ไม่ใช่ข่าวใหม่อะไร แค่ต้องการนำเสนอข้อมูลให้พิจารณาว่ารากเหง้าของปัญหาเรื่องเส้นสายและคอรัปชั่นมาจากที่ไหนบ้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://bit.ly/18Gqqg5
"พงศ์เทพ"ฉะวงการตุลาการเป็นฝ่ายวิ่งหานักการเมือง ตัดขาคู่แข่ง สร้างระบบสองมาตรฐาน ขวางแก้ไขรัฐธรรมนูญปี"50
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ปราศรัยบนเวทีพรรคเพื่อไทย อนาคตประเทศไทย ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย วานนี้ (1 มิย.) โดยนายพงศ์เทพ กล่าวว่า ตนเคยอยู่ในวงการตุลาการ สิ่งที่เคยเห็นในวงการนี้คือ โดนเลียนเเบบมาใช้กับการเมือง เมื่อ 20 ปีที่เเล้วเกิดวิกฤติตุลาการขึ้น ประธานศาลฎีกาตอนนั้นกำลังเกษียณอายุ เเละสนับสนุนคนของตัวเองที่ได้รับเสียงข้างน้อยเป็นประธานศาลฎีกา เพราะตุลาการส่วนใหญ่หนุนอีกคนหนึ่ง ตอนนั้นฝ่ายตุลาการวิ่งไปหาฝ่ายการเมือง เพราะตอนนั้นศาลอยู่ในกระทรวงยุติธรรมโดยใช้เทคนิคกฎหมายมาช่วย จนเสียงข้างน้อยในตอนนั้นได้เป็นประธานศาลฎีกา
ต่อมาในการเลือกตั้งคณะกรรมการตุลาการ (กต.) กต.มีการสอบวินัยร้ายเเรงผู้พิพากษาศาลฎีกา เเละไล่ออก 13 คนที่อยู่ขั้วตรงข้าม โดยมีนายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตคตส. นายวิชา มหาคุณ ปปช.เเละนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยอยู่ในรายชื่อที่โดนไล่ออกในตอนนั่น
นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เมื่อตัดคู่เเข่งออกไปเเต่ไม่สำเร็จ วงการนี้ก็ใช้การเเก้กฎหมายปรับโครงการกต.เพื่อครองอำนาจต่อ เพราะคนของตัวเองสู้ในการเลือกตั้งกต.อย่างไรก็เเพ้ วิธีคือเเก้กฎหมาย การทำเเบบนี้เหมือนการยึดอำนาจ 2549 บทบาทของตุลาการกับการเมืองนั้นชัดเจนในปี2549 เเละคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับหนึ่งระบุว่า ผู้ใดยึดอำนาจคือรัฐาธิปัตย์
คดีนี้นั้นทำให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ตัดสินคดีนั้นได้รับตำเเหน่งรมต.ในการยึดอำนาจครั้งนั้นด้วย ปี2549เป็นต้นมานักกฎหมายจะเจอคำตัดสินประหลาดๆเเบบไม่เคยเจอมาก่อน เเละคนในวงการตุลาการบางคนก็มารับตำเเหน่งต่างๆทางการเมืองในตอนนั้นด้วย ประชาชนจะทนไม่ได้กับการใช้กฎหมายที่อยุติธรรม มีการสอนคนที่เป็นตุลาการว่าหากมีส่วนได้เสียกับคดีหรือมีอคติกับคดีนั้น ต้องถอนตัวจากการพิจารณา เเต่สิ่งในวันนี้มันไม่ใช่เลย
ระบบสองมาตรฐานของไทยคือลืมขังกับขังลืม บางคนได้ประกันตัว บางคนไม่ได้ประกันตัวในความผิดคดีเดียวกัน เเบบนี้มันไร้มาตรฐานมากกว่าสองมาตรฐาน เวลาตัดสินคดีในศาล สื่อควรระบุชื่อตุลาการในการวินิจฉัยคดีนั้นๆด้วยเพราะตุลาการบางคนตัดสินผูกขาดในหลายคดีเเบบคนเดียวเเละออกมาเเนวทางเดียวกัน
รองนายกฯ กล่าวว่า กฎหมายสมัยก่อนจะใช้ในปัจจุบันไม่ได้เพราะอาจขัดรัฐธรรมนูญ คำสั่งของคปค.เเละคมช.เมื่อปี2549นั้นมาจากการสุมหัวของคนไม่กี่คนจนเป็นรัฐธรรมนูญ 2549 นั้น คนที่สุมหัวพวกนี้ไม่ควรอยู่ในวงการกฎหมายอีก เพราะตอนนั้นคนพวกนี้เทิดทูนพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช. เเต่ตอนนี้พลเอกสนธิยังสนับสนุนการเเก้รัฐธรรมนูญ 2550 เลย ฉะนั้นกากเดนพวกนี้ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ 2550 จึงปกป้องกันเเบบนี้
วงการตุลาการ เรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่จากคนเก่าๆ ในวงการ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"พงศ์เทพ"ฉะวงการตุลาการเป็นฝ่ายวิ่งหานักการเมือง ตัดขาคู่แข่ง สร้างระบบสองมาตรฐาน ขวางแก้ไขรัฐธรรมนูญปี"50
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ปราศรัยบนเวทีพรรคเพื่อไทย อนาคตประเทศไทย ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย วานนี้ (1 มิย.) โดยนายพงศ์เทพ กล่าวว่า ตนเคยอยู่ในวงการตุลาการ สิ่งที่เคยเห็นในวงการนี้คือ โดนเลียนเเบบมาใช้กับการเมือง เมื่อ 20 ปีที่เเล้วเกิดวิกฤติตุลาการขึ้น ประธานศาลฎีกาตอนนั้นกำลังเกษียณอายุ เเละสนับสนุนคนของตัวเองที่ได้รับเสียงข้างน้อยเป็นประธานศาลฎีกา เพราะตุลาการส่วนใหญ่หนุนอีกคนหนึ่ง ตอนนั้นฝ่ายตุลาการวิ่งไปหาฝ่ายการเมือง เพราะตอนนั้นศาลอยู่ในกระทรวงยุติธรรมโดยใช้เทคนิคกฎหมายมาช่วย จนเสียงข้างน้อยในตอนนั้นได้เป็นประธานศาลฎีกา
ต่อมาในการเลือกตั้งคณะกรรมการตุลาการ (กต.) กต.มีการสอบวินัยร้ายเเรงผู้พิพากษาศาลฎีกา เเละไล่ออก 13 คนที่อยู่ขั้วตรงข้าม โดยมีนายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตคตส. นายวิชา มหาคุณ ปปช.เเละนายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยอยู่ในรายชื่อที่โดนไล่ออกในตอนนั่น
นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เมื่อตัดคู่เเข่งออกไปเเต่ไม่สำเร็จ วงการนี้ก็ใช้การเเก้กฎหมายปรับโครงการกต.เพื่อครองอำนาจต่อ เพราะคนของตัวเองสู้ในการเลือกตั้งกต.อย่างไรก็เเพ้ วิธีคือเเก้กฎหมาย การทำเเบบนี้เหมือนการยึดอำนาจ 2549 บทบาทของตุลาการกับการเมืองนั้นชัดเจนในปี2549 เเละคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับหนึ่งระบุว่า ผู้ใดยึดอำนาจคือรัฐาธิปัตย์ คดีนี้นั้นทำให้ผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ตัดสินคดีนั้นได้รับตำเเหน่งรมต.ในการยึดอำนาจครั้งนั้นด้วย ปี2549เป็นต้นมานักกฎหมายจะเจอคำตัดสินประหลาดๆเเบบไม่เคยเจอมาก่อน เเละคนในวงการตุลาการบางคนก็มารับตำเเหน่งต่างๆทางการเมืองในตอนนั้นด้วย ประชาชนจะทนไม่ได้กับการใช้กฎหมายที่อยุติธรรม มีการสอนคนที่เป็นตุลาการว่าหากมีส่วนได้เสียกับคดีหรือมีอคติกับคดีนั้น ต้องถอนตัวจากการพิจารณา เเต่สิ่งในวันนี้มันไม่ใช่เลย ระบบสองมาตรฐานของไทยคือลืมขังกับขังลืม บางคนได้ประกันตัว บางคนไม่ได้ประกันตัวในความผิดคดีเดียวกัน เเบบนี้มันไร้มาตรฐานมากกว่าสองมาตรฐาน เวลาตัดสินคดีในศาล สื่อควรระบุชื่อตุลาการในการวินิจฉัยคดีนั้นๆด้วยเพราะตุลาการบางคนตัดสินผูกขาดในหลายคดีเเบบคนเดียวเเละออกมาเเนวทางเดียวกัน
รองนายกฯ กล่าวว่า กฎหมายสมัยก่อนจะใช้ในปัจจุบันไม่ได้เพราะอาจขัดรัฐธรรมนูญ คำสั่งของคปค.เเละคมช.เมื่อปี2549นั้นมาจากการสุมหัวของคนไม่กี่คนจนเป็นรัฐธรรมนูญ 2549 นั้น คนที่สุมหัวพวกนี้ไม่ควรอยู่ในวงการกฎหมายอีก เพราะตอนนั้นคนพวกนี้เทิดทูนพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคมช. เเต่ตอนนี้พลเอกสนธิยังสนับสนุนการเเก้รัฐธรรมนูญ 2550 เลย ฉะนั้นกากเดนพวกนี้ได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ 2550 จึงปกป้องกันเเบบนี้