สวัสดีค่ะ เพิ่งไปสอบ IELTS ของ British Council มาค่ะ สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อเช้านี้เอง (27/09/2014)
จขกท.เคยมีประสบการณ์การสอบ IELTS ที่กรุงเทพฯ เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สอบที่เชียงใหม่ค่ะ เนื่องจากทำงานอยู่ที่นี่
เราจะเล่าตั้งแต่การไปสมัครเลยละกันนะคะ
เราไปสมัครด้วยตัวเองที่สำนักงาน BC เชียงใหม่ค่ะ การสมัครด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้รูปค่ะ เราเตรียมรูปไปแต่ไม่ได้ใช้ จนท.บอกว่าจะถ่ายรูปและแสกนลายนิ้วมือก่อนเข้าห้องสอบเลย แต่สำหรับการสมัครออนไลน์ต้องลองตรวจสอบก่อนนะคะ กว่าต้องใช้รูปหรือไม่
สำหรับการเตรียมตัวสอบ หลัก ๆ คือการเตรียมตัวสอบด้วยตัวเองค่ะ หาจากในอินเตอร์เนทและกระทู้ที่เพื่อน ๆ ได้โพสไว้ โดยดูว่าครั้งที่แล้วเราพลาดใน part ไหน ก็เตรียมใน part นั้น ๆ ให้มากขึ้น เราไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก เนื่องจากทำงานไปด้วยค่ะ
จุดอ่อนของเราคือการอ่านและการเขียนค่ะ เมื่อครั้งที่แล้วทำได้ไม่ค่อยดี ครั้งนี้เราก็เตรียมตัวมากขึ้น แต่เตรียมแบบคนขี้เกียจค่ะ คือ เราไปหาตัวอย่างการเขียนของทั้งสอง task มาดู เน้นของคนที่ได้คะแนน 8 ขึ้นไป จากนั้นก็เขียนค่ะ เขียนตามเค้านั่นแหละ เขียนไปก็วิเคราะห์ย่อหน้าไป ว่าในย่อหน้านี้ใจความหลักคืออะไร ใช้ภาษาอย่างไร ใช้คำเชื่อมอย่างไร และจำค่ะ จากนั้นลองเขียน key words เหล่านั้นให้ขึ้นใจ
สำหรับการเขียนใน Task 1 เราก็ยึดเอารูปแบบละ 1 ตัวอย่างค่ะ เช่น จำรูปแบบการอธิบายกราฟ 1 ตัวอย่าง, Pie chart 1 ตัวอย่าง, diagram 1 ตัวอย่าง, table 1 ตัวอย่าง ส่วนใน Task 2 เราก็จำอีก 1 ตัวอย่าง (อาจเป็นวิธีการที่ไม่ค่อยตรงตามหลักวิชาการเท่าไหร่นะคะ เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเตรียมตัวน้อยค่ะ)
ส่วนการปิดจุดอ่อนเรื่องการอ่านนั้น ก็อาศัยอ่านไปเรื่อย ๆ ค่ะ
ลัดมาวันสอบเลยละกันนะคะ
เราไปถึงโรงแรงแชงกลีล่า ประมาณ 8 โมงเช้า พบว่ามีคนมารออยู่บ้างแล้ว แต่ไม่มาก
จากนั้นเราไปตรวจสอบรายชื่อ ตรวจสอบความถูกต้อง ไปเข้าห้องน้ำ และกลับมานั่งรอด้านหน้า
นั่งทำสมาธิสักพักและไม่ลืมที่จะอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากทุกสำนักมารวมตัวกันเพื่อเป็นกำลังใจค่ะ
หลังจากนั้นก็มีจนท.จาก BC มาอธิบายวิธีการลงทะเบียนและการฝากของ
วิธีการลงทะเบียน จนท.จะให้เราตรวจสอบความถูกต้องของชื่อ นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมกับกำชับให้นำเพียงแต่บัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตเข้าห้องสอบได้เท่านั้น นาฬิกาก็ต้องถอดออกนะคะ
หลังจากลงทะเบียนและฝากของเสร็จ ก็ถึงเวลาแสกนลายนิ้วมือ โดยให้นำนิ้วชี้ข้างขวาวางลงบนเครื่องแสกน จำนวน 5 ครั้ง (วางแล้วยก วางแล้วยก) เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปค่ะ โดยจนท.จะให้เรานั่งที่เก้าอี้ ฉากหลังเป็นสีขาว ผู้หญิงจะต้องเอาผมทัดหูและหากผมยาวก็ต้องปัดไปไว้ด้านหลังค่ะ
ลืมเล่าบรรยากาศก่อนการลงทะเบียน จขกท.เคยสอบที่กรุงเทพมาก่อน พบว่าบรรยากาศแตกต่างกันมาก ๆ ค่ะ ที่กรุงเทพ กดดันตั้งแต่ยังไม่ลงทะเบียนเลย ส่วนที่เชียงใหม่บรรยากาศดีกว่ามาก ๆ ค่ะ จำนวนผู้เข้าสอบเฉพาะรอบนี้มีประมาณ 20 คน ซึ่งแต่ละรอบจะจำกัดจำนวนผู้เข้าสอบไว้แค่ไม่เกิน 40 คนค่ะ
เข้าไปในห้องที่มีการจัดเก้าอี้ไว้แล้ว 1 คน ต่อโต๊ะ 1 ตัวค่ะ เมื่อครั้งสอบที่กรุงเทพ สองคนต่อ 1 ตัว คนข้าง ๆ ลบแรง ๆ ก็เสียสมาธิเหมือนกัน หรือเจอแบบนั่งเขย่าขา เรียกได้ว่าเซ็งเลยอ่ะค่ะ
กลับมาที่เชียงใหม่กันต่อ การสอบฟัง ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ รูปแบบเหมือนกับการสอบในทุก ๆ ครั้ง เริ่มต้นด้วยการที่คุณแม่โทรศัพท์มาถามลายละเอียดเกี่ยวกับสวนสนุก หลังจากนั้นเป็นไกด์อธิบายเรื่องการเดินป่า หลังจากนั้นก็มีอาจารย์มา lecture ในหัวข้อ Psychology of Trust สุดท้ายเป็นการพูดคุยระหว่างเพื่อนนศ.สองคนเกี่ยวกับการเตรียมตัวทำ presentation
ต่อด้วยการอ่านค่ะ มี 3 เรื่อง เรื่องแรกเกี่ยวกับการค้นพบกระดูกหรืออะไรบางอย่างที่ค้นพบในนิวซีแลนด์ เรื่องที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงิน พัฒนาการเกี่ยวกับการใช้เงิน วัสดุที่ผลิตเงิน หมึกที่ใช้พิมพ์ธนบัตร ส่วนเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องจิตวิทยาการของ shopping ค่ะ
โชคดีเป็นของเราค่ะ ที่ไม่เจอเรื่องเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ หรือทรัพยากรธรรมชาติ ดาราศาสตร์ไรงี้ ถ้าเจอแบบนี้ก็เงิบค่ะ บอกตรง ๆ
พาทที่สามคือ เขียนค่ะ พาทนี้เราค่อนข้างกังวลค่ะ เนื่องจากเขียนไม่เก่ง (ถึงแม้ในภาษาไทยก็เหอะ) และก็ยังไม่เคยเจอหัวข้อที่เกี่ยวกับ diagram ค่ะ เลยกังวลนิดหน่อย หัวข้อก็ไม่ยากนะคะ Task1 เป็นตารางให้เปรียบเทียบยอดการผลิตรถยนต์ใน 3 ประเทศ Argentina, Australia, Thailand เราทำตามคำแนะนำที่มีเพื่อน ๆ โพสไว้ ว่าให้เลือกเฉพาะส่วนที่เด่น ๆ เท่านั้น เราก็เลือกประเทศที่มียอดผลิตสูงสุด กับต่ำสุดค่ะ ส่วน Task2 โจทย์มีดังนี้ค่ะ People tend to live by themselves, is it positive or negative to social development.
ช่วงบ่ายค่ะ สอบพูด เรารอไม่นานค่ะ ได้สอบเป็นคนที่สาม มีห้องสอบ 2 ห้อง เวลาสอบคือ 12.50 น. (ตอนสอบที่กรุงเทพ ได้คิวสอบเป็นคนสุดท้ายตอน 6 โมงเย็น เล่นเอาเหนื่อยทั้งคนสอบและ examiner เลยค่ะ) หัวข้อก็เหมือนกับที่เพื่อน ๆ ได้รีวิวไว้ค่ะ คือ
- เริ่มด้วยการถามว่าเราเรียนหรือทำงาน
- ลักษณะงานของคุณเป็นแบบไหน
- คุณมีการเลือกซื้อรองเท้าแบบไหนระหว่างรองเท้าแฟชั่น และรองเท้าเพื่อสุขภาพ (อ่ะ อันนี้ไม่ได้เตรียมไปค่ะ แต่ก็แถได้อยู่)
- คุณซื้อรองเท้าบ่อยแค่ไหน และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
- เคยซื้อรองเท้าออนไลน์มั้ย เคยซื้อเมื่อไหร่จากที่ไหน
- คุณมีวิธีการสัมผัสกับการท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างไร และไปเที่ยวบ่อยมั้ย ส่วนมากไปที่ไหน อันนี้เราตอบว่าไปทะเลค่ะ เพราะคนทางเหนือก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวทะเล กินอาหารทะเล วิธีการที่เราใช้สัมผัสเราเลือกที่จะลงทุนด้วยการไปเที่ยวด้วยตัวเอง เพราะจะทำให้อยู่ในความทรงจำของเราได้นานกว่า
จากนั้น examiner ก็เลือก topic ให้เราค่ะ ไม่มีบัตรคำใด ๆ ทั้งสิ้น โดยเปิดเล่มที่มีคำถามอยู่ข้างใน เค้าเลือกหัวข้อเกี่ยวกับ Beauty ให้เราค่ะ พร้อมทั้งให้กระดาษมาจดคำตอบ คำถามคือ
- ใครที่คุณคิดว่าสวยหรือหล่อที่สุด ที่ีคุณเคยพบ (อันนี้เราตอบว่าแม่เราค่ะ แม่มีความสวยจากภายใน ความสวยของเราไม่ได้หมายถึงสวยเฉพาะหน้าตา)
- คุณเห็นเค้าเมื่อไหร่ ที่ไหน
- เค้ามีลักษณะอย่างไร (generous, kind, open minded อะไรก็ว่าไป)
ต่อจากคำถามเรื่อง Beauty เค้าถามเราต่อมาในประเด็นที่ว่า
- คนเรามีนิยามความสวยอย่างไร
- คุณคิดว่าลักษณะเชิงพื้นที่มีผลต่อความสวยมั้ย (อันนี้แอบยาก)
- ทำไมคนไทยถึงคิดว่า ขาวแล้วจะสวย
ถึงตรงนี้ เราพูดเสร็จก่อนเวลาค่ะ examiner บอกว่าให้พูดต่อ
สุดท้าย ถามว่า โทรหาแม่ทุกวันมั้ย เราตอบว่าพยายามติดต่อกันทุกวัน ถึงแม้จะไม่ได้โทร แต่ตอนนี้แม่ก็เริ่มใช้ application line และ facebook แล้ว ก็เปลี่ยนมาติดต่อกันในช่องทางนี้ผ่านการโทร
เราคิดว่า ในส่วนนี้ เราตอบไม่ค่อยดีค่ะ ตะกุกตะกัก ครั้งที่แล้วที่สอบที่กรุงเทพ เราตอบได้ดีกว่านี้ (แอบเศร้า) ถึงแม้จะตอบไม่ค่อยดี แต่เอาสำเนียงเข้าสู้ค่ะ มีเท่าไหร่ใส่หมด มองตา examiner ตลอด แล้วก็ทำมือทำไม้แบบมั่นใจมาก ๆ ระหว่างการตอบ (แต่จริง ๆ หัวใจเต้นแรงมากค่ะ)
examiner บอกในตอนท้ายก่อนจากกันว่า คุณตอบได้ดีนะ ไม่รู้ว่าเค้าให้กำลังใจหรือมันเป็นธรรมเนียมการส่งท้ายก็ไม่รู้ T T
พิมพ์มาซะยืดยาว หวังว่าประสบการณ์สอบที่เชียงใหม่ของเราจะเป็นแนวทางให้เพื่อน ๆ ที่กำลังจะสอบมีแนวทางเพิ่มขึ้นนะคะ
ขอให้ทุกท่านโชคดีค่ะ
แชร์ประสบการณ์สอบ IELTS ที่เชียงใหม่ค่ะ
จขกท.เคยมีประสบการณ์การสอบ IELTS ที่กรุงเทพฯ เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สอบที่เชียงใหม่ค่ะ เนื่องจากทำงานอยู่ที่นี่
เราจะเล่าตั้งแต่การไปสมัครเลยละกันนะคะ
เราไปสมัครด้วยตัวเองที่สำนักงาน BC เชียงใหม่ค่ะ การสมัครด้วยตัวเอง ไม่ต้องใช้รูปค่ะ เราเตรียมรูปไปแต่ไม่ได้ใช้ จนท.บอกว่าจะถ่ายรูปและแสกนลายนิ้วมือก่อนเข้าห้องสอบเลย แต่สำหรับการสมัครออนไลน์ต้องลองตรวจสอบก่อนนะคะ กว่าต้องใช้รูปหรือไม่
สำหรับการเตรียมตัวสอบ หลัก ๆ คือการเตรียมตัวสอบด้วยตัวเองค่ะ หาจากในอินเตอร์เนทและกระทู้ที่เพื่อน ๆ ได้โพสไว้ โดยดูว่าครั้งที่แล้วเราพลาดใน part ไหน ก็เตรียมใน part นั้น ๆ ให้มากขึ้น เราไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก เนื่องจากทำงานไปด้วยค่ะ
จุดอ่อนของเราคือการอ่านและการเขียนค่ะ เมื่อครั้งที่แล้วทำได้ไม่ค่อยดี ครั้งนี้เราก็เตรียมตัวมากขึ้น แต่เตรียมแบบคนขี้เกียจค่ะ คือ เราไปหาตัวอย่างการเขียนของทั้งสอง task มาดู เน้นของคนที่ได้คะแนน 8 ขึ้นไป จากนั้นก็เขียนค่ะ เขียนตามเค้านั่นแหละ เขียนไปก็วิเคราะห์ย่อหน้าไป ว่าในย่อหน้านี้ใจความหลักคืออะไร ใช้ภาษาอย่างไร ใช้คำเชื่อมอย่างไร และจำค่ะ จากนั้นลองเขียน key words เหล่านั้นให้ขึ้นใจ
สำหรับการเขียนใน Task 1 เราก็ยึดเอารูปแบบละ 1 ตัวอย่างค่ะ เช่น จำรูปแบบการอธิบายกราฟ 1 ตัวอย่าง, Pie chart 1 ตัวอย่าง, diagram 1 ตัวอย่าง, table 1 ตัวอย่าง ส่วนใน Task 2 เราก็จำอีก 1 ตัวอย่าง (อาจเป็นวิธีการที่ไม่ค่อยตรงตามหลักวิชาการเท่าไหร่นะคะ เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเตรียมตัวน้อยค่ะ)
ส่วนการปิดจุดอ่อนเรื่องการอ่านนั้น ก็อาศัยอ่านไปเรื่อย ๆ ค่ะ
ลัดมาวันสอบเลยละกันนะคะ
เราไปถึงโรงแรงแชงกลีล่า ประมาณ 8 โมงเช้า พบว่ามีคนมารออยู่บ้างแล้ว แต่ไม่มาก
จากนั้นเราไปตรวจสอบรายชื่อ ตรวจสอบความถูกต้อง ไปเข้าห้องน้ำ และกลับมานั่งรอด้านหน้า
นั่งทำสมาธิสักพักและไม่ลืมที่จะอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากทุกสำนักมารวมตัวกันเพื่อเป็นกำลังใจค่ะ
หลังจากนั้นก็มีจนท.จาก BC มาอธิบายวิธีการลงทะเบียนและการฝากของ
วิธีการลงทะเบียน จนท.จะให้เราตรวจสอบความถูกต้องของชื่อ นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน พร้อมกับกำชับให้นำเพียงแต่บัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตเข้าห้องสอบได้เท่านั้น นาฬิกาก็ต้องถอดออกนะคะ
หลังจากลงทะเบียนและฝากของเสร็จ ก็ถึงเวลาแสกนลายนิ้วมือ โดยให้นำนิ้วชี้ข้างขวาวางลงบนเครื่องแสกน จำนวน 5 ครั้ง (วางแล้วยก วางแล้วยก) เสร็จแล้วก็ถ่ายรูปค่ะ โดยจนท.จะให้เรานั่งที่เก้าอี้ ฉากหลังเป็นสีขาว ผู้หญิงจะต้องเอาผมทัดหูและหากผมยาวก็ต้องปัดไปไว้ด้านหลังค่ะ
ลืมเล่าบรรยากาศก่อนการลงทะเบียน จขกท.เคยสอบที่กรุงเทพมาก่อน พบว่าบรรยากาศแตกต่างกันมาก ๆ ค่ะ ที่กรุงเทพ กดดันตั้งแต่ยังไม่ลงทะเบียนเลย ส่วนที่เชียงใหม่บรรยากาศดีกว่ามาก ๆ ค่ะ จำนวนผู้เข้าสอบเฉพาะรอบนี้มีประมาณ 20 คน ซึ่งแต่ละรอบจะจำกัดจำนวนผู้เข้าสอบไว้แค่ไม่เกิน 40 คนค่ะ
เข้าไปในห้องที่มีการจัดเก้าอี้ไว้แล้ว 1 คน ต่อโต๊ะ 1 ตัวค่ะ เมื่อครั้งสอบที่กรุงเทพ สองคนต่อ 1 ตัว คนข้าง ๆ ลบแรง ๆ ก็เสียสมาธิเหมือนกัน หรือเจอแบบนั่งเขย่าขา เรียกได้ว่าเซ็งเลยอ่ะค่ะ
กลับมาที่เชียงใหม่กันต่อ การสอบฟัง ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ รูปแบบเหมือนกับการสอบในทุก ๆ ครั้ง เริ่มต้นด้วยการที่คุณแม่โทรศัพท์มาถามลายละเอียดเกี่ยวกับสวนสนุก หลังจากนั้นเป็นไกด์อธิบายเรื่องการเดินป่า หลังจากนั้นก็มีอาจารย์มา lecture ในหัวข้อ Psychology of Trust สุดท้ายเป็นการพูดคุยระหว่างเพื่อนนศ.สองคนเกี่ยวกับการเตรียมตัวทำ presentation
ต่อด้วยการอ่านค่ะ มี 3 เรื่อง เรื่องแรกเกี่ยวกับการค้นพบกระดูกหรืออะไรบางอย่างที่ค้นพบในนิวซีแลนด์ เรื่องที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงิน พัฒนาการเกี่ยวกับการใช้เงิน วัสดุที่ผลิตเงิน หมึกที่ใช้พิมพ์ธนบัตร ส่วนเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องจิตวิทยาการของ shopping ค่ะ
โชคดีเป็นของเราค่ะ ที่ไม่เจอเรื่องเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ หรือทรัพยากรธรรมชาติ ดาราศาสตร์ไรงี้ ถ้าเจอแบบนี้ก็เงิบค่ะ บอกตรง ๆ
พาทที่สามคือ เขียนค่ะ พาทนี้เราค่อนข้างกังวลค่ะ เนื่องจากเขียนไม่เก่ง (ถึงแม้ในภาษาไทยก็เหอะ) และก็ยังไม่เคยเจอหัวข้อที่เกี่ยวกับ diagram ค่ะ เลยกังวลนิดหน่อย หัวข้อก็ไม่ยากนะคะ Task1 เป็นตารางให้เปรียบเทียบยอดการผลิตรถยนต์ใน 3 ประเทศ Argentina, Australia, Thailand เราทำตามคำแนะนำที่มีเพื่อน ๆ โพสไว้ ว่าให้เลือกเฉพาะส่วนที่เด่น ๆ เท่านั้น เราก็เลือกประเทศที่มียอดผลิตสูงสุด กับต่ำสุดค่ะ ส่วน Task2 โจทย์มีดังนี้ค่ะ People tend to live by themselves, is it positive or negative to social development.
ช่วงบ่ายค่ะ สอบพูด เรารอไม่นานค่ะ ได้สอบเป็นคนที่สาม มีห้องสอบ 2 ห้อง เวลาสอบคือ 12.50 น. (ตอนสอบที่กรุงเทพ ได้คิวสอบเป็นคนสุดท้ายตอน 6 โมงเย็น เล่นเอาเหนื่อยทั้งคนสอบและ examiner เลยค่ะ) หัวข้อก็เหมือนกับที่เพื่อน ๆ ได้รีวิวไว้ค่ะ คือ
- เริ่มด้วยการถามว่าเราเรียนหรือทำงาน
- ลักษณะงานของคุณเป็นแบบไหน
- คุณมีการเลือกซื้อรองเท้าแบบไหนระหว่างรองเท้าแฟชั่น และรองเท้าเพื่อสุขภาพ (อ่ะ อันนี้ไม่ได้เตรียมไปค่ะ แต่ก็แถได้อยู่)
- คุณซื้อรองเท้าบ่อยแค่ไหน และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
- เคยซื้อรองเท้าออนไลน์มั้ย เคยซื้อเมื่อไหร่จากที่ไหน
- คุณมีวิธีการสัมผัสกับการท่องเที่ยวทางธรรมชาติอย่างไร และไปเที่ยวบ่อยมั้ย ส่วนมากไปที่ไหน อันนี้เราตอบว่าไปทะเลค่ะ เพราะคนทางเหนือก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวทะเล กินอาหารทะเล วิธีการที่เราใช้สัมผัสเราเลือกที่จะลงทุนด้วยการไปเที่ยวด้วยตัวเอง เพราะจะทำให้อยู่ในความทรงจำของเราได้นานกว่า
จากนั้น examiner ก็เลือก topic ให้เราค่ะ ไม่มีบัตรคำใด ๆ ทั้งสิ้น โดยเปิดเล่มที่มีคำถามอยู่ข้างใน เค้าเลือกหัวข้อเกี่ยวกับ Beauty ให้เราค่ะ พร้อมทั้งให้กระดาษมาจดคำตอบ คำถามคือ
- ใครที่คุณคิดว่าสวยหรือหล่อที่สุด ที่ีคุณเคยพบ (อันนี้เราตอบว่าแม่เราค่ะ แม่มีความสวยจากภายใน ความสวยของเราไม่ได้หมายถึงสวยเฉพาะหน้าตา)
- คุณเห็นเค้าเมื่อไหร่ ที่ไหน
- เค้ามีลักษณะอย่างไร (generous, kind, open minded อะไรก็ว่าไป)
ต่อจากคำถามเรื่อง Beauty เค้าถามเราต่อมาในประเด็นที่ว่า
- คนเรามีนิยามความสวยอย่างไร
- คุณคิดว่าลักษณะเชิงพื้นที่มีผลต่อความสวยมั้ย (อันนี้แอบยาก)
- ทำไมคนไทยถึงคิดว่า ขาวแล้วจะสวย
ถึงตรงนี้ เราพูดเสร็จก่อนเวลาค่ะ examiner บอกว่าให้พูดต่อ
สุดท้าย ถามว่า โทรหาแม่ทุกวันมั้ย เราตอบว่าพยายามติดต่อกันทุกวัน ถึงแม้จะไม่ได้โทร แต่ตอนนี้แม่ก็เริ่มใช้ application line และ facebook แล้ว ก็เปลี่ยนมาติดต่อกันในช่องทางนี้ผ่านการโทร
เราคิดว่า ในส่วนนี้ เราตอบไม่ค่อยดีค่ะ ตะกุกตะกัก ครั้งที่แล้วที่สอบที่กรุงเทพ เราตอบได้ดีกว่านี้ (แอบเศร้า) ถึงแม้จะตอบไม่ค่อยดี แต่เอาสำเนียงเข้าสู้ค่ะ มีเท่าไหร่ใส่หมด มองตา examiner ตลอด แล้วก็ทำมือทำไม้แบบมั่นใจมาก ๆ ระหว่างการตอบ (แต่จริง ๆ หัวใจเต้นแรงมากค่ะ)
examiner บอกในตอนท้ายก่อนจากกันว่า คุณตอบได้ดีนะ ไม่รู้ว่าเค้าให้กำลังใจหรือมันเป็นธรรมเนียมการส่งท้ายก็ไม่รู้ T T
พิมพ์มาซะยืดยาว หวังว่าประสบการณ์สอบที่เชียงใหม่ของเราจะเป็นแนวทางให้เพื่อน ๆ ที่กำลังจะสอบมีแนวทางเพิ่มขึ้นนะคะ
ขอให้ทุกท่านโชคดีค่ะ