อะไรที่ทำให้ นักเตะ ”แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ยังเล่นไม่เข้าระบบของ ”ฟาน กัล” (1)

วิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้นักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเล่นไม่ได้ตามระบบการเล่นของ หลุยส์ ฟาน กัล แบบละเอียดพร้อมกับภาพประกอบจากเกมที่ทีมทำได้แค่เสมอ เบิร์นลี่ย์ 0-0



ก่อนอื่น เว็บไซต์แมนยูคลับ คงต้องขอชี้แจงเลยว่า บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นในเชิงของการสอนแท๊กติกการเล่น,หรือสิ่งที่ผู้จัดการทีมควรทำ แต่นี่เป็นบทความในลักษณะเดียวกันกับที่”นักวิเคาระห์วีดิโอ”ของทุกทีมทำอยู่หลังเกมที่ทีมนั้น ๆลงแข่งทุกนัด เพื่อเป็นการหาจุดเด่น-จุดด้อยของทีม ซึ่งจะนำมาพัฒนาเกมการเล่นของทีมในนัดต่อ ๆไป โดยเราจะหาข้อมูลมาประกอบบทความเพื่อเป็นเกร็ดความรู้ของคอบอลทุกท่านครับ

ในปี 2001 หลังจากที่นำทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ปีติดต่อกัน เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจเปลี่ยนแท็กติกการเล่นของทีมจากเดิมที่ใช้แต่ระบบ 4-4-2  เป็นหลัก มาเป็นแท็กติกและระบบการเล่นที่เน้นการครองบอล โดยใช้ระบบการเล่น 4-5-1 เป็นหลัก เพื่อความก้าวหน้าของทีมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมระดับยุโรป และมีนักเตะอย่าง สโคลส์,เบ็คแฮ่ม,กิ๊กส์,เวรอน,คีน และฟาน นิสเตลรอย เป็นแกนหลักในทีมชุดตัวจริง ทำให้บรมครูชาวสก็อตต์มองว่าการกำหนดให้ทีมเล่นในสไตล์นี้เป็นสิ่งที่นักเตะกลุ่มนี้สามารถทำได้



อย่างไรก็ตาม แม้ พอล สโคลส์ จะเป็นนักเตะที่มีไหวพริบ,เล่นด้วยมันสมองมากที่สุดในกลุ่มนักเตะเหล่านี้ แต่ในบางครั้งกองกลางร่างเล็กก็ไม่สามารถเล่นได้ตามมาตรฐานของตัวเอง เนื่องจากพื้นฐานของระบบการเล่นที่เน้นการครองบอลมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการผ่านบอลเพียงอย่างเดียว

“มีความลึกมากเกี่ยวกับปรัชญาการเล่นนี้และผมเริ่มตระหนักดีแล้วว่ามันคือทั้งหมดที่เกี่ยวกับระบบการเล่นที่พวกเขาเรียก มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการผ่านบอล, ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเข้าเพรสซิ่ง, หรือการครองบอล ทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับการยืนตำแหน่งของนักเตะ” – จอห์น คอลลินส์ โค้ชของ เรดดิ้ง กล่าวถึงฟุตบอลสไตล์ ติกี้-ตาก้า

ด้วยเหตุนี้ หลุยส์ ฟาน กัล จึงพยายามที่จะปลุกปั้นทีม”ปีศาจแดง”ให้เล่นในระบบเดียวกันกับอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ซึ่งระบบนี้ไม่เพียงแต่ใช้ความสามารถทางเทคนิค แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือนักเตะในทีมต้องมีความเข้าใจในเกม และไหวพริบในการเล่นของพวกเขาเป็นส่วนสำคัญในการปฏิบัติตามแท็กติกการเล่นของนี้ การตัดสินใจ,การยืนตำแหน่ง,การเคลื่อนไหว และการรับรู้ถึงความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีม, คู่แข่งและลูกบอล เหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการเล่น นี่จึงทำให้ ฟาน กัล เน้นย้ำอยู่เสมอเกี่ยวกับ”สมอง“ของนักเตะ

“มันเป็นเรื่องของการซ้อม, ศึกษาจากวีดิโอ, การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและมองเกมทุกนัด เรากำลังทุ่มเทความพยายามเป็นอย่างมากและกำลังปรับปรุง คุณต้องคิดเกี่ยวกับมันมากขึ้น  เราเข้าใจเรื่องนั้นดีแต่เราเคยถูกบอกถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ผู้จัดการทีมคนอื่นก็พูดถึงเรื่องนี้ด้วย เพียงแต่มันไม่ได้อยู่ในที่สาธารณะ”

“เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยบอกให้เราใช้สมองของเรา และให้ดู พอล สโคลส์ เป็นตัวอย่าง มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เราไม่ชอบใจด้วย  มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับพวกเรา  ผู้จัดการทีมคนใหม่เพิ่งพูดมันต่อหน้าสาธารชนเพื่อให้เราตระหนักถึงมัน”  - ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ กล่าว



มันต้องใช้เวลาในการประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตามระบบการเล่นนี้ เพราะความยากที่สุดในการบรรลุเป้าหมายของทีมคือไหวพริบในการเล่นร่วมกัน อันเป็นองค์ประกอบของการเล่นตามแท็กติก

“การเล่นกับทีมชาติต้องทำให้มากกว่าการคุมเกม , การผ่านบอล, ความพิถีพิถันในการเล่น เราต้องกะเวลาในการเปิดบอลให้มันไม่เร็วหรือส่งแบบโดยตรงจนเกินไป ผมมองหา(เซอร์จิโอ)บุสเกตส์, ชาบี้(เฮอร์นานเดซ),ซิลบา,(ซานติ)การ์ซอล่า,มาต้า ในพื้นที่ขนาดเล็กที่พวกเขาอ่านเกมอยู่ ซึ่งพวกเขารู้ว่าตอนไหนควรจะเลี้ยงบอล, ตอนไหนควรผ่านบอลสั้น,ตอนไหนที่ควรจะเปลี่ยนจังหวะการเล่น ไหวพริบในการเล่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้คุณมีความรู้สึกร่วมไปกับเกม” – ชาบี อลอนโซ่

อธิบายอย่างง่าย ๆ มันคือการใช้ความสามารถทางเทคนิคและสติปัญญาของนักเตะ ผ่านสภาพแวดล้อมของแท็กติกและการเล่นร่วมกันเพื่อยกระดับการเล่นในภาพรวมของทีมให้อยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งนี่คือแก่นแท้ของทีมที่ยอดเยี่ยมอย่างทีมเอซี มิลาน ในยุค อาริโก้ ซาคคี่ หรือ บาร์เซโลน่า ในยุค เป็บ กวาร์ดิโอล่าร์

ปรัชญาของ หลุยส์ ฟาน กัล ถูกนิยามโดย แกรี่ เนวิลล์ ในระหว่างการสัมภาษณ์พิเศษของพวกเขา คือการบรรลุไปจนถึงระดับ”เอกภาพ”ผ่านปฏิกิริยาลูกโซ่ของการเคลื่อนไหวร่วมกันของนักเตะที่เป็นไปอย่างสอดคล้องและการประสานงานที่ดี ซึ่งจากที่ผ่านมา ทีม”ปีศาจแดง”ยังไปไม่ถึงระดับนั้นเลยสักนัด

ภาพประกอบด้านล่างในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ จะอธิบายถึงปัญหาของทีม ”ปีศาจแดง”



นักเตะเบิร์นลี่ย์ขึ้นมาเพรสซิ่งสูงที่แดนบนเพื่อหยุดการสร้างจังหวะการเล่นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในภาพนี้ จอนนี่ อีแวนส์ กำลังได้ครองบอล



อีแวนส์ เลือกผ่านบอลไปให้ วาเลนเซีย ที่ริมเส้นฝั่งขวา ทั้งที่เพื่อนร่วมทีมที่อยู่บริเวณนั้นถูกนักเตะของ เบิร์นลี่ย์ เข้าประกบชิดตัว



ภาพนี้จะเห็นว่า มาต้า ถอยตัวเองลงต่ำมารับบอลจาก วาเลนเซีย  ซึ่งนี่คือปัญหาที่เกิดขึ้น อีแวนส์, เฟล็ทเชอร์, วาเลนเซีย ควรจะเคลื่อนที่ขึ้นไปอยู่ในพื้นที่ตามลูกศรเพื่อความคืบหน้าในการเล่นของทีม  หาก อีแวนส์ เคลื่อนที่ดันขึ้นสูงมาหา มาต้า เขาก็จะรับ-ส่งบอลสั้นกับ วาเลนเซีย และ เฟล็ทเชอร์  ถ้าพวกเขาดันขึ้นสูงก็จะช่วยดึงคู่แข่งออกจากตรงนั้นเพื่อสร้างพื้นที่ว่างหรือเคลื่อนไปอยู่ในพื้นที่เพื่อเป็นตัวเลือกในการผ่านบอล



สุดท้าย มาต้า ไม่มีทางเลือกต้องผ่านบอลกลับไปที่ อีแวนส์ ที่ยังยืนปักหลักอยู่ในตำแหน่งของเขา (นี่คือภาพที่อธิบายว่านักเตะสไตล์อังกฤษแท้ ๆยังไม่เข้าใจฟุตบอลในสไตล์พาสซิ่งแอนด์มูฟ)



หลังจากได้รับบอลจาก มาต้า อีแวนส์ ที่ไม่มีตัวเลือกสำหรับผ่านบอลต้องโยนบอลยาวขึ้นไปข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่เข้าใจในการเคลื่อนที่เพื่อประสานงานกับเพื่อนร่วมทีมของกองหลังรายนี้ และนี่คือปัญหาในตลอดครึ่งแรกที่ส่งผลให้ทีมต้องพบกับความยากลำบากในการสร้างจังหวะการเล่นเพื่อลำเลียงบอลขึ้นไปในพื้นที่สุดท้ายของ เบิร์นลี่ย์



แบล็คเก็ตต์ ควรพาบอลตัดเข้ามาในพื้นที่บริเวณกลางสนาม(วงกลมเส้นประ)เพื่อเปิดตัวเลือกในการผ่านบอลให้กับตัวเอง



แต่เขากลับเลือกพาบอลเคลื่อนที่ไปตามริมเส้น ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลือกสำหรับผ่านบอลของเขาย่อมมีน้อยกว่า



ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า แบล็คเก็ตต์ ควรเคลื่อนเข้ามาในพื้นที่(ตามลูกศร) เพื่อเปิดช่องว่างตรงนั้น



แบล็คเก็ตต์ ที่ไม่มีตัวเลือกมากนักกำลังจะพาบอลตัดเข้าใน แต่การยืนตำแหน่งของ เฟล็ทเชอร์ และ อีแวนส์ ทำได้ไม่ดีพอ พวกเขาทั้งคู่ควรจะดันสูงขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือกที่ดีในการผ่านบอล และจะเป็นการเปิดพื้นที่ให้เพื่อนร่วมทีมอีกด้วย



หาก เฟล็ทเชอร์ ดันขึ้นสูงเข้ามาใก้ล ดิ มาเรีย เขาจะสามารถเล่นชิ่งสั้นผ่านบอลไป-มา กับดาวเตะอาร์เจนไตน์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทุกครั้งหลังผ่านบอลให้เพื่อนตามปรัชญาการเล่นนี้ นักเตะคนที่ส่งบอลออกจากเท้าแล้วก็จะเคลื่อนที่ขึ้นไปหาที่ว่างข้างหน้าเพื่อรอรับบอล ซึ่งจะเป็นการรุกคืบขึ้นไปกินแดนของคู่แข่ง



และก็เช่นเดียวกัน แบล็คเก็ตต์ จะได้ส่งบอลให้ ดิ มาเรีย หรือ เฟล็ทเชอร์ หากเขาตัดสินใจได้เร็วกว่านี้



สุดท้าย จากการคิดช้า-ทำช้าของ แบล็คเก็ตต์ ทำให้เขาต้องส่งบอลคืนหลังกลับไปให้ โจนส์



และ โจนส์ ก็ผ่านบอลขวางสนามไปให้ อีแวนส์ ที่ยืนรออยู่อีกฝั่ง



อีแวนส์ ต้องเริ่มสร้างจังหวะการเล่นของทีมอีกครั้งที่ฝั่งขวาในแดนของตัวเอง



จังหวะต่อมา อีแวนส์ ผ่านบอลไปให้ วาเลนเซีย ที่ไร้ตัวประกบบริเวณริมเส้น



ภาพนี้จะเห็นว่า เฟล็ทเชอร์ ควรจะเคลื่อนที่ให้เร็วขึ้นเพื่อเข้ามาเป็นตัวเลือกสำหรับผ่านบอลของ วาเลนเซีย ในพื้นที่”กึ่งกลาง”



แต่ เฟล็ทเชอร์ กลับวิ่งประคองรักษาตำแหน่งของเขาในจังหวะที่ วาเลนเซีย พาบอลขึ้นหน้า ส่วน ฟาน เพอร์ซี่ วิ่งฉีกออกด้านกว้างเพื่อดึงกองหลังคู่แข่งออกไป และ เวนย์ รูนี่ย์ ก็ถอยตัวเองลงต่ำมาในพื้นที่ว่างนั้นเพื่อเป็นตัวเลือกในการผ่านบอล ในขณะที่ มาต้า ก็วิ่งขึ้นไปแทนที่ตำแหน่งของ รูนี่ย์ ถ้ากองหลังของ เบิร์นลี่ย์ ตามมาประกบ รูนี่ย์ ก็จะเป็นการเปิดพื้นที่ให้ มาต้า หรือหากกองหลังของ เบิร์นลี่ย์ ยังอยู่ที่ตำแหน่งของตัวเอง รูนี่ย์ ก็จะมีพื้นที่สำหรับพลิกบอลเข้าหาประตู



แต่สุดท้าย วาเลนเซีย เลือกผ่านบอลไปให้ ฟาน เพอร์ซี่ และด้วยการที่กองหน้าชาวดัตช์มีคู่แข่งหลายคนล้อมรอบตัวเขา อีกทั้งยังหันหลังให้ประตูคู่แข่ง การเล่นจังหวะนี้มันจึงกลายเป็นทางตัน

ปัญหาหลักในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ คือการที่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟของทีมไม่ได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้เกิดความคืบหน้าในการเล่น ส่งผลให้ทีม”ปีศาจแดง”ลำเลียงบอลเข้าไปสู่พื้นที่สุดท้ายของ เบิร์นลี่ย์ ได้น้อยครั้งมาก ดังภาพที่เรานำมาอธิบายนี้



แบล็คเก็ตต์ ควรพาบอลเข้ามาในพื้นที่ตามที่ลูกศรสีขาวชี้



กองหลังดาวรุ่งรายนี้ควรมีความกล้าที่จะเลี้ยงบอลรุกคืบขึ้นมาด้านหน้า เพื่อเป็นการดึงคู่แข่งให้เข้ามาหาเขาก่อนจะผ่านบอลไปให้เพื่อนร่วมทีม ในเวลาเดียวกันนั้น เฟล็ทเชอร์ ก็ควรจะเคลื่อนไปในตำแหน่งที่สูงขึ้น(ตามลูกศรชี้)ซึ่งมันจะเป็นการดึงคู่แข่งให้เปิดช่องให้ แบล็คเก็ตต์ผ่านบอลไปยัง อีแวนส์ ที่ยืนขนานกับเขาที่อีกฝั่งของสนาม



จังหวะนี้ แบล็คเก็ตต์ ผ่านบอลขวางสนามไปให้ อีแวนส์ ถ้าหาก อีแวนส์ ดันขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่านี้เพื่อรับบอล เขาจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่านี้มากสำหรับการครองบอลรุกคืบไปแดนหน้าของทีม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่