ผมบรรจงหิ้วถุงพลาสติกใสลายน่ารักสวยงาม ข้างในถุงมีกล่องพลาสติกที่ห่อหุ้มเค้กที่ดูสีสันสดใสน่ารับประทาน ผมไม่ใช่คนที่ชอบกินเค้กหรอกครับ ผมไม่ได้มาซื้อมันมากินเป็นประจำหรอก ไม่สิ... ผมไม่เคยกินเค้กเลยสักครั้งในชีวิตนี้ต่างหาก เพราะบ้านของผมจนมาก เงินทุกบาทจะต้องเก็บไว้ซื้อข้าวกินกัน ผมย้ายจากต่างจังหวัดมาอยู่กับป้าในเมืองหลวงเพื่อหางานทำ แต่คืนนี้เป็นคืนพิเศษของผมเนื่องในโอกาสเป็นวันครบรอบวันเกิดในวัย 11 ปี และในคืนพิเศษๆเช่นนี้มันก็ควรจะมีอะไรที่พิเศษหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะครับ
แต่ถึงแม้ผมจะเพิ่งบอกไปว่าคืนนี้เป็นคืนที่พิเศษสำหรับผม เพราะว่ามันเป็นคืนวันครบรอบวันเกิดของผม แต่ทุกอย่างก็เหมือนๆกับทุกๆวันที่ผ่านมา ผมเลิกงานล้างจานจากร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่ก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว เมื่อเลิกงานผมต้องเดินกลับที่พักซึ่งเป็นบ้านของป้าอีกกว่า 3 กิโลฯ ระหว่างทางเป็นถนนที่รถพลุกพล่านมีรถวิ่งไปมาด้วยความเร็วเหมือนกับว่าพวกเขาอยากรีบกลับบ้านไปพักผ่อนเหมือนกับผมเช่นกัน และเมื่อผมเดินมาได้เกือบจะครึ่งทาง ผมสังเกตเห็นร้านขายขนมเค้กที่มีขนมเค้กหลากหลายสีสันและคละเคล้าไปด้วยลวดลายสวยงาม ผมยืนจ้องหน้าร้านที่ดูสะอาดสะอ้านและได้รับการจัดแต่งอย่างหรูหรา แต่แปลกว่าร้านนี้ไม่มีลูกค้าสักคนเดียว แม้ว่าร้านรวงที่อยู่ข้างเคียงจะแออัดแน่นไปด้วยลูกค้าเดินเข้าเดินออกก็ตาม ในร้านขนมเค้กนั้นมีเพียงแต่เจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังตู้โชว์กระจกและเขาก็จ้องมาที่ผมด้วย ในตอนนั้นผมรู้สึกเกร็งมากจนอยากจะรีบเดินหนีไป เพราะดูสภาพการแต่งตัวของผมเองแล้วคงไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้น ถ้าไม่ติดว่าสีสันความสวยงามของชิ้นเค้กที่ผมเห็นจะดึงดูดผมไม่ให้เดินจากไป และรวมทั้งรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นของชายเจ้าของร้านที่เหมือนกับจะเชิญชวนให้ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน และเหมือนกับหัวใจของผมสั่งให้เท้าผมเดินเข้าไปในร้านสวยหรูนี้
"เธอกำลังมองหาอะไรอยู่หรือจ้ะ หนุ่มน้อย"
เสียงทักทายของเขาทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย
"เอ่อ... ผมขอเดินดูก่อนได้มั้ยครับ"
แต่ผมยังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ผมเดินดูรอบๆรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ผมไม่เคยเห็นขนมเค้กที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อน เค้กก้อนแรกที่ผมมองดูมันถูกตกแต่งหน้าเค้กด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนโรยหน้าด้วยช็อกโกแลตขูดเป็นฝอย ก้อนเค้กถูกตัดเป็นชิ้นๆเรียงกัน ทำให้ผมเห็นเนื้อเค้กที่เป็นสีน้ำตาลเข้มสีมันแวววาว เนื้อเค้กดูละเอียดเหมือนกับมันจะละลายทันทีที่สัมผัสโดนลิ้น ผมจินตนาการถึงความนุ่นและกลิ่นที่หอมหวานจากกลิ่นที่โชยออกมา
เค้กก้อนถัดไปที่วางอยู่ถัดไปเป็นสีขาว สีของมันขาวแบบว่าเหมือนกับมันจะสะท้อนแสงจากโคมไฟที่ส่องมันเข้าใส่ตาของผม ครีมสีขาวปาดลงบนเนื้อเค้กไม่เป็นระเบียบนัก แต่แลดูสวยงามจากความยุ่งเหยิง ตรงขอบขนมเค้กมีสตรอเบอร์สดผ่าครึ่งวางตัดกับสีขาว ทำให้สีแดงจากผลสตรอเบอร์รี่โดดเด่นบนเค้กครีมขาว ตรงกลางมีใบไม้สีเขียวสดวางพาดกลาง ผมเห็นเนื้อเค้กที่ถูกผ่าเป็นสีเหลืองนวล เนื้อที่แลดูละเอียดแน่นมันคงจะทำให้ได้รสชาติและกลิ่นหอมเต็มๆ หากได้ลิ้มลอง
ผมเดินดูเค้กอีกหลายก้อน บางอันมีตุ๊กตาที่ทำจากน้ำตาลดูสวยงาม บางอันมีรูปดอกไม้ที่ถูกบรรจงสร้างขึ้นจากการปัดด้วยเนื้อครีม บางอันมีช็อกโกแลตตกแต่งสวยงาม ผมเดินดูทั้งร้านแต่ต้องหยุดความคิดลงทันทีที่นึกถึงเงินในกระเป๋าที่มีไม่ถึงสองร้อยบาท ซึ่งนี่เป็นค่าแรงจากที่ผมทำงานมา 8 ชั่วโมง ผมคิดว่าคงไม่ได้ลองชิมชิ้นเค้กนี้ได้อย่างแน่นอน
"พี่ครับ ผมขอดูก่อนละกันครับ ขอบคุณมากนะครับ"
ผมพูดกับพี่เจ้าของร้าน ก่อนจะค่อยๆกลับหลังเดินออกจากร้านไป แต่ต้องหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเมื่อมีเสียงพูดดังออกมาจากพี่เจ้าของร้าน
"วันนี้เป็นวันเกิดของน้องนะ จะไม่รับเค้กไปกินสักชิ้นเหรอ"
ผมแปลกใจมากที่พี่เขารู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นวันเกิดของผม ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้กลับใครเลยในเมืองใหญ่เมืองนี้
"พี่รู้ได้อย่างไรครับว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม"
"พี่เดาเอาน่ะ พี่คิดว่าเด็กๆทุกคนอยากกินเค้กในวันเกิดของตัวเอง"
ผมยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ยังทำท่าทางเป็นไม่สนใจเค้ก ไม่ใช่ผมจะไม่สนใจมันหรอก แต่ผมคงไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันต่างหาก เลยคิดว่าจะเดินออกจากร้านทันที
"ลองเลือกเค้กมาสิ เดี๋ยวพี่จะตัดแบ่งขายให้หนึ่งชิ้น จะลดราคาให้ด้วย"
ผมหันหน้าออกนอกร้านไปแล้ว แต่ก็ยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินข้อเสนอน่าสนใจนี้ ผมหันหน้ามาหาเจ้าของร้านพลางล้วงกระเป๋าออกมาพร้อมแบงค์ร้อย 1 ใบและแบงค์ยี่สิบอีก 3 ใบ
"ผมมีแค่นี้แหล่ะครับ พอจะกินอะไรได้บ้างมั้ย"
พี่เจ้าของร้านยิ้มอีกครั้งก่อนจะชี้นิ้วให้ผมไปเลือกดู แต่ผมไม่ต้องไปเลือกแล้วล่ะครับ เพราะผมมีก้อนเค้กในใจไว้แล้ว
"ผมอยากชิมเค้กช็อกโกแลตที่แต่งหน้าด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนก้อนนั้นครับ"
ผมชี้นิ้วไปที่เค้กก้อนที่หมายปองไว้แล้ว
"เธออยากกินเค้กช็อกโกแลตเหรอ ถ้าอย่างนั้นพี่มีเค้กที่พิเศษสุดกว่านั้นจะให้เธอ"
พี่เจ้าของร้านพูดจบก่อนจะเดินเข้าไปหลังร้าน ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่ที่เดิม และเวลาผ่านไปไม่นาน พี่เจ้าของร้านหยิบก้อนเค้กช็อกโกแลตชิ้นที่ดูงามสง่ากว่าเค้กชิ้นใดๆในร้านนี้แม้มันเป็นเพียงแค่ชิ้นเล็กสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น

(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ผมยืนตาค้างโดยไม่กระพริบตาเลย ขนมชิ้นหรูนี้มันคืออะไรกัน ผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่าผมจะได้เค้กชิ้นนี้โดยไม่เสียเงินสักบาท พี่เจ้าของร้านมอบให้ผมเป็นของขวัญวันเกิด
นี่แหล่ะครับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ที่ทำให้ผมอารมณ์ดีสุดๆในระหว่างทางเดินกลับบ้าน ผมคิดอยู่ในหัวตลอดว่าจะกินเค้กชิ้นนี้อย่างไรดี ต้องมีเครื่องดื่มอะไรบ้างมั้ยที่จะต้องกินคู่กับเค้กในมือผม เอ... ผมควรจะแบ่งเค้กครึ่งนึงให้ป้าของผมกินบ้างดีกว่า ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่เรื่องเค้ก แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ผมยิ้มแกล้มปริแล้ว
ทางข้างหน้าที่ผมกำลังจะเดินผ่านเป็นป้ายรถเมล์ แม้ที่ป้ายจะมีหลอดไฟส่องสว่างเพียงแค่ดวงเดียว แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยืนรอรถเมล์กันจนแน่นทางเท้า และมีบางส่วนที่ล้นออกไปยืนบนริมถนน ผมรู้ว่าทุกคนที่กำลังรอรถเมล์นั้นพวกเขากำลังจะกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน หรือมีใครสักคนกำลังรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน และดูเหมือนกับทุกคนต่างก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการรอสายรถเมล์ที่ตัวเองต้องการจะโดยสารไปด้วย และในระหว่างที่ผมต้องลงไปเดินทางริมถนนเพื่อเดินผ่านป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนยืนเต็มทางเท้า มีรถเมล์คันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบป้าย เมื่อรถจอดสนิท ผู้คนมากมายต่างกรูกันวิ่งขึ้นรถโดยลืมที่จะสังเกตเห็นเด็กตัวน้อยอย่างผมที่กำลังเดินผ่านหน้าพวกเขาไป
ผมโดนใครไม่รู้ชนจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้นแต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เมื่อได้สติ ผมพยายามหาถุงที่ใส่ขนมเค้ก แต่มันหลุดออกจากมือผมไปแล้ว และเมื่อมองดูที่พื้นปรากฏว่ามันถูกเหยียบจนกล่องพลาสติกแตกกระจาย ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเค้กที่โดนเท้าใครไม่รู้เหยียบจนแบนบี้
อารมณ์ของเด็กในวัยอย่างผมเมื่อต้องสูญเสียของที่มีค่าไป ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าผมจะร้องไห้ดังลั่นกลางป้ายรถเมล์ อายคนอื่นก็เรื่องหนึ่งครับ แต่สิ่งนี้มันกลับสะเทือนใจจนผมไม่สามารถกักเก็บมันได้ ผมไม่สนใจใครอีกแล้วขอแค่ให้ได้ร้องก็พอ ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจผมหรือไม่เพราะผมก็ไม่ได้สังเกตใคร จนกระทั่งมีมือๆหนึ่งมาประครองผมให้ลุกขึ้นยืน และพยายามเก็บสิ่งที่กลายเป็นขยะแล้วออกจากมือผมไป ผมหันไปมองคนๆนั้นทันที
เขาคือพี่เจ้าของร้านเค้กที่ผมซื้อเค้กชิ้นนี้มานี่เอง แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แต่ช่างเหอะ ในตอนนี้ผมไม่ควรจะมาสงสัยเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนั้น
"ไม่ต้องร้องไห้นะ เดี๋ยวพี่จะให้เค้กชิ้นใหม่กับเธอเอง ยังไงวันนี้เธอจะต้องได้กินเค้กในวันเกิด"
อาการสะอึกสะอื้นของผมหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นของพี่เจ้าของร้านเค้ก
"จริงหรือครับ ขอบคุณมากครับ"
"จริงสิ เดี๋ยวพี่จะทำเค้กก้อนใหม่ให้กับเธอเอง
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร พี่คนนั้นเดินมาจับมือผมและสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับผมทันที แสงสว่างที่ไหนไม่รู้โผล่มารอบตัวผมจนต้องหลับตาหนี แต่แสงที่แรงจ้าก็ยังทะลุผ่านเปลือกตาเข้ามาจนผมรู้สึกได้ เวลาผ่านไปไม่นานแสงสว่างจากพลันดับวูบลง ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาแต่ยังตาพร่าจากแสงจ้าเมื่อกี๊นี้ ภาพเบื้องหน้าค่อยๆปรากฏเมื่อสายตาเริ่มชินกับแสง
"ว้าว...ว ที่นี่คือที่ไหนกันครับ เรามาที่นี่กันได้อย่างไร"
ผมอุทานด้วยความประหลาดใจกับภาพเบื้องหน้าโดยไม่สนใจคำตอบของคำถามที่ผมเพิ่งจะพูดมันออกมา ผมเห็นว่าเรายืนอยู่ในโรงงานที่พื้นปูด้วยกระยางสีขาว มีโต๊ะยาวที่มีคนนั่งเรียงกัน แต่ละคนกำลังขมักเขม้นบรรจงตกแต่งก้อนเค้กที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา บางคนกำลังปาดครีมอย่างพิถีพิถัน บางคนกำลังเลือกวางตุ๊กตาหรือของตกแต่งลงบนหน้าเค้ก ผมไม่รอช้ารีบเดินไปดูใกล้ๆ
"พวกเขากำลังแต่งหน้าเค้กกันอยู่ใช่มั้ยครับ"
"ใช่แล้ว แผนกนี้คือขั้นตอนก่อนที่จะบรรจุเค้กลงกล่อง ดูสิว่าเราให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้มาก เพราะเรารู้ว่าเด็กๆชอบความสวยงามจากขนมที่พวกเขาทาน"
ผมตื่นตาตื่นใจที่มาเห็นเบื้องหลังการสร้างสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้
"เดี๋ยวเราจะเดินไปดูแผนกอบแป้งเค้กกัน เธอจะได้รู้ว่าเราเลือกแต่วัตถุดิบชั้นดีแค่ไหนมาทำเค้ก"
พี่เจ้าของร้านเค้กเดินนำไปผมยังอีกห้อง ผมเดินตามแต่สายตายังไม่ละไปจากเค้กที่กำลังถูกตกแต่ง พอเดินลบมุมห้องไปผ่านโถงทางเดินจนใกล้โผล่ไปยังอีกห้องหนึ่ง ผมได้กลิ่นหอมของเนื้อเค้กที่กำลังถูกอบ มันหอมมากจนผมคิดถึงเค้กก้อนที่ผมทำหลุดไปมือ แต่ความเสียใจจากเมื่อสักครู่นี้หายไปหมดสิ้นเมื่อผมเห็นเตาอบขนาดใหญ่ เค้กขนมปังหลายก้อนที่เพิ่งจะถูกยกออกจากเตามีควันโชยคละเคล้ากลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั้งห้อง
"เธอลองดูตรงนั้นสิ คนตรงนั้นกำลังผสมแป้งเค้กกับวัตถุดิบอย่างดีของเรา เนยที่เราใช้ทำมาจากนมวัวที่เราคัดสรรมาจากวัวพันธ์ดี และแป้งของเราก็มาจากฟาร์มที่มีคุณภาพ"
พี่คนที่นำพาผมมายังโรงงานแห่งนี้ใช้มือตักแป้งจากกระสอบให้ผมดู ผมไม่เคยเห็นแป้งที่ไหนจะขาวและดูละเอียดเท่านี้มาก่อนเลย หรือว่าบางทีพวกเขาอาจจะใช้เวทย์นมต์ในการสร้างวัตถุดิบกันแน่นะ
"พี่ครับ แล้วเค้กจำนวนมหาศาลที่ออกจากโรงงานนี้ เขานำไปขายที่ไหนกัน"
พี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบผม
"เราไม่ได้ขายเค้กพวกนี้หรอก เราจะแจกจ่ายเค้กเหล่านี้ให้เด็กทุกๆคนทั่วโลกที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้กินเค้กเลยสักครั้งในชีวิต เราคิดว่าเด็กๆทุกคนบนโลกนี้ควรได้รับความสุข และสิ่งที่เราพอจะทำให้พวกเขาก็คือทำเค้กให้พวกเขาในวันที่ครบรอบวันเกิดครบ 11 ปี"
"แล้วพี่จะรู้ได้อย่างไรครับว่าใครควรจะได้รับเค้ก"
"เรามีสายสืบที่จะออกตามหาและเฝ้าสังเกตว่าเด็กคนไหนเหมาะสมที่จะได้รับเค้กของเรา ในทุกๆวันมีเด็กที่ครบรอบวันเกิดนับล้านคนทั่วโลก เราจึงเพิ่มเงื่อนไขว่าเด็กที่เราจะต้องเป็นเด็กดีด้วย"
ผมทำหน้างงและใช้มือเกาที่หัว
"ถ้าเธออยากรู้ว่าเด็กคนไหนเป็นเด็กดี งั้นเราไปดูกัน วันนี้เธอจะได้รับบทเป็นผู้ช่วยสายสืบ"
"ว้าว...ว แท้จริงแล้วพี่เป็นสายสืบที่ตามหาเด็กๆที่เหมาะสมกับการได้รับเค้ก"
"ใช่"
พอพี่สายสืบพูดจบ แสงสว่างจ้าโผล่มาอีกครั้ง และไม่นานเราทั้งสองคนก็โผล่มายังสถานที่แห่งหนึ่งลักษณะเป็นหมู่บ้านที่ผมไม่คุ้นเคย
"ที่นี่คือประเทศอินเดีย เรามีรายงานว่าจะมีเด็กคนหนึ่งจะครบรอบวันเกิดปีที่ 11 ในวันพรุ่งนี้ พี่จะต้องมาประเมินว่าเด็กคนนี้ควรจะได้รับของขวัญของเราหรือเปล่า นั่นไงดูเด็กคนนั้นสิ"
พี่สายสืบชี้นิ่วไปให้ดูเด็กคนหนึ่งที่กำลังช่วยพ่อแม่ของเขาทำงานบ้านอย่างขมักเขม้น
"เด็กคนนั้นตัวเท่าผมเลย"
"ใช่แล้วล่ะ ก็เขามีอายุน้อยกว่าเธอหนึ่งวันไง เธอคิดว่าเด็กคนนั้นควรจะได้รับเค้กวันเกิดของเราหรือไม่"
ผมทำหน้าสับสน ผมไม่รู้ว่าเด็กดีคืออะไร แล้วเด็กคนนั้นเป็นเด็กดีหรือไม่
"แค่เด็กที่ช่วยเหลืองานที่บ้านเราก็ถือว่าเป็นเด็กดีแล้ว วันพรุ่งนี้จะมีคนนำเค้กมาส่งให้เด็กคนนี้เป็นของขวัญวันเกิด"
พี่สายสืบจดบันทึกลงในสมุดส่วนตัวของเขา
มหัศจรรย์ในคืนวันเกิด
แต่ถึงแม้ผมจะเพิ่งบอกไปว่าคืนนี้เป็นคืนที่พิเศษสำหรับผม เพราะว่ามันเป็นคืนวันครบรอบวันเกิดของผม แต่ทุกอย่างก็เหมือนๆกับทุกๆวันที่ผ่านมา ผมเลิกงานล้างจานจากร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่ก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว เมื่อเลิกงานผมต้องเดินกลับที่พักซึ่งเป็นบ้านของป้าอีกกว่า 3 กิโลฯ ระหว่างทางเป็นถนนที่รถพลุกพล่านมีรถวิ่งไปมาด้วยความเร็วเหมือนกับว่าพวกเขาอยากรีบกลับบ้านไปพักผ่อนเหมือนกับผมเช่นกัน และเมื่อผมเดินมาได้เกือบจะครึ่งทาง ผมสังเกตเห็นร้านขายขนมเค้กที่มีขนมเค้กหลากหลายสีสันและคละเคล้าไปด้วยลวดลายสวยงาม ผมยืนจ้องหน้าร้านที่ดูสะอาดสะอ้านและได้รับการจัดแต่งอย่างหรูหรา แต่แปลกว่าร้านนี้ไม่มีลูกค้าสักคนเดียว แม้ว่าร้านรวงที่อยู่ข้างเคียงจะแออัดแน่นไปด้วยลูกค้าเดินเข้าเดินออกก็ตาม ในร้านขนมเค้กนั้นมีเพียงแต่เจ้าของร้านที่ยืนอยู่หลังตู้โชว์กระจกและเขาก็จ้องมาที่ผมด้วย ในตอนนั้นผมรู้สึกเกร็งมากจนอยากจะรีบเดินหนีไป เพราะดูสภาพการแต่งตัวของผมเองแล้วคงไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้น ถ้าไม่ติดว่าสีสันความสวยงามของชิ้นเค้กที่ผมเห็นจะดึงดูดผมไม่ให้เดินจากไป และรวมทั้งรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นของชายเจ้าของร้านที่เหมือนกับจะเชิญชวนให้ผมเปิดประตูเดินเข้าไปในร้าน และเหมือนกับหัวใจของผมสั่งให้เท้าผมเดินเข้าไปในร้านสวยหรูนี้
"เธอกำลังมองหาอะไรอยู่หรือจ้ะ หนุ่มน้อย"
เสียงทักทายของเขาทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย
"เอ่อ... ผมขอเดินดูก่อนได้มั้ยครับ"
แต่ผมยังรู้สึกประหม่าอยู่เล็กน้อย ผมเดินดูรอบๆรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ผมไม่เคยเห็นขนมเค้กที่ไหนสวยเท่านี้มาก่อน เค้กก้อนแรกที่ผมมองดูมันถูกตกแต่งหน้าเค้กด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนโรยหน้าด้วยช็อกโกแลตขูดเป็นฝอย ก้อนเค้กถูกตัดเป็นชิ้นๆเรียงกัน ทำให้ผมเห็นเนื้อเค้กที่เป็นสีน้ำตาลเข้มสีมันแวววาว เนื้อเค้กดูละเอียดเหมือนกับมันจะละลายทันทีที่สัมผัสโดนลิ้น ผมจินตนาการถึงความนุ่นและกลิ่นที่หอมหวานจากกลิ่นที่โชยออกมา
เค้กก้อนถัดไปที่วางอยู่ถัดไปเป็นสีขาว สีของมันขาวแบบว่าเหมือนกับมันจะสะท้อนแสงจากโคมไฟที่ส่องมันเข้าใส่ตาของผม ครีมสีขาวปาดลงบนเนื้อเค้กไม่เป็นระเบียบนัก แต่แลดูสวยงามจากความยุ่งเหยิง ตรงขอบขนมเค้กมีสตรอเบอร์สดผ่าครึ่งวางตัดกับสีขาว ทำให้สีแดงจากผลสตรอเบอร์รี่โดดเด่นบนเค้กครีมขาว ตรงกลางมีใบไม้สีเขียวสดวางพาดกลาง ผมเห็นเนื้อเค้กที่ถูกผ่าเป็นสีเหลืองนวล เนื้อที่แลดูละเอียดแน่นมันคงจะทำให้ได้รสชาติและกลิ่นหอมเต็มๆ หากได้ลิ้มลอง
ผมเดินดูเค้กอีกหลายก้อน บางอันมีตุ๊กตาที่ทำจากน้ำตาลดูสวยงาม บางอันมีรูปดอกไม้ที่ถูกบรรจงสร้างขึ้นจากการปัดด้วยเนื้อครีม บางอันมีช็อกโกแลตตกแต่งสวยงาม ผมเดินดูทั้งร้านแต่ต้องหยุดความคิดลงทันทีที่นึกถึงเงินในกระเป๋าที่มีไม่ถึงสองร้อยบาท ซึ่งนี่เป็นค่าแรงจากที่ผมทำงานมา 8 ชั่วโมง ผมคิดว่าคงไม่ได้ลองชิมชิ้นเค้กนี้ได้อย่างแน่นอน
"พี่ครับ ผมขอดูก่อนละกันครับ ขอบคุณมากนะครับ"
ผมพูดกับพี่เจ้าของร้าน ก่อนจะค่อยๆกลับหลังเดินออกจากร้านไป แต่ต้องหันกลับมาอีกครั้งเมื่อเมื่อมีเสียงพูดดังออกมาจากพี่เจ้าของร้าน
"วันนี้เป็นวันเกิดของน้องนะ จะไม่รับเค้กไปกินสักชิ้นเหรอ"
ผมแปลกใจมากที่พี่เขารู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นวันเกิดของผม ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้กลับใครเลยในเมืองใหญ่เมืองนี้
"พี่รู้ได้อย่างไรครับว่าวันนี้เป็นวันเกิดของผม"
"พี่เดาเอาน่ะ พี่คิดว่าเด็กๆทุกคนอยากกินเค้กในวันเกิดของตัวเอง"
ผมยิ้มเล็กน้อย แต่ก็ยังทำท่าทางเป็นไม่สนใจเค้ก ไม่ใช่ผมจะไม่สนใจมันหรอก แต่ผมคงไม่มีเงินพอที่จะซื้อมันต่างหาก เลยคิดว่าจะเดินออกจากร้านทันที
"ลองเลือกเค้กมาสิ เดี๋ยวพี่จะตัดแบ่งขายให้หนึ่งชิ้น จะลดราคาให้ด้วย"
ผมหันหน้าออกนอกร้านไปแล้ว แต่ก็ยิ้มอย่างมีความหวังเมื่อได้ยินข้อเสนอน่าสนใจนี้ ผมหันหน้ามาหาเจ้าของร้านพลางล้วงกระเป๋าออกมาพร้อมแบงค์ร้อย 1 ใบและแบงค์ยี่สิบอีก 3 ใบ
"ผมมีแค่นี้แหล่ะครับ พอจะกินอะไรได้บ้างมั้ย"
พี่เจ้าของร้านยิ้มอีกครั้งก่อนจะชี้นิ้วให้ผมไปเลือกดู แต่ผมไม่ต้องไปเลือกแล้วล่ะครับ เพราะผมมีก้อนเค้กในใจไว้แล้ว
"ผมอยากชิมเค้กช็อกโกแลตที่แต่งหน้าด้วยครีมสีน้ำตาลอ่อนก้อนนั้นครับ"
ผมชี้นิ้วไปที่เค้กก้อนที่หมายปองไว้แล้ว
"เธออยากกินเค้กช็อกโกแลตเหรอ ถ้าอย่างนั้นพี่มีเค้กที่พิเศษสุดกว่านั้นจะให้เธอ"
พี่เจ้าของร้านพูดจบก่อนจะเดินเข้าไปหลังร้าน ปล่อยให้ผมยืนงงอยู่ที่เดิม และเวลาผ่านไปไม่นาน พี่เจ้าของร้านหยิบก้อนเค้กช็อกโกแลตชิ้นที่ดูงามสง่ากว่าเค้กชิ้นใดๆในร้านนี้แม้มันเป็นเพียงแค่ชิ้นเล็กสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น
(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ผมยืนตาค้างโดยไม่กระพริบตาเลย ขนมชิ้นหรูนี้มันคืออะไรกัน ผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่าผมจะได้เค้กชิ้นนี้โดยไม่เสียเงินสักบาท พี่เจ้าของร้านมอบให้ผมเป็นของขวัญวันเกิด
นี่แหล่ะครับเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ที่ทำให้ผมอารมณ์ดีสุดๆในระหว่างทางเดินกลับบ้าน ผมคิดอยู่ในหัวตลอดว่าจะกินเค้กชิ้นนี้อย่างไรดี ต้องมีเครื่องดื่มอะไรบ้างมั้ยที่จะต้องกินคู่กับเค้กในมือผม เอ... ผมควรจะแบ่งเค้กครึ่งนึงให้ป้าของผมกินบ้างดีกว่า ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่เรื่องเค้ก แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ผมยิ้มแกล้มปริแล้ว
ทางข้างหน้าที่ผมกำลังจะเดินผ่านเป็นป้ายรถเมล์ แม้ที่ป้ายจะมีหลอดไฟส่องสว่างเพียงแค่ดวงเดียว แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยืนรอรถเมล์กันจนแน่นทางเท้า และมีบางส่วนที่ล้นออกไปยืนบนริมถนน ผมรู้ว่าทุกคนที่กำลังรอรถเมล์นั้นพวกเขากำลังจะกลับบ้านเพื่อไปพักผ่อน หรือมีใครสักคนกำลังรอพวกเขาอยู่ที่บ้าน และดูเหมือนกับทุกคนต่างก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการรอสายรถเมล์ที่ตัวเองต้องการจะโดยสารไปด้วย และในระหว่างที่ผมต้องลงไปเดินทางริมถนนเพื่อเดินผ่านป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนยืนเต็มทางเท้า มีรถเมล์คันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบป้าย เมื่อรถจอดสนิท ผู้คนมากมายต่างกรูกันวิ่งขึ้นรถโดยลืมที่จะสังเกตเห็นเด็กตัวน้อยอย่างผมที่กำลังเดินผ่านหน้าพวกเขาไป
ผมโดนใครไม่รู้ชนจนล้มกลิ้งไปนอนกับพื้นแต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เมื่อได้สติ ผมพยายามหาถุงที่ใส่ขนมเค้ก แต่มันหลุดออกจากมือผมไปแล้ว และเมื่อมองดูที่พื้นปรากฏว่ามันถูกเหยียบจนกล่องพลาสติกแตกกระจาย ไม่ต้องพูดถึงเนื้อเค้กที่โดนเท้าใครไม่รู้เหยียบจนแบนบี้
อารมณ์ของเด็กในวัยอย่างผมเมื่อต้องสูญเสียของที่มีค่าไป ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าผมจะร้องไห้ดังลั่นกลางป้ายรถเมล์ อายคนอื่นก็เรื่องหนึ่งครับ แต่สิ่งนี้มันกลับสะเทือนใจจนผมไม่สามารถกักเก็บมันได้ ผมไม่สนใจใครอีกแล้วขอแค่ให้ได้ร้องก็พอ ไม่รู้ว่าจะมีใครสนใจผมหรือไม่เพราะผมก็ไม่ได้สังเกตใคร จนกระทั่งมีมือๆหนึ่งมาประครองผมให้ลุกขึ้นยืน และพยายามเก็บสิ่งที่กลายเป็นขยะแล้วออกจากมือผมไป ผมหันไปมองคนๆนั้นทันที
เขาคือพี่เจ้าของร้านเค้กที่ผมซื้อเค้กชิ้นนี้มานี่เอง แต่เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน แต่ช่างเหอะ ในตอนนี้ผมไม่ควรจะมาสงสัยเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนั้น
"ไม่ต้องร้องไห้นะ เดี๋ยวพี่จะให้เค้กชิ้นใหม่กับเธอเอง ยังไงวันนี้เธอจะต้องได้กินเค้กในวันเกิด"
อาการสะอึกสะอื้นของผมหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นของพี่เจ้าของร้านเค้ก
"จริงหรือครับ ขอบคุณมากครับ"
"จริงสิ เดี๋ยวพี่จะทำเค้กก้อนใหม่ให้กับเธอเอง
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร พี่คนนั้นเดินมาจับมือผมและสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับผมทันที แสงสว่างที่ไหนไม่รู้โผล่มารอบตัวผมจนต้องหลับตาหนี แต่แสงที่แรงจ้าก็ยังทะลุผ่านเปลือกตาเข้ามาจนผมรู้สึกได้ เวลาผ่านไปไม่นานแสงสว่างจากพลันดับวูบลง ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาแต่ยังตาพร่าจากแสงจ้าเมื่อกี๊นี้ ภาพเบื้องหน้าค่อยๆปรากฏเมื่อสายตาเริ่มชินกับแสง
"ว้าว...ว ที่นี่คือที่ไหนกันครับ เรามาที่นี่กันได้อย่างไร"
ผมอุทานด้วยความประหลาดใจกับภาพเบื้องหน้าโดยไม่สนใจคำตอบของคำถามที่ผมเพิ่งจะพูดมันออกมา ผมเห็นว่าเรายืนอยู่ในโรงงานที่พื้นปูด้วยกระยางสีขาว มีโต๊ะยาวที่มีคนนั่งเรียงกัน แต่ละคนกำลังขมักเขม้นบรรจงตกแต่งก้อนเค้กที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา บางคนกำลังปาดครีมอย่างพิถีพิถัน บางคนกำลังเลือกวางตุ๊กตาหรือของตกแต่งลงบนหน้าเค้ก ผมไม่รอช้ารีบเดินไปดูใกล้ๆ
"พวกเขากำลังแต่งหน้าเค้กกันอยู่ใช่มั้ยครับ"
"ใช่แล้ว แผนกนี้คือขั้นตอนก่อนที่จะบรรจุเค้กลงกล่อง ดูสิว่าเราให้ความสำคัญกับขั้นตอนนี้มาก เพราะเรารู้ว่าเด็กๆชอบความสวยงามจากขนมที่พวกเขาทาน"
ผมตื่นตาตื่นใจที่มาเห็นเบื้องหลังการสร้างสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้
"เดี๋ยวเราจะเดินไปดูแผนกอบแป้งเค้กกัน เธอจะได้รู้ว่าเราเลือกแต่วัตถุดิบชั้นดีแค่ไหนมาทำเค้ก"
พี่เจ้าของร้านเค้กเดินนำไปผมยังอีกห้อง ผมเดินตามแต่สายตายังไม่ละไปจากเค้กที่กำลังถูกตกแต่ง พอเดินลบมุมห้องไปผ่านโถงทางเดินจนใกล้โผล่ไปยังอีกห้องหนึ่ง ผมได้กลิ่นหอมของเนื้อเค้กที่กำลังถูกอบ มันหอมมากจนผมคิดถึงเค้กก้อนที่ผมทำหลุดไปมือ แต่ความเสียใจจากเมื่อสักครู่นี้หายไปหมดสิ้นเมื่อผมเห็นเตาอบขนาดใหญ่ เค้กขนมปังหลายก้อนที่เพิ่งจะถูกยกออกจากเตามีควันโชยคละเคล้ากลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั้งห้อง
"เธอลองดูตรงนั้นสิ คนตรงนั้นกำลังผสมแป้งเค้กกับวัตถุดิบอย่างดีของเรา เนยที่เราใช้ทำมาจากนมวัวที่เราคัดสรรมาจากวัวพันธ์ดี และแป้งของเราก็มาจากฟาร์มที่มีคุณภาพ"
พี่คนที่นำพาผมมายังโรงงานแห่งนี้ใช้มือตักแป้งจากกระสอบให้ผมดู ผมไม่เคยเห็นแป้งที่ไหนจะขาวและดูละเอียดเท่านี้มาก่อนเลย หรือว่าบางทีพวกเขาอาจจะใช้เวทย์นมต์ในการสร้างวัตถุดิบกันแน่นะ
"พี่ครับ แล้วเค้กจำนวนมหาศาลที่ออกจากโรงงานนี้ เขานำไปขายที่ไหนกัน"
พี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบผม
"เราไม่ได้ขายเค้กพวกนี้หรอก เราจะแจกจ่ายเค้กเหล่านี้ให้เด็กทุกๆคนทั่วโลกที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้กินเค้กเลยสักครั้งในชีวิต เราคิดว่าเด็กๆทุกคนบนโลกนี้ควรได้รับความสุข และสิ่งที่เราพอจะทำให้พวกเขาก็คือทำเค้กให้พวกเขาในวันที่ครบรอบวันเกิดครบ 11 ปี"
"แล้วพี่จะรู้ได้อย่างไรครับว่าใครควรจะได้รับเค้ก"
"เรามีสายสืบที่จะออกตามหาและเฝ้าสังเกตว่าเด็กคนไหนเหมาะสมที่จะได้รับเค้กของเรา ในทุกๆวันมีเด็กที่ครบรอบวันเกิดนับล้านคนทั่วโลก เราจึงเพิ่มเงื่อนไขว่าเด็กที่เราจะต้องเป็นเด็กดีด้วย"
ผมทำหน้างงและใช้มือเกาที่หัว
"ถ้าเธออยากรู้ว่าเด็กคนไหนเป็นเด็กดี งั้นเราไปดูกัน วันนี้เธอจะได้รับบทเป็นผู้ช่วยสายสืบ"
"ว้าว...ว แท้จริงแล้วพี่เป็นสายสืบที่ตามหาเด็กๆที่เหมาะสมกับการได้รับเค้ก"
"ใช่"
พอพี่สายสืบพูดจบ แสงสว่างจ้าโผล่มาอีกครั้ง และไม่นานเราทั้งสองคนก็โผล่มายังสถานที่แห่งหนึ่งลักษณะเป็นหมู่บ้านที่ผมไม่คุ้นเคย
"ที่นี่คือประเทศอินเดีย เรามีรายงานว่าจะมีเด็กคนหนึ่งจะครบรอบวันเกิดปีที่ 11 ในวันพรุ่งนี้ พี่จะต้องมาประเมินว่าเด็กคนนี้ควรจะได้รับของขวัญของเราหรือเปล่า นั่นไงดูเด็กคนนั้นสิ"
พี่สายสืบชี้นิ่วไปให้ดูเด็กคนหนึ่งที่กำลังช่วยพ่อแม่ของเขาทำงานบ้านอย่างขมักเขม้น
"เด็กคนนั้นตัวเท่าผมเลย"
"ใช่แล้วล่ะ ก็เขามีอายุน้อยกว่าเธอหนึ่งวันไง เธอคิดว่าเด็กคนนั้นควรจะได้รับเค้กวันเกิดของเราหรือไม่"
ผมทำหน้าสับสน ผมไม่รู้ว่าเด็กดีคืออะไร แล้วเด็กคนนั้นเป็นเด็กดีหรือไม่
"แค่เด็กที่ช่วยเหลืองานที่บ้านเราก็ถือว่าเป็นเด็กดีแล้ว วันพรุ่งนี้จะมีคนนำเค้กมาส่งให้เด็กคนนี้เป็นของขวัญวันเกิด"
พี่สายสืบจดบันทึกลงในสมุดส่วนตัวของเขา