จากเฟซบุ๊ด ศาสดา นะครับ เห็นว่าน่าสนใจดี เอาลงมาให้อ่านกัน
https://www.facebook.com/sasdha
"เหตุผลของการเลือกที่จะไม่พัฒนา"
โดย ศาสดา
เคยนั่งคิดเล่นๆ ตอนเห็น ประชาธิปัตย์พยายามลอก นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน 2020 ของเพื่อไทย ในขณะนั้นประชาธิปัตย์พยายามพูดว่านโยบายที่ประชาธิปัตย์จะทำ เงินต้องเอาไปใช้กับการสาธารณสุข กับการศึกษาด้วย โครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่แค่เรื่องของรถไฟนะเว้ย ตอนนั้นฝั่งเพื่อไทยหลายคนคงขำขี้แตกว่าประชาธิปัตย์ตีโจทย์ไม่แตก เพราะยุทธศาสตร์นี้เป้นยุทธศาสตร์ที่ใช้ระบบรางเป็นตัวนำ และจะนำไปสู่การพัฒนาเมือง จะเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมหาศาลซึ่งภาคเอกชนจะรับไม้ต่อเอง
วันนี้ลองฟังคลิปที่หม่อมอุ๋ยพูดเรื่องแคมเปนญ์กระตุ้นเศรษฐกิจ หลักๆจะใช้เงินประมาณ 4 แสนล้าน ที่น่าสนใจคือยังได้ยินการพูดว่าจะพัฒนาลงไปที่โรงเรียน กับโรงพยาบาลอีกแล้ว คือไม่ได้บอกว่า 2 สิ่งนี้ไม่สำคัญนะ สำคัญครับ สำคัญมากด้วย เพียงแต่มันควรใช้งบประจำปีทั่วๆไป มากกว่าจะเอามาเป็นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ยุทธศาสตร์ตอนนี้ที่ต้องทำ คือการจุดระเบิดทางเศรษฐกิจโดยภาครัฐ เนื่องมาจากเราไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกเป็นหัวจักรหลักทางเศรษฐกิจได้อีกแล้ว เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวอีกนาน และภาคธุรกิจไทยที่ติดกับการใช้แรงงานและต้นถูกยาวนาน ปรับตัวไม่ทัน การส่งออกที่ติดลบ และการขาดดุลบัญชีการค้าในช่วง 2-3 ปีหลัง คงเป็นเครื่องชี้วัดที่ดี
ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ เพื่อเพิ่มการบริโภค และเป็นจุดระเบิดทางเศรษฐกิจเพื่อให้เครื่องจักรภาคเอกชนเดินตาม พูดง่ายๆว่า ทำโครงสร้างพื้นฐานระบบราง รัฐลงทุนแค่ราง/รถ แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ เอกชนจะพัฒนาที่ดิน เกิดการพัฒนาเมือง และมีกิจการน้อยใหญ่อีกมากที่จะเกิดขึ้น/เติบโตจากการพัฒนานี้ โดยรัฐไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไรต่อมากมาย แค่นำร่องไปเท่านั้น ในขณะที่การพัฒนาอื่นๆเฉพาะด้าน เช่น สาธารณสุข การศึกษา มันดีนะ แต่ใช้เวลานาน ใช้งบประจำทำได้ หากเอางบกระตุ้นเศรษฐกิจลงไปใช้ ก็เหมือนน้ำซึมบ่อทราย จะไม่เกิดการพัฒนาต่อเนื่องโดยเอกชนเหมือนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม
ทีแรกฟังหม่อมอุ๋ยจบ ผมก็แอบขำๆ นึกว่าเอาอีกแล้ว ตีโจทย์ไม่แตกอีกแล้ว แต่มานั่งนึกๆไป บางทีไม่ใช่เรื่องของ "ขบไม่แตก" หรอก บางทีเขาก็รู้ เขาอ่านเกมออกกว่าเราเสียด้วยซ้ำ คือเขาเรียนหนังสือมาระดับนั้น จบเศรษฐศาสตร์มาด้วยมั๊ง มันก็คงไม่โง่ถึงขึ้นตามไม่ทัน หรืออ่านเกมไม่ออกหรอก
คำถามคือ "แต่ทำไมเขายังเลือกที่จะทำแบบนั้นอีก?" เพราะอะไร? ผมว่าสิ่งนึงเลยที่เป็นยุทธศาสตร์ที่ชนชั้นนำเก่าพยายามทำมาโดยตลอดก็คือ การรักษา "status quo" ของโครงสร้างทางเศรษฐกิจเอาไว้ โดยเฉพาะชนชั้นนำกลุ่มเก่าที่ไม่ได้ลงไปเล่นในเกมการพัฒนาอย่างพวกชนชั้นนำที่เป็นทุนใหม่ๆ เช่น ทุนอสังหา, ค้าปลีก, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (กลุ่มพวกหลังนี้เชียร์การพัฒนาใจจะขาด เพราะตัวเองมีความพร้อมที่จะเกาะรถไฟขบวนนี้เต็มที่อยู่แล้ว)
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ยุทธศาสตร์การพัฒนามันเดินไป ไม่ว่ารถไฟทางคู่ทั้งระบบ หรือที่สำคัญที่สุดคือ รถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงในระยะเวลาอันสั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมาก (นึกถึงแค่เรื่องราคาที่ดินพุ่งพรวด เกิดเมือง อาคารพานิชย์ ก่อสร้าง โรงแรม ถนน บลาๆ) มันจะกระจายออกไปในวงกว้างอีกไม่น้อย กล่าวคือ จะมีผู้เก็บเกี่ยวและได้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจจำนวนมาก ที่พร้อมจะเติบโตขึ้นมาเป็นนายทุนน้อย หน้าตาของโครงสร้างทางเศรษฐกิจจะเปลี่ยนไปพอสมควร
ไหนจะอำนาจต่อรองในทางการเมืองของคนเหล่านั้นที่มากขึ้น และยังพ่วงด้วยการการเกิดขึ้นของ lower-middle class ตามหัวเมืองต่างๆ ซึ่งจะเป็นฐานเสียงของเพื่อไทยเสียมาก
ประเด็นสำคัญที่ผมคิดว่าเป็นหัวใจจริงๆ ที่เขาค้านแนวคิดการพัฒนาใหญ่ๆจากฝั่งเพื่อไทย ไม่ว่าจะเรื่องแปลงสินทรัพย์เป็นทุน, ประชานิยมทั้งหลาย, โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, หรือแนวคิดพัฒนาเมืองใหม่ๆ (เช่น เมืองหลวงแห่งที่สอง, เมืองสุวรรณภูมิ, หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ(ในอดีตค้านชิ้บหายเลย) นั่นเพราะลึกๆแล้วชนชั้นนำไทยพวกเขากลัวการปรับตามไม่ทัน เขาคุมมันไม่ได้ และเขาไม่รู้ว่ามันจะนำไปสู่อะไร เขากลัวว่าถึงที่สุดแล้วอำนาจนำในทางเศรษฐกิจ(ซึ่งผูกแน่นกับการเมือง) จะอ่อนด้อยลงในเชิงสัมพัทธ์
ฉะนั้นแล้วสิ่งที่เขาทำมาตลอดก็คือคัดค้านนโยบายเหล่านี้ และเลือกที่จะโปรโมต idea ที่จะ freeze โครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมเอาไว้ เน้นการค่อยเป็นค่อยไป พัฒนาแบบเชื่องช้า ไม่เน้นการเติบโต หรือขีดความสามารถในการแข่งขันใดๆ และยอมให้ประเทศโดยแซงไปเรื่อยๆ เพื่อรักษารูปแบบเดิมๆที่เขาผูกขาดอำนาจนำไว้อย่างที่เคยทำมายาวนาน
อ้อ ลืมบอกไป ชนชั้นนำไทยเคยอยากโกอินเตอร์ แล้วแพ้ในเกมโลกาภิวัฒน์มารอบหนึ่ง นั่นคือ แทบล้มทั้งยืนเมื่อปี 40 เลยไม่อยากเข้าหาโลกอีกสักเท่าไหร่ แต่เหตุผลช่วงหลังๆมา ผมว่าไม่ใช่เรื่อง 40 แล้ว แต่เป็นเรื่องการเมือง ที่เมื่อเกิดปรากฏการณ์ทักษิณปุ๊บ เขา handle ระบบการเมืองไม่ได้โดยตรงเหมือนสมัยก่อน
ยิ่งหากรถไฟความเร็วสูงสายเชียงใหม่ ซึ่งรัฐบาลเพื่อไทยเซ็ตให้เป็นสายแรก สำเร็จ ขนาดเชียงใหม่การพัฒนาเมือง (เดิมมีแผนจะทำเป็นเมืองแฝดกับลำพูน และเชียงใหม่จะมี tram เป็นเมืองแรกของประเทศไทยจ้า) เชียงใหม่ก็จะกลายเป็นเมืองมหานครย่อมๆเลยทีเดียว
ถามว่ารถไฟรางคู่เกี่ยวอะไรกับการเติบโตของเชียงใหม่? เกี่ยวสิ ลองไปดูเรื่องการพัฒนาเชียงใหม่ การเดิบโต และการท่องเที่ยวที่พุ่งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์หลังมีโลว์คอสแอร์ไลน์ ก็น่าจะพอเห็นภาพ และนอกจากเชียงใหม่ พิษณุโลก โคราช (และอาจจะขอนแก่น-อุดร ในอนาคต) เองก็น่าจะกลายเป็นเมืองรองที่ยกระดับขึ้นใหญ่มากพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นมูลค่าที่ดินและสินทรัพย์ในแนวรถไฟฟ้า ย่านภาคเหนือเอยอะไรเอย ซึ่งเป็นฐานเสียงของเพื่อไทยเสียส่วนมาก ก็จะได้ผลประโยชน์จากการพัฒนานี้ไม่น้อย
ในขณะที่ชนชั้นนำเก่ากรุงเทพ ยังนึกไม่ออกว่าเขาจะได้อะไรจากการพัฒนานี้ ฉะนั้นการเลือกที่จะเอาเงินไปลงกับอะไรที่ไม่ก่อนให้เกิดการพัฒนาในเชิงโครงสร้างจริงๆจังๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น .... เฮ้ออ เศร้า
"เหตุผลของการเลือกที่จะไม่พัฒนา" โดย ศาสดา
https://www.facebook.com/sasdha
"เหตุผลของการเลือกที่จะไม่พัฒนา"
โดย ศาสดา
เคยนั่งคิดเล่นๆ ตอนเห็น ประชาธิปัตย์พยายามลอก นโยบายโครงสร้างพื้นฐาน 2020 ของเพื่อไทย ในขณะนั้นประชาธิปัตย์พยายามพูดว่านโยบายที่ประชาธิปัตย์จะทำ เงินต้องเอาไปใช้กับการสาธารณสุข กับการศึกษาด้วย โครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่แค่เรื่องของรถไฟนะเว้ย ตอนนั้นฝั่งเพื่อไทยหลายคนคงขำขี้แตกว่าประชาธิปัตย์ตีโจทย์ไม่แตก เพราะยุทธศาสตร์นี้เป้นยุทธศาสตร์ที่ใช้ระบบรางเป็นตัวนำ และจะนำไปสู่การพัฒนาเมือง จะเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมหาศาลซึ่งภาคเอกชนจะรับไม้ต่อเอง
วันนี้ลองฟังคลิปที่หม่อมอุ๋ยพูดเรื่องแคมเปนญ์กระตุ้นเศรษฐกิจ หลักๆจะใช้เงินประมาณ 4 แสนล้าน ที่น่าสนใจคือยังได้ยินการพูดว่าจะพัฒนาลงไปที่โรงเรียน กับโรงพยาบาลอีกแล้ว คือไม่ได้บอกว่า 2 สิ่งนี้ไม่สำคัญนะ สำคัญครับ สำคัญมากด้วย เพียงแต่มันควรใช้งบประจำปีทั่วๆไป มากกว่าจะเอามาเป็นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ยุทธศาสตร์ตอนนี้ที่ต้องทำ คือการจุดระเบิดทางเศรษฐกิจโดยภาครัฐ เนื่องมาจากเราไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกเป็นหัวจักรหลักทางเศรษฐกิจได้อีกแล้ว เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มชะลอตัวอีกนาน และภาคธุรกิจไทยที่ติดกับการใช้แรงงานและต้นถูกยาวนาน ปรับตัวไม่ทัน การส่งออกที่ติดลบ และการขาดดุลบัญชีการค้าในช่วง 2-3 ปีหลัง คงเป็นเครื่องชี้วัดที่ดี
ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือการลงทุนขนาดใหญ่ เพื่อสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ เพื่อเพิ่มการบริโภค และเป็นจุดระเบิดทางเศรษฐกิจเพื่อให้เครื่องจักรภาคเอกชนเดินตาม พูดง่ายๆว่า ทำโครงสร้างพื้นฐานระบบราง รัฐลงทุนแค่ราง/รถ แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ เอกชนจะพัฒนาที่ดิน เกิดการพัฒนาเมือง และมีกิจการน้อยใหญ่อีกมากที่จะเกิดขึ้น/เติบโตจากการพัฒนานี้ โดยรัฐไม่ต้องเข้าไปยุ่งอะไรต่อมากมาย แค่นำร่องไปเท่านั้น ในขณะที่การพัฒนาอื่นๆเฉพาะด้าน เช่น สาธารณสุข การศึกษา มันดีนะ แต่ใช้เวลานาน ใช้งบประจำทำได้ หากเอางบกระตุ้นเศรษฐกิจลงไปใช้ ก็เหมือนน้ำซึมบ่อทราย จะไม่เกิดการพัฒนาต่อเนื่องโดยเอกชนเหมือนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม
ทีแรกฟังหม่อมอุ๋ยจบ ผมก็แอบขำๆ นึกว่าเอาอีกแล้ว ตีโจทย์ไม่แตกอีกแล้ว แต่มานั่งนึกๆไป บางทีไม่ใช่เรื่องของ "ขบไม่แตก" หรอก บางทีเขาก็รู้ เขาอ่านเกมออกกว่าเราเสียด้วยซ้ำ คือเขาเรียนหนังสือมาระดับนั้น จบเศรษฐศาสตร์มาด้วยมั๊ง มันก็คงไม่โง่ถึงขึ้นตามไม่ทัน หรืออ่านเกมไม่ออกหรอก
คำถามคือ "แต่ทำไมเขายังเลือกที่จะทำแบบนั้นอีก?" เพราะอะไร? ผมว่าสิ่งนึงเลยที่เป็นยุทธศาสตร์ที่ชนชั้นนำเก่าพยายามทำมาโดยตลอดก็คือ การรักษา "status quo" ของโครงสร้างทางเศรษฐกิจเอาไว้ โดยเฉพาะชนชั้นนำกลุ่มเก่าที่ไม่ได้ลงไปเล่นในเกมการพัฒนาอย่างพวกชนชั้นนำที่เป็นทุนใหม่ๆ เช่น ทุนอสังหา, ค้าปลีก, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (กลุ่มพวกหลังนี้เชียร์การพัฒนาใจจะขาด เพราะตัวเองมีความพร้อมที่จะเกาะรถไฟขบวนนี้เต็มที่อยู่แล้ว)
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ยุทธศาสตร์การพัฒนามันเดินไป ไม่ว่ารถไฟทางคู่ทั้งระบบ หรือที่สำคัญที่สุดคือ รถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงในระยะเวลาอันสั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมาก (นึกถึงแค่เรื่องราคาที่ดินพุ่งพรวด เกิดเมือง อาคารพานิชย์ ก่อสร้าง โรงแรม ถนน บลาๆ) มันจะกระจายออกไปในวงกว้างอีกไม่น้อย กล่าวคือ จะมีผู้เก็บเกี่ยวและได้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจจำนวนมาก ที่พร้อมจะเติบโตขึ้นมาเป็นนายทุนน้อย หน้าตาของโครงสร้างทางเศรษฐกิจจะเปลี่ยนไปพอสมควร
ไหนจะอำนาจต่อรองในทางการเมืองของคนเหล่านั้นที่มากขึ้น และยังพ่วงด้วยการการเกิดขึ้นของ lower-middle class ตามหัวเมืองต่างๆ ซึ่งจะเป็นฐานเสียงของเพื่อไทยเสียมาก
ประเด็นสำคัญที่ผมคิดว่าเป็นหัวใจจริงๆ ที่เขาค้านแนวคิดการพัฒนาใหญ่ๆจากฝั่งเพื่อไทย ไม่ว่าจะเรื่องแปลงสินทรัพย์เป็นทุน, ประชานิยมทั้งหลาย, โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, หรือแนวคิดพัฒนาเมืองใหม่ๆ (เช่น เมืองหลวงแห่งที่สอง, เมืองสุวรรณภูมิ, หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ(ในอดีตค้านชิ้บหายเลย) นั่นเพราะลึกๆแล้วชนชั้นนำไทยพวกเขากลัวการปรับตามไม่ทัน เขาคุมมันไม่ได้ และเขาไม่รู้ว่ามันจะนำไปสู่อะไร เขากลัวว่าถึงที่สุดแล้วอำนาจนำในทางเศรษฐกิจ(ซึ่งผูกแน่นกับการเมือง) จะอ่อนด้อยลงในเชิงสัมพัทธ์
ฉะนั้นแล้วสิ่งที่เขาทำมาตลอดก็คือคัดค้านนโยบายเหล่านี้ และเลือกที่จะโปรโมต idea ที่จะ freeze โครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมเอาไว้ เน้นการค่อยเป็นค่อยไป พัฒนาแบบเชื่องช้า ไม่เน้นการเติบโต หรือขีดความสามารถในการแข่งขันใดๆ และยอมให้ประเทศโดยแซงไปเรื่อยๆ เพื่อรักษารูปแบบเดิมๆที่เขาผูกขาดอำนาจนำไว้อย่างที่เคยทำมายาวนาน
อ้อ ลืมบอกไป ชนชั้นนำไทยเคยอยากโกอินเตอร์ แล้วแพ้ในเกมโลกาภิวัฒน์มารอบหนึ่ง นั่นคือ แทบล้มทั้งยืนเมื่อปี 40 เลยไม่อยากเข้าหาโลกอีกสักเท่าไหร่ แต่เหตุผลช่วงหลังๆมา ผมว่าไม่ใช่เรื่อง 40 แล้ว แต่เป็นเรื่องการเมือง ที่เมื่อเกิดปรากฏการณ์ทักษิณปุ๊บ เขา handle ระบบการเมืองไม่ได้โดยตรงเหมือนสมัยก่อน
ยิ่งหากรถไฟความเร็วสูงสายเชียงใหม่ ซึ่งรัฐบาลเพื่อไทยเซ็ตให้เป็นสายแรก สำเร็จ ขนาดเชียงใหม่การพัฒนาเมือง (เดิมมีแผนจะทำเป็นเมืองแฝดกับลำพูน และเชียงใหม่จะมี tram เป็นเมืองแรกของประเทศไทยจ้า) เชียงใหม่ก็จะกลายเป็นเมืองมหานครย่อมๆเลยทีเดียว
ถามว่ารถไฟรางคู่เกี่ยวอะไรกับการเติบโตของเชียงใหม่? เกี่ยวสิ ลองไปดูเรื่องการพัฒนาเชียงใหม่ การเดิบโต และการท่องเที่ยวที่พุ่งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์หลังมีโลว์คอสแอร์ไลน์ ก็น่าจะพอเห็นภาพ และนอกจากเชียงใหม่ พิษณุโลก โคราช (และอาจจะขอนแก่น-อุดร ในอนาคต) เองก็น่าจะกลายเป็นเมืองรองที่ยกระดับขึ้นใหญ่มากพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นมูลค่าที่ดินและสินทรัพย์ในแนวรถไฟฟ้า ย่านภาคเหนือเอยอะไรเอย ซึ่งเป็นฐานเสียงของเพื่อไทยเสียส่วนมาก ก็จะได้ผลประโยชน์จากการพัฒนานี้ไม่น้อย
ในขณะที่ชนชั้นนำเก่ากรุงเทพ ยังนึกไม่ออกว่าเขาจะได้อะไรจากการพัฒนานี้ ฉะนั้นการเลือกที่จะเอาเงินไปลงกับอะไรที่ไม่ก่อนให้เกิดการพัฒนาในเชิงโครงสร้างจริงๆจังๆ ก็ยังเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น .... เฮ้ออ เศร้า