีก” หญิงสาวจะกดวางสาย แต่หูก็ได้ยินสิ่งที่เขากล่าวกลับมาเสียก่อน

         “ผมกล้าขอเพราะผมก็ไม่ชอบหน้าคุณเหมือนกันนั่นแหละ”

          คุลิกาอ้าปากค้าง จ้องมองผนังห้องน้ำด้วยความไม่อยากเชื่อ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนบอกว่าไม่ชอบหน้าเธอตรงๆ ขนาดนี้ มือของหญิงสาวข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์รวบกำเป็นหมัดแน่น คุลิกากำลังนึกภาพตัวเองสวมชุดเทควันโดสลับเท้าสร้างพายุลูกเตะซัดใส่คนพูดจนเขาลงไปนอนนับดาวบนพื้น

         “พูดง่ายๆ ก็คือ คุณไม่ได้ชอบผม ผมไม่ได้ชอบคุณ เราไม่ได้ชอบหน้ากัน นี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว ผมขอเวลาวันเดียวเท่านั้น คุณไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ระหว่างที่ผมกับผู้หญิงคนนั้นนั่งกินข้าวด้วยกัน คุณก็เดินเข้ามากลางวง แล้วก็ปรี๊ดแตกที่ – ”          

        “ไม่มีทาง” หญิงสาวพูดเสียงกระด้าง “ถ้ามีเวลาว่างมานั่งเพ้อเจ้อแบบนี้ เอาเวลาไปล้างมุ้งลวดเถอะนะ”

    คุลิกากำลังจะวางสายเป็นครั้งที่สอง และก็เป็นอีกครั้งที่วางไม่ได้เพราะได้ยินเขาตอบกลับมาอีกว่า

          “ถ้าคุณไม่ช่วยผม ผมก็จะไม่ช่วยคุณตามหาเจ้าของอู่คนเก่า ข้อตกลงนี้โอเคมั้ยล่ะ”

            “หน็อย คิดว่าฉันง้อหรือไง ฉันสืบเองก็ได้ย่ะ ไม่ต้องรบกวนคุณหรอก” คุลิกาแค่นหัวเราะด้วยความโมโห แต่เขาก็เรียกสติเธอ

       “คุณแน่ใจหรอ ในเมื่อคนเดียวที่จะให้ข้อมูลเราได้เป็นถึงเจ้าแม่หวยใต้ดินที่ไม่ยอมให้ใครเข้าพบง่ายๆ นอกจากคนรู้จัก โชคดีที่พ่อผมคือหนึ่งในคนรู้จักเหล่านั้น อีกไม่นานนี้เขาจะโทร.นัดวันให้ผมได้เข้าพบกับเธอ เรากำลังจะได้รู้แล้วว่าเจ้าของอู่คนเก่า คนที่ทิ้งพี่แป๋ม และคนที่เป็นพ่อของหลานคุณคือใคร”

หญิงสาวกัดฟันกรอด ยิ่งฟังน้ำเสียงกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะรู้ว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบของเขาแล้ว เธออยากจะล้วงมือผ่านโทรศัพท์ไปบีบลูกกระเดือกเขานัก

คุลิกาสงบสติอารมณ์ ต้องยอมรับความจริงว่าเธอคงไม่มีทางเลือก ทางเดียวที่ง่ายที่สุดในการจะได้คำตอบที่เธอค้นหาก็คือต้องยอมทำตามคำขอของนายขี้เก๊กเท่านั้น

           “แต่พรุ่งนี้ฉันต้องทำงาน” เธอตอบอย่างไว้เชิง

      “ไม่ต้องห่วง ผมมีค่าชดเชยการขาดงานให้คุณ ตกลงว่ายอมช่วยผมแล้วสินะ”

          คุลิกาทำปากขมุบขมิบไม่มีเสียง ก่อนพูด “ก็ได้ ฉันจะยอมทำเรื่องงี่เง่านี่ตามที่คุณขอ พอใจแล้วรึยัง”

           “พอใจมาก” ปลายสายลากเสียงยาวด้วยความโล่งอกจนหญิงสาวสัมผัสได้ “งั้นเดี๋ยวรายละเอียดสถานที่กับแผนการ ผมจะโทร.มาบอกอีกทีเย็นนี้แล้วกันนะ”

        “ตามใจสิ” คุลิการับคำอย่างซังกะตาย และกดวางสายโดยไม่พูดอะไรอีก

หญิงสาวเปิดประตูเดินออกจากห้องน้ำพร้อมกับความขุ่นเคือง ทำไมเธอถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ ให้แกล้งเป็นผู้หญิงที่โดนเขาทิ้งงั้นหรือ หลงตัวเองชะมัด เพราะอย่างนี้ไงเธอถึงเกลียดพวกผู้ชาย คุลิกาเคยบอกใครต่อใครไว้แล้วว่าชาตินี้ไม่ขอมีแฟนหรือคนรักให้วุ่นวายชีวิตเด็ดขาด เธอเชื่อว่าผู้หญิงสมัยใหม่พร้อมรับสำหรับการดูแลตัวเองอยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะครองตัวเป็นโสด

           แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่เกลียดความโสด หวาดกลัวที่จะถูกพะหน้าว่าเจ้าแม่คานทอง ธุรกิจบริษัทจัดหาคู่จึงเฟื่องฟูมากขึ้นในรอบหลายปีที่ผ่านมา

         และมันก็น่ารำคาญอยู่ไม่น้อย

        “ตัวเอง เค้าสั่งข้าวมารอให้ตัวเองแล้วน้า เค้ารู้เสมอแหละว่าตัวเองต้องการอะไร” ชมพูนุชพูดเสียงหวานเมื่อกวักมืออวบๆ เรียกให้คุลิกาไปนั่งร่วมโต๊ะในคาเฟ่ขายอาหาร “ก็เหมือนเรื่องหัวใจไง เค้ารู้ว่าตัวเองชอบผู้ชายแบบไหน วันนี้เค้าคัดแต่ดีๆ มาทั้งนั้นเลย ตัวเองนั่งหม่ำข้าวไป เปิดดูไปเพลินๆ ก็ได้นะ”

       “ขอบใจจ้ะ” คุลิกายิ้มแหยพลางนั่งลงด้านตรงข้ามเพื่อนผู้รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ถ้าไม่นับว่าเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ เธอจะเลิกคบไปแล้วจริงๆ ชมพูนุชมักตระเวนนำอัลบั้มรูปผู้ชายพร้อมประวัติไปให้เพื่อนร่วมงานดู และทุกคนก็ตกเป็นลูกค้าของเธอ ยกเว้นแต่คุลิกาคนเดียวเท่านั้นที่ใจแข็ง และนั่นก็ยิ่งกระตุ้นให้ความพยายามของชมพูนุชเพิ่มพูนมากขึ้นเป็นสองเท่า

       “นี่ไง ก็อย่างที่เค้าบอกอ่ะนะ แคเตกอรี่นี้เป็นหนุ่มเจ้าของธุรกิจส่วนตัว” สาวตุ้ยนุ้ยกล่าวต่อพร้อมกับหยิบสมุดอัลบั้มมาเปิดดูเองเมื่อเห็นว่าคุลิกาเอาแต่นั่งกินข้าวหน้าปลาซาบะย่าง ไม่สนใจ ‘สิ่งดีๆ’ ที่เธอนำมาเสนอเลยสักนิดเดียว “อ้า คนนี้เพอร์เฟ็คท์มากเลยนะตัวเอง จบปริญญาโท เปิดร้านขายเครื่องเพชร อาชีพรองคือดีไซเนอร์สะ – ”

        คุลิกาแทรกขึ้นทั้งๆ ที่เคี้ยวข้าวเต็มปาก “พวกเกย์แอ๊บแมนหลอกชาวบ้านชัวร์ ไม่เอาหรอกจ้ะ”

         “หรอ ถ้างั้น...” ชมพูนุชยังไม่ยอมแพ้ พลิกหน้าสมุดอีกสามสี่หน้า “...คนนี้ละเป็นไง สมชาย หลับเสวก อายุสามสิบ เปิดร้านบะหมี่ ‘สมชายหงายเงิบ บะหมี่ที่อร่อยจนคุณต้องหงายเงิบ’ มีแฟนไชร์ทั่วประเทศหกสิบแปดร้าน แล้วก็ – ”

       “อุ๊ย ชื่อเชยแบบนั้น เดี๋ยวโดนเพื่อนล้อตาย ไม่เอาหรอกจ้ะ” สาวสวยว่าก่อนหยิบแก้วชาเขียวปั่นขึ้นดูด หวังให้เพื่อนรำคาญความเรื่องมากของเธอจนถอยกลับไปเอง

           แต่ดูเหมือนคุลิกาจะหวังมากเกินไป

        “ชื่อเชยไปงั้นหรอ มาดูคนนี้ดีกว่า ชื่อไม่เชย แถมหล่อด้วย” ชมพูนุชรุกต่อเสียงใส เปิดกลับมาที่ส่วนหน้าแรกๆ ของอัลบั้ม “คุณภุชงค์ วีระดำรงสกุล อายุยี่สิบแปด เปิดอู่แต่งรถอยู่ที่พัทยา...”

          คุลิกาสำลักน้ำพรวดทันที

          “โห ถูกใจใช่มั้ยล่า บอกแล้วว่าเค้ารู้ใจตัวเองอยู่แล้ว” เจ้าของร่างตุ้ยนุ้ยหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจขณะเพื่อนไอแค่กๆ เธอรีบยื่นอัลบั้มมาตรงหน้าคุลิกา “ดูสิตัวเอง คุณภุชงค์นี่หล่อเว่อร์ขนาดไหน มองเผินๆ ยังกะยองฮวานักร้องนำวง CNBlue ของเกาหลีเลยเนอะ”

            คุลิกาปรายตามองรูปภาพในอัลบั้มหลังจากหายสำลัก คนในรูปนั้นเป็นคนเดียวกับไอ้ขี้เก๊กไม่ผิดแน่ หูของเธอได้ยินเสียงเพื่อนร่างอวบระยะสุดท้ายกล่าวต่อ

           “คนนี้แม่เขาเป็นคนเดินเรื่องเองเลยนะ แบบว่าอยากได้ลูกสะใภ้เต็มทนแล้ว คบกันไม่กี่เดือน ถ้าถูกใจป้าแก ดีไม่ดีได้แต่งงานเชียวนะตัวเอง”

           คุลิกาผลุนผันลุกขึ้นยืน ดันอัลบั้มรูปกลับคืนไปให้เจ้าของ และพูดกระแทกเสียง

          “ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกับฉันต่อ อย่าพูดถึงไอ้หมอนี่ให้ฉันได้ยินอีก เข้าใจมั้ย!”

          แล้วสาวร่างเพรียวก็หมุนกายเดินออกมาอย่างหัวเสีย ทิ้งให้เพื่อนผู้ตุ้ยนุ้ยนั่งกระพริบตาปริบๆ เพราะไม่เข้าใจอะไรเลยว่าตนเองทำอะไรผิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่