$$... สุดท้าย ECB ก็เดินตามรอย FED ด้วยการอัด Full Stream of QE อยู่ดี ...$$

นับจากวิกฤต Euro Debt Crisis เมื่อปี 2011 ซึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องมาจากประเทศกรีซนั้น ตลาดหุ้นยุโรปกลับแข็งขัน วิ่งขึ้นมา ท่านกลางเศรษฐกิจที่โตอยู่เพียงแค่ 2-3 ประเทศ แต่นอกนั้นยังโผล่ไม่พ้นน้ำ สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนอยู่ซักพักทีเดียว



แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว เรากลับเห็น Action จาก ECB ที่ไม่โถมอัดเงินแบบ FED Model ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯทำเท่าไหร่ สาเหตุไม่ใช่เพราะความมีประสิทธิภาพของนโยบายเขาหรอกครับ
สาเหตุมันเป็นเพราะ ในยุโรปเอง ก็ไม่ได้สงบสุขซักเท่าไหร่ คนเยอรมันซึ่งยังสุขสบายไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรจากปัญหาเศรษฐกิจ เขาก็ไม่อยากเอาภาษีที่ตนจ่าย ไปอุ้มประเทศที่มีปัญหาในกลุ่ม PIIGS การต่อต้านทั้งบนสภา และบนถนน ก็มีให้เห็นมาตลอด แต่ยังจบลงได้ด้วยเสียงข้างมากที่ถูก Lobby ว่า "เฮ้ย ถ้าไม่มีสกุล EUR บนโลกนี้ ทั้งยุโรปจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่เป็นผลดีกับชาติใดในกลุ่มสมาชิกนะขอรับ" แต่ปัญหาการอยากแยกตัว ความต้องการอิสระ จากการรวมกลุ่มเฉพาะกิจนั้น ก็ยังคงมีอยู่ ดูอย่างสก๊อตแลนด์ที่อยากแยกออกจากอังกฤษสิครับ และหลายๆรัฐฯในสเปน ก็อยากแยกการปกครองตนเองออกจากส่วนกลางแบบใจจะขาดรอนๆอยู่แล้ว เพียงแต่ เสียงไม่ใหญ่พอ หรือก่อนหน้านี้ ที่รัสเซียมีปัญหากับยุโรป ก็เพราะคนในยูเครนแบ่งพรรคแบ่งพวก ข้างหนึ่งอยากเข้ายุโรป อีกข้างอยากอยู่กับรัสเซีย

เห็นไหม ปัญหามีมาตลอด ดังนั้น การดำเนินงานในเชิงนโยบายนั้น ทำได้ไม่ง่ายเลย ดีที่สุดก็แค่ประคับประคองไปเรื่อยๆ หรือรอจนกว่า คนที่ทะเลาะกันมันจะเห็นปัญหาทั้งคู่ และไม่เอามาเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง



จนถึงตอนนี้เงินเฟ้อยูโรโซน อยู่ตรงปากเหวพอดี ต่ำกว่านี้ ก็รอเป็นแบบญี่ปุ่นเมื่อ 20 ปีก่อน แน่ๆ ดังนั้น Mario Draghi จึงออกมาร้องเพลงพี่ป้าง "ฉันต้องทำ ทำอะไรซักอย่างแล้วววว"

ดังนั้นการประชุม 2 ต.ค. นี้ มาตรการที่ทุกท่านจะได้เห็น น่าจะนำไปสู่การสู้กันของ Currency War ภาคสอง (หลังภาคแรก สหรัฐฯเป็นฝ่ายชนะไป) และถือเป็นประตู่สู่นโยบายอัดฉีดสภาพคล่องเต็มด้วย เพราะลดดอกเบี้ยมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว อยากให้เศรษฐกิจฟื้น มีแต่ต้องปั๊มๆๆๆๆๆๆๆ มันเข้าไปอีก

อันที่จริง ทุกๆคนเขาก็เห็นปัญหาที่ตามมาจากการออก QE นะครับ ลองดูกราฟด้านล่างนี้ครับ จะเห็นว่า FED อัดฉีดเพิ่มปริมาณเงินไปตั้งเท่าไหร่ เงินในระบบมีเยอะแยะมากมาย แต่ ในมุมของผู้ใช้แรงงาน จะพบว่า ค่าจ้างแรงงานหลังหักเงินเฟ้อของสหรัฐ ณ ปัจจุบัน อยู่ในระดับต่ำสุด ต่ำกว่าปี 1950 หรือเมื่อ 60 ปีที่แล้วเสียอีก



ไปดู GDP per Capita ของทั้งโลก แล้วยิ่งเห็นภาพ เพราะ สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีรายได้ต่อหัวสูงที่สุดในกราฟนี้ แต่สัดส่วนกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่พอจ่ายค่าอาหารประทังชีวิต กลับสูงเกือบๆ 25% ของประชากรทั้งหมดทีเดียว นี่เป็นสาเหตุของขนาดหนี้สาธารณะของสหรัฐฯขนาดมหึมา ที่ต้องจ่ายให้กับสวัสดิการว่างงานมาตลอด จะไม่ดูแลเขาได้ไงครับ นั้นมันฐานเสียง 25% เชียวนะเออ!!!



นี่แสดงให้เห็นว่า สภาพคล่องที่สูงขึ้น กำไรที่สูงขึ้นของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มันไม่ได้สร้างความมั่งคั่งให้คนทุกคน แต่แค่เฉพาะบางคนเท่านั้น



เพราะฉะนั้น ปัญหาของ QE จากสหรัฐฯ Model ก็คือ มันเป็นการเพิ่มความมั่งคั่งให้คนที่รวยอยู่แล้วรวยยิ่งขึ้น ในขณะที่คนจน ก็ยังจนเหมือนเดิม แต่เชื่อเถอะ ยังไง ECB ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออก QE ตามรอยสหรัฐฯ
หนึ่งในเหตุผลนั้นก็คือ กราฟด้านล่างครับ จะเห็นว่า เมื่อดูจากงบดุลของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะพบว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าธนาคารกลางอื่นๆ เมื่อเปรียบเทียบเป็น % ต่อ GDP ของประเทศนั้นๆ สาเหตุก็อันเนื่องมาจากการที่สถาบันการเงินในยุโรปจ่ายคืนนี้จากโครงการ LTRO ได้ต่อเนื่อง ส่วนญี่ปุ่นนั้น อัดฉีดเงินเต็มเพดานไปแล้วครับ และค่าเงินเยน ก็อ่อนค่าสมใจ Policy Marker ไปแล้ว ทำให้ส่งออก กลับมาเป็นความหวังของประเทศ

ส่วน ECB นั้น ถ้าเทียบตัวเองกับธนาคารกลางคนอื่นๆ เขาก็สามารถโล่งใจได้ว่า Balance Sheet ตัวเองยังมีเนื้อที่เหลือให้ทำ QE ได้อีกเยอะทีเดียว และยิ่งทำให้ค่าเงิน EUR อ่อนค่า ก็จะได้ฐานเสียงจากเยอรมันซึ่งเศรษฐกิจพึ่งการส่งออกสูงสุดเมื่อเทียบบน GDP ประเทศ



เหตุผลที่สอง ที่เชื่อว่า QE มาแน่ๆก็คือ รูปสวยๆด้านล่างนี้ครับ
ผู้ทรงอิทธิพลในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซน (เกือบทั้งทวีป) เคยทำงานตำแหน่งใหญ่ๆใน Goldman Sachs ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นวิธีคิดแบบ Wallstreet และแนวทางแบบ Keynesian economics ที่ให้รัฐฯเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ภาสะถดถอยนั้น มันถูกฝังอยู่ในสายเลือดของท่านๆเหล่านั้นไปแล้วครับ



ดังนั้น ดูท่าทางแล้ว ฟองสบู่โลกคงยังไม่แตก เพราะยังมีคนเป่าขยายมันไปเรื่อยๆอยู่ ทั้ง ECB และ BOJ นั้นล่ะ ส่วนปริมาณเงินที่เยอะมากขึ้นในระบบทุนนิยมโลกตอนนี้ ดูจากที่สหรัฐฯทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นแล้ว ก็น่าจะพอรู้กันแล้วนะครับ ว่าเราต้องรับมือกับสถานการณ์แบบนี้อย่างไร

---------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่