วันนี้ก็ครบ 5 วันแล้ว ที่น้องอัลมอนด์ น้องชายคนเล็กของบ้านได้จากพวกเราไป แรกๆมันเป็นอะไรที่ทำใจได้ยากมาก ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน เป็นวันแรกที่น้องมีอาการชัดเจนคือหายใจลำบากมากและอ่อนแรงยืนไม่ไหว จนต้องรีบพาส่งโรงพยาบาล หมอตรวจพบว่ามีสาเหตุมาจากโรคหัวใจและโรคปอดจนต้องเอาเข้าตู้ออกซิเจนและต้องค้างอยู่ที่นี่เพราะน้องต้องการออกซิเจนตลอดเวลา เป็นครั้งแรกที่น้องต้องจากบ้านไปนอนที่อื่น
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน หมอเฉพาะทางด้านหัวใจทำการตรวจเอ็กซ์เรย์และอัลตร้าซาวด์ พบว่าผนังหัวใจน้องมีความหนาผิดปกติ ส่งผลให้การสูบฉีดเลือดมีปัญหา กับมีปัญหาปอดบวมและน้ำท่วมปอด หมอบอกให้ทำใจไว้นะ เพราะอาการนี้อาจทำให้น้องเสียชีวิตได้ตลอดเวลา พี่สาวผมถึงกับร้องไห้ที่โรงพยาบาล
วันอังคารที่ 23 กันยายน ช่วงเช้าพ่อกับแม่และพี่สาวผมเดินทางไปเยี่ยมน้องด้วยกันเพื่อหวังให้น้องมีกำลังใจ นี่คงเป็นยาชนิดเดียวที่พวกเราพอจะให้เค้าได้ ช่วงบ่ายหมอโทรมาบอกว่าอาการน้องดีขึ้นสลับกับแย่ลง แนะนำให้ย้ายโรงพยาบาลเพื่อพบหมอผู้เชี่ยวชาญโดยตรงให้ดูแลอย่างใกล้ชิดจะดีกว่า เพราะที่นี่หมอหัวใจเข้าแค่วันจันทร์วันเดียว เราจึงตัดสินใจย้ายน้องไปโรงพยาบาลใหม่ที่มีเจ้าหน้าที่และเครื่องมือพร้อมกว่า และมีเพื่อนพี่สาวผมเป็นหมออยู่ที่นี่ด้วย พี่หมอรับปากว่าจะช่วยดูแลน้องให้เป็นอย่างดี เราคาดหวังให้น้องตอบสนองต่อการรักษาที่นี่และอาการน่าจะดีขึ้น
วันพุธที่ 24 กันยายน พี่สาวกับพ่อแวะไปเยี่ยมน้องก่อนเดินทางไปธุระ และหลังเสร็จธุระพี่สาวก็แวะมาเยี่ยมอีกครั้งตอนหกโมงเย็นก่อนจะกลับบ้าน น้องถูกย้ายมาไว้ในกรงตรงโต๊ะหมอเพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่าตัวอื่นๆ น้องยังคงดูอ่อนแรง เวลาสองทุ่มครึ่งโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าน้องอาการโคม่า พวกเรารีบไปหาน้องที่โรงพยาบาล แต่ระหว่างทางหมอก็โทรมาบอกว่าน้องเสียชีวิตแล้ว พี่สาวผมขับรถไปร้องไห้ไปปิ่มใจจะขาด เมื่อมาถึงโรงพยาบาลน้องนอนอยู่บนเตียงห้องฉุกเฉินในสภาพเรียบร้อยอยู่ในท่านอนคว่ำเหมือนตอนที่เค้านอนหลับท่าสบายเป็นประจำ พี่หมอที่เป็นเพื่อนกับพี่สาวผมเค้าจัดการดูแลร่างน้องให้เป็นอย่างดี ทั้งหวีขนให้ฟูเรียบร้อย เอาผ้าขนหนูมาปู และจัดท่านอนให้ สภาพน้องเหมือนตอนเค้านอนอยู่ที่บ้าน กับสายตาที่นิ่งสนิท ซึ่งเป็นธรรมดาของสุนัขเวลาตายตาเค้าจะไม่ปิดเหมือนคนเรา พี่หมอเล่าถึงช่วงเวลาลมหายใจสุดท้ายของน้องให้ฟังว่าเค้าจากไปอย่างสงบ หลังจากที่กินอาหารแล้วน้องเค้านิ่งก็ไป พี่หมอจึงรีบอุ้มออกมาดูแล้วพบว่าหัวใจน้องหยุดเต้นแล้ว จึงรีบพยายามปั๊มหัวใจให้ทันที แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตน้องเอาไว้ได้ น้องสิ้นใจหลังจากที่ต้องต่อสู้กับอาการหายใจลำบากมา 3 วัน ยังไม่นับก่อนหน้านี้ที่เริ่มมีอาการแต่ยังไม่ชัดเจน พวกเราพยายามช่วยน้องต่อสู้กับโรคร้ายเพื่อให้น้องได้กลับมานอนที่บ้านอีกครั้ง ไม่มีใครรู้เลยว่าคืนวันอาทิตย์ที่ 21 คืนนั้นที่น้องต้องไปนอนที่อื่นแล้วเค้าจะไม่ได้กลับมานอนที่บ้านอีกเลย ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลผมพยายามกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถปิดบังเสียงที่สั่นเครือเวลาพูดกับพี่หมอได้เลย คืนนั้นพอกลับมาถึงบ้านเห็นซีซ่าร์กับอาหารเม็ดและขนมที่น้องชอบกินที่วางไว้ก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ได้อีกต่อไป พี่สาวผมไหว้พระในบ้านและศาลเจ้าที่ ขอให้ดวงวิญญาณน้องได้ตามกลับเข้ามาในบ้านที่เค้าเคยอยู่
วันพฤหัสที่ 25 กันยายน ผมกับพี่สาวตื่นแต่เช้าเพื่อจะพาน้องไปทำพิธีศพ เพราะพี่หมอบอกว่าร่างของน้องจะอยู่ในสภาพเดิมได้ไม่เกิน 12 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะเริ่มเน่า เราจึงต้องรีบไปกันแต่เช้า แฟนพี่สาวผมแวะไปรับน้องมาให้จากโรงพยาบาล ร่างน้องถูกแพคใส่กล่องกระดาษของโรงพยาบาล อย่างน้อยน้องก็ได้กลับมาบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ได้กลับมาในที่ที่เค้าเคยอยู่ เคยวิ่งเล่น จากนั้นเราก็พาน้องไปวัด ในระหว่างที่พระสวดพี่สาวผมยังคงร้องไห้ตลอดเวลา เราเอาซีซ่าร์ อาหารเม็ด ตับไก่กับไก่ย่างร้านประจำ และขนมแท่งที่น้องชอบกินถวายพระไปด้วย เพื่อเป็นการทำบุญให้น้องเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากถวายเสร็จสัปเหร่อก็อุ้มน้องไปที่เตาเผาศพ ให้พวกเราวางดอกไม้จันท์และกล่าวร่ำลาน้อง หลังจากนั้นเราก็เอาซีซาร์กับอาหารเม็ดที่ผสมแล้วในขวดโหลไปให้แจกจ่ายให้น้องหมาในวัด ซึ่งปกติน้องจะกินอาหารสูตรไดเอ็ทผสมกับอาหารเม็ดสูตรทั่วไปเพื่อควบคุมน้ำหนัก พี่สาวผมจะเทผสมตามสัดส่วนแล้วใส่ไว้ในขวดโหลพลาสติกนี้ ซึ่งมีเหลืออยู่เกือบครึ่ง นำไปเทให้น้องหมาตัวอื่นๆได้กิน ตอนที่ได้เห็นหมาตัวอื่นได้กินอาหารที่น้องชอบ มันทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าพวกเขาได้มาช่วยกินแทนน้องที่มากินของเหล่านี้ไม่ได้อีกแล้ว หลังจากเดินให้อาหารจนทั่วก็มานั่งรอรับเถ้ากระดูก เมื่อได้เห็นกระดูกน้องพี่สาวผมก็ร้องไห้อีกครั้ง ทั้งในขณะที่พรมน้ำอบลงไปบนเถ้ากระดูกและตอนที่ถือห่อผ้าขาวบรรจุกระดูกเพื่อไปลอยอังคารที่ท่าน้ำ พวกเราคงมาส่งน้องได้แค่นี้จริงๆ จากน้องคนเล็กของบ้านที่ทุกคนช่วยกันดูแล ให้ความรัก คอยให้อาหาร ให้ขนม เปลี่ยนน้ำ พาไปเดินเล่น ดูแลปลอบใจเค้าเวลาป่วย ยามนอนก็อุ้มขึ้น ตอนเช้าก็อุ้มลง เป็นอย่างนี้ทุกวัน ตอนนี้ก็ไม่มีช่วงเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว
จนมาถึงตอนนี้ภาพน้องทั้งหมดในช่วงชีวิตของเค้าก็หลั่งไหลขึ้นมาเต็มหัวไปหมด ป่านนี้น้องคงวิ่งเล่นอยู่บนสวรรค์ ที่นั่นคงมีที่กว้างขวางกว่าบ้านเรามาก ขอให้ไปสู่สุขคตินะ น้องชายสุดที่รัก น้องคนเล็กของครอบครัวเรา พวกเราทุกคนรักหนูนะ
ไดอารี่สุดท้าย ถึงน้องชายคนเล็ก
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน หมอเฉพาะทางด้านหัวใจทำการตรวจเอ็กซ์เรย์และอัลตร้าซาวด์ พบว่าผนังหัวใจน้องมีความหนาผิดปกติ ส่งผลให้การสูบฉีดเลือดมีปัญหา กับมีปัญหาปอดบวมและน้ำท่วมปอด หมอบอกให้ทำใจไว้นะ เพราะอาการนี้อาจทำให้น้องเสียชีวิตได้ตลอดเวลา พี่สาวผมถึงกับร้องไห้ที่โรงพยาบาล
วันอังคารที่ 23 กันยายน ช่วงเช้าพ่อกับแม่และพี่สาวผมเดินทางไปเยี่ยมน้องด้วยกันเพื่อหวังให้น้องมีกำลังใจ นี่คงเป็นยาชนิดเดียวที่พวกเราพอจะให้เค้าได้ ช่วงบ่ายหมอโทรมาบอกว่าอาการน้องดีขึ้นสลับกับแย่ลง แนะนำให้ย้ายโรงพยาบาลเพื่อพบหมอผู้เชี่ยวชาญโดยตรงให้ดูแลอย่างใกล้ชิดจะดีกว่า เพราะที่นี่หมอหัวใจเข้าแค่วันจันทร์วันเดียว เราจึงตัดสินใจย้ายน้องไปโรงพยาบาลใหม่ที่มีเจ้าหน้าที่และเครื่องมือพร้อมกว่า และมีเพื่อนพี่สาวผมเป็นหมออยู่ที่นี่ด้วย พี่หมอรับปากว่าจะช่วยดูแลน้องให้เป็นอย่างดี เราคาดหวังให้น้องตอบสนองต่อการรักษาที่นี่และอาการน่าจะดีขึ้น
วันพุธที่ 24 กันยายน พี่สาวกับพ่อแวะไปเยี่ยมน้องก่อนเดินทางไปธุระ และหลังเสร็จธุระพี่สาวก็แวะมาเยี่ยมอีกครั้งตอนหกโมงเย็นก่อนจะกลับบ้าน น้องถูกย้ายมาไว้ในกรงตรงโต๊ะหมอเพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่าตัวอื่นๆ น้องยังคงดูอ่อนแรง เวลาสองทุ่มครึ่งโรงพยาบาลโทรมาบอกว่าน้องอาการโคม่า พวกเรารีบไปหาน้องที่โรงพยาบาล แต่ระหว่างทางหมอก็โทรมาบอกว่าน้องเสียชีวิตแล้ว พี่สาวผมขับรถไปร้องไห้ไปปิ่มใจจะขาด เมื่อมาถึงโรงพยาบาลน้องนอนอยู่บนเตียงห้องฉุกเฉินในสภาพเรียบร้อยอยู่ในท่านอนคว่ำเหมือนตอนที่เค้านอนหลับท่าสบายเป็นประจำ พี่หมอที่เป็นเพื่อนกับพี่สาวผมเค้าจัดการดูแลร่างน้องให้เป็นอย่างดี ทั้งหวีขนให้ฟูเรียบร้อย เอาผ้าขนหนูมาปู และจัดท่านอนให้ สภาพน้องเหมือนตอนเค้านอนอยู่ที่บ้าน กับสายตาที่นิ่งสนิท ซึ่งเป็นธรรมดาของสุนัขเวลาตายตาเค้าจะไม่ปิดเหมือนคนเรา พี่หมอเล่าถึงช่วงเวลาลมหายใจสุดท้ายของน้องให้ฟังว่าเค้าจากไปอย่างสงบ หลังจากที่กินอาหารแล้วน้องเค้านิ่งก็ไป พี่หมอจึงรีบอุ้มออกมาดูแล้วพบว่าหัวใจน้องหยุดเต้นแล้ว จึงรีบพยายามปั๊มหัวใจให้ทันที แต่ก็ไม่สามารถยื้อชีวิตน้องเอาไว้ได้ น้องสิ้นใจหลังจากที่ต้องต่อสู้กับอาการหายใจลำบากมา 3 วัน ยังไม่นับก่อนหน้านี้ที่เริ่มมีอาการแต่ยังไม่ชัดเจน พวกเราพยายามช่วยน้องต่อสู้กับโรคร้ายเพื่อให้น้องได้กลับมานอนที่บ้านอีกครั้ง ไม่มีใครรู้เลยว่าคืนวันอาทิตย์ที่ 21 คืนนั้นที่น้องต้องไปนอนที่อื่นแล้วเค้าจะไม่ได้กลับมานอนที่บ้านอีกเลย ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลผมพยายามกลั้นน้ำตาแห่งความเสียใจเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถปิดบังเสียงที่สั่นเครือเวลาพูดกับพี่หมอได้เลย คืนนั้นพอกลับมาถึงบ้านเห็นซีซ่าร์กับอาหารเม็ดและขนมที่น้องชอบกินที่วางไว้ก็ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ร้องไห้ได้อีกต่อไป พี่สาวผมไหว้พระในบ้านและศาลเจ้าที่ ขอให้ดวงวิญญาณน้องได้ตามกลับเข้ามาในบ้านที่เค้าเคยอยู่
วันพฤหัสที่ 25 กันยายน ผมกับพี่สาวตื่นแต่เช้าเพื่อจะพาน้องไปทำพิธีศพ เพราะพี่หมอบอกว่าร่างของน้องจะอยู่ในสภาพเดิมได้ไม่เกิน 12 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะเริ่มเน่า เราจึงต้องรีบไปกันแต่เช้า แฟนพี่สาวผมแวะไปรับน้องมาให้จากโรงพยาบาล ร่างน้องถูกแพคใส่กล่องกระดาษของโรงพยาบาล อย่างน้อยน้องก็ได้กลับมาบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ได้กลับมาในที่ที่เค้าเคยอยู่ เคยวิ่งเล่น จากนั้นเราก็พาน้องไปวัด ในระหว่างที่พระสวดพี่สาวผมยังคงร้องไห้ตลอดเวลา เราเอาซีซ่าร์ อาหารเม็ด ตับไก่กับไก่ย่างร้านประจำ และขนมแท่งที่น้องชอบกินถวายพระไปด้วย เพื่อเป็นการทำบุญให้น้องเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากถวายเสร็จสัปเหร่อก็อุ้มน้องไปที่เตาเผาศพ ให้พวกเราวางดอกไม้จันท์และกล่าวร่ำลาน้อง หลังจากนั้นเราก็เอาซีซาร์กับอาหารเม็ดที่ผสมแล้วในขวดโหลไปให้แจกจ่ายให้น้องหมาในวัด ซึ่งปกติน้องจะกินอาหารสูตรไดเอ็ทผสมกับอาหารเม็ดสูตรทั่วไปเพื่อควบคุมน้ำหนัก พี่สาวผมจะเทผสมตามสัดส่วนแล้วใส่ไว้ในขวดโหลพลาสติกนี้ ซึ่งมีเหลืออยู่เกือบครึ่ง นำไปเทให้น้องหมาตัวอื่นๆได้กิน ตอนที่ได้เห็นหมาตัวอื่นได้กินอาหารที่น้องชอบ มันทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าพวกเขาได้มาช่วยกินแทนน้องที่มากินของเหล่านี้ไม่ได้อีกแล้ว หลังจากเดินให้อาหารจนทั่วก็มานั่งรอรับเถ้ากระดูก เมื่อได้เห็นกระดูกน้องพี่สาวผมก็ร้องไห้อีกครั้ง ทั้งในขณะที่พรมน้ำอบลงไปบนเถ้ากระดูกและตอนที่ถือห่อผ้าขาวบรรจุกระดูกเพื่อไปลอยอังคารที่ท่าน้ำ พวกเราคงมาส่งน้องได้แค่นี้จริงๆ จากน้องคนเล็กของบ้านที่ทุกคนช่วยกันดูแล ให้ความรัก คอยให้อาหาร ให้ขนม เปลี่ยนน้ำ พาไปเดินเล่น ดูแลปลอบใจเค้าเวลาป่วย ยามนอนก็อุ้มขึ้น ตอนเช้าก็อุ้มลง เป็นอย่างนี้ทุกวัน ตอนนี้ก็ไม่มีช่วงเวลาเหล่านั้นอีกแล้ว
จนมาถึงตอนนี้ภาพน้องทั้งหมดในช่วงชีวิตของเค้าก็หลั่งไหลขึ้นมาเต็มหัวไปหมด ป่านนี้น้องคงวิ่งเล่นอยู่บนสวรรค์ ที่นั่นคงมีที่กว้างขวางกว่าบ้านเรามาก ขอให้ไปสู่สุขคตินะ น้องชายสุดที่รัก น้องคนเล็กของครอบครัวเรา พวกเราทุกคนรักหนูนะ