.....พุทธศาสนากับการเมือง กระทบชิ่งไปถึงนายสุวิทย์(พุทธอิสระ)....เบาๆ อ่านเล่นๆ ก่อนนอน.....

กระทู้สนทนา
พระกับนักการเมือง

ตั้งแต่ไหนแตไรมา... ต่างฝ่ายต่างก็อิงแอบกันเพื่อผลประโยชน์อันเป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง   หลายครั้งที่การเมืองรับใช้ศาสนา  และหลายคราที่ศาสนารับใช้การเมือง......นักการเมืองรวมไปถึงเจ้าแห่งแว่นแคว้นในอดีตเคยอาศัยผ้าเหลืองหลบภัยการเมือง   ในทำนองเดียวกันพระคุณเจ้าหลายรูปก็ใช้ผ้าเหลืองเล่นการเมือง     แม้ครั้งสมัยพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่   พระอย่างท่านเทวทัตก็อาศัยผ้าเหลืองเล่นการเมือง  ยุยงให้พระเจ้าอาชาตศรัตรูทำการปฏิวัติโค่นอำนาจพระราชบิดา(พระเจ้าพิมพิสาร)ถึงขั้นทำการปิตุฆาต

  
ว่าไปทำไมมี.....สมเด็จพระณเรศวรหากไม่ได้ท่านพระมหาเถรคันฉ่องนำความมาแจ้งว่าทางพม่าประสงค์ร้ายแล้ว  ก็คงไม่มีการประกาศอิสระภาพที่เมืองแครง? (ความเห็นส่วนตัว  ประวัติศาสตร์ตรงนี้ผมไม่ค่อยเคลียร์และตั้งข้อสังเกตุเงียบๆ  คือไม่มั่นว่าใจพระณเรศวรในขณะนั้นมีอำนาจพอที่จะประกาศอิสระภาพตัดสัมพันธไมตรีกับพม่าหรือไม่?  เพราะตอนประกาศอิสระภาพสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดาก็ยังทรงครองราชย์อยู่)    ส่วนกรณี พระเจ้าทรงธรรมก่อน “ปราบดาภิเษก” ท่านก็เป็นภิกษุระดับพระราชาคณะชั้นหิรัญฯ ที่พระพิมลธรรม  ที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนโค่นยิ้มในครั้งนั้น.....หรือแม้แต่กรณีการโค่นอำนาจ “ท้าวศรีสุดาจันท์” ของขุนพิเรนทรเทพร่วมกับทหารคนอื่นๆ อีกนั้น   ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าพระเฑียรราชา(ต่อมาคือสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์)ซึ่งบวชลี้ภัยทางการเมืองอยู่จะไม่มีส่วนรู้เห็น(Vajaranon)


กรณีต้องอาศัยการบวชเพื่อลี้ทางการเมืองนั้น   คลาสสิคที่สุดเห็นจะเป็นเหตุการณ์ในช่วงปลายอยุธยา    การขึ้นครองราชย์ของเจ้าฟ้าอุทุมพรนั้นเป็นพระราชประสงค์ของพระราชบิดา(สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)โดยได้ข้ามพระเชษฐาคือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ไป    กล่าวว่าเจ้าฟ้าเอกทัศน์ถูกบังคับให้ออกผนวชเสีย(เพื่อเปิดทางให้พระอนุชาคือเจ้าฟ้าอุทุมพร)  แต่หลังจากสิ้นรัชสมัยพระบรมโกศ   เจ้าฟ้าอุทุมพรขึ้นครองราชย์ไม่ทันข้ามเดือน  เจ้าฟ้าเอกทัศน์ก็สึกออกมาทวงบังลังก์คืนจากพระอนุชา   แล้วพระอนุชาพระเจ้าอุทุมพรก็ทรงลี้ภัยทางการเมืองโดยการออกผนวชเสีย    เมื่ออยุธยาต้องทำสงครามกับพม่าใน “ศึกอลองพญา”  เจ้าฟ้าอุทุมพรก็ถูกขอร้องให้สึกออกมาช่วยบัญชาการรบ   พอศึกอลองพญาสงบ...เจ้าอุทุมพรก็ต้องลี้ภัยกลับไปเป็นภิกษุอีกครั้ง  จึงถูกขนานนามว่า “ขุนหลวงหาวัด”      อีกกรณีหนึ่งในรัชสมัยรัตนโกสิทร์...หนึ่งในเหล่าพระราชโอรสของพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ห้าคือพระองค์เจ้าปฏษฎางค์ที่ถูกส่งไปเรียนต่อที่ยุโรป   ครั้นสำเร็จการศึกษา  พระองค์เจ้าปฏษฏางค์ไม่ได้นิวัติกลับสยามเหมือนราชโอรสองค์อื่นๆ   แต่ทรงไปบวชเป็นพระภิกษุที่ศรีลังกาหลายสิบปี(จนเป็นเจ้าอาวาส)   เหตุการณ์ตรงนี้ก็มีนัยยะทางการเมืองเรื่องประชาธิปไตยเกี่ยวข้องด้วย(ขออนุญาตไม่พูดถึงรายละเอียด)



ส่วนกรณีที่ฝ่ายศาสนาอาศัยอำนาจฝ่ายบ้านเมืองเข้าเกื้อกูลผลประโยชน์ให้แก่ตัวเอง   ที่โด่งดังที่สุดเห็นจะเป็นกรณี “ศึกสมเด็จฯ” ที่พระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ระดับพระราชาคณะและสมเด็จพระราชาคณะที่เล่น “การเมือง” ภายในวัดกันจนถึงต้องยืมอำนาจบ้านเมืองในขณะนั้น(จอมพลสฤษดิ์)เพื่อยัดข้อห้าคอมมิวนิสต์ให้แก่พระบริสุทธิ์คือพระพิมลธรรม(วัดมหาธาตุ)  จนท่านต้องโดนกระชากผ้าเหลืองที่ครองอยู่แล้วให้นุ่งขาวห่มขาวในคุกที่สันติบาลเป็นเวลาหลายปี   กว่าศาลจะตัดสินว่าท่านบริสุทธิ์  คนที่กลั่นแกล้งรวมไปถึงพระที่กระชากผ้าเหลืองท่านมรณภาพไปเกือบหมด (รายละเอียดหนังสือ "ศึกสมเด็จ" ของแสวง  อุดมศรี)  จะว่าไปแล้ว “การเมือง” ในวงการสงฆ์ก็รุนแรงไม่แพ้ฝ่ายบ้านเมืองเลย.......ดูง่ายๆ ตอนนี้เลย   ตำแหน่ง “สังฆราช” ว่างลงมาจะปีกว่าแล้วก็ยังไม่มีการแต่งตั้ง??  



คราวนี้ถ้าถามว่า   ในกรณีที่พระลงมาเล่นการเมืองอย่างโจ่งครึมอย่างพุทธอิสระในนี้มันผิดศีลไหม?  ถ้าตอบแบบ “หัวหมอ” เอาตามพระวินัยบัญญัติก็ไม่มีข้อไหนที่ห้ามไว้ตรงๆ ว่าไม่ให้เล่นการเมือง??   ถามต่อว่า “ควรไหม?”  ตรงนี้พุทธศาสนิกชนทุกคนก็ตอบได้ว่า “ไม่ควร และไม่ใช่กิจสงฆ์”   ทำไมหรือ?   ตอบง่ายๆ โดยยกอ้างพระพุทธโอวาทที่พระองค์ทรงติเตียนความประพฤติของพระสงฆ์ที่แม้จะไม่อาบัติแต่ไม่สมควรแก่สมณสารูปเสมอๆ ว่า  “นั่นไม่ใช่หนทางแห่งการดับทุกข์”   ยิ่งการเข้าไปข้องเกี่ยวกับการเมืองที่ถือว่าเป็น “โลกิยะ” อันตรงข้ามกับ “โลกุตระ” แล้วก็ยิ่งถือว่าภิกษุรูปนั้นไม่ได้กำลังว่ายเข้าสู่ฝั่งพระนิพพาน  กลับกำลังนำตัวเองจมดิ่งสู่ตัณหาสมดั่งพุทธภาษิตที่ว่า  นตฺถิ  ตณฺหา  สมา  นที



แม้ว่าการนำตัวเองเข้าไปพัวพันในการเมือง  ไม่ได้ถูกห้ามไว้ในพระวินัยโดยตรง....แต่พระภิกษุก็ไม่ควรทำตัวประมาทต่อการนำตัวเองเข้าไปตรงนั้น   ยิ่งเป็นพระที่ไม่มีอินทรีย์ที่กล้าแข็งต่อสิ่งที่มากระทบ  หู  ตา  จมูก ลิ้น  กาย  ใจ  ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะละเมิดศีลได้ง่ายและหลายข้อ   เหมือนอย่างที่นายสุวิทย์หรือพุทธอิสระที่เคยทำและกำลังทำอยู่ตอนนี้  (อย่าว่าแต่การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย   เอาแค่พระดายหญ้า  หรือทำให้ใบไม้ร่วงก็อาบัติปาจิตตีย์แล้ว พระวินัยบัญญัติกล่าว่า  ห้ามพระภิกษุพรากของเขียว (เช่น ตัดไม้ ดายหญ้าเป็นต้น))


  อีกประการหนึ่ง...พระภิกษุควรกระทำและหมั่นดูแล “อภิสมาจาร” ของตัวเองให้หมดจดเสียตลอด  แม้หากเพียงแค่อภิสมาจารพระรูปนั้นไม่หมดจดเสียแล้ว   ป่วยการที่จะถามหาศีลของพระรูปนั้นว่าบริสุทธิ์ไหม? “อภิสมาจาร” คือวัตรและแนวทางประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุ  ภิกษุรูปไหนที่ปฏิบัติไม่เป็นที่เคารพ ไม่ควรคู่ต่อการบูชา(แม้จะไม่ผิดพระวินัย)ก็ถือว่าอภิสมาจารของพระรูปนั้นไม่หมดจดแล้ว   


ก่อนเข้านอน...ขอฝากพุทธโอวาทข้างล่างนี้ถึงพุทธอิสระ   อ่านเสร็จสำรวจมองดูตัวเองด้วย
“ภิกษุทั้งหลาย  มูลเหตุแปดอย่างเหล่านี้  ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมเสียสำหรับภิกษุ  ผู้ยังไม่จบกิจแห่งการปฏิบัติให้ลุถึงนิพพาน   มูลเหตุแปดอย่างอะไรกันเล่า?  แปดอย่างคือ”  
๑.     ความเป็นผู้พอใจในงานก่อสร้าง
๒.    ความเป็นผู้พอใจในการคุย
๓.    ความเป็นผู้พอใจในการนอน
๔.    ความเป็นผู้พอใจในการจับกลุ่มคลุกคลีกัน
๕.    ความเป็นผู้ไม่คุ้มครองในอินทรีย์ทวารทั้งหลาย
๖.    ความเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณในการบริโภค
๗.    ความเป็นผู้พอใจในการทำ  เพื่อเกิดสัมผัสสนุกทางกาย
๘.    ความเป็นผู้พอใจในการขยายกิจการ  ให้โยกโย้โอ้เอ้เนิ่นนาน  พระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่