'รอยสัก เจาะหู'หมดสิทธิ์!เรียน21ว.อาชีวะ
http://www.komchadluek.net/detail/20140923/192687.html
อ่านข่าวนี้แล้วดิฉันก็เพลียค่ะ ว่าบ้านนี้เมืองนี้มีแต่ผู้บริหารที่โลกทัศน์ยังอยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
และไม่มีสำนึกตามยุคการศึกษาสมัยใหม่ที่เน้นเคารพสิทธิปัจเจกและเสรีภาพในตัวตน
หนำซ้ำการกระทำแบบนี้ยังเป็นการตอกย้ำให้สังคมติดภาพลักษณ์ที่ผิดๆไปอีก
การศึกษาไทยย่ำแย่รั้งท้ายอาเซียน แทนที่จะคิดค้นนวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ แต่กลับให้ความสำคัญ
กับอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่สำคัญต่อวงการการศึกษาเลย!
ดิฉันต้องทนเห็นระบบการศึกษาห่วยๆนี่ไปอีกกี่ปีคะ?
ลูกหลานดิฉันจะโตมาในสังคมที่ถอยหลังลงคลองแบบนี้หรือ?
เอาล่ะ บ่นไปเยอะแล้ว ดิฉันจะแจงเป็นข้อๆ ว่าทำไมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดในข่าวข้างต้นค่ะ
1. ในข่าวอ้างว่า อยากได้นักเรียนที่มีความตั้งใจมาเรียนสายอาชีพจริงๆ และมีความประพฤติดี ไม่มีรอยสัก ไม่เจาะหู ฯลฯ
ดิฉันคิดว่าตรรกะนี้ใช้
ไม่ได้ คุณวัดคุณค่าความตั้งใจและความประพฤติเขาแต่เพียงภายนอกหรือคะ?
คุณกำลัง
ผลักไสเด็กเหล่านี้ให้กลายเป็นคนชายขอบและซ้ำเติมพวกเขา
ด้วยการสร้างมายาคติแก่สังคมว่าคนพวกนี้เป็นคนไม่ดี ประพฤติแย่ กลายเป็นค่านิยมสังคม
หนำซ้ำคนทั่วไปที่สัก เจาะหู ก็จะถูกค่านิยมนี้เล่นงานไปด้วยค่ะ
เพราะมันจะคอยๆซึมซับลงในความคิดของผู้คนค่ะว่า มีรอยสัก เจาะหู = คนไม่ดี ดูแย่
ดิฉันว่าค่านิยมนี้ไป
กดทับ ตีตรา ให้คนกลุ่มหนึ่งในด้านลบ
และนะคะ คุณบอกว่านี่คือการแก้ปัญหาของ 21 วิทยาลัยอาชีวะ
...คุณคิดวิธีแก้กันได้แบบนี้หรือคะ?
2.
"เหมาะสม"
ความเหมาะสม เป็นเรื่องที่แต่ละคนก็มองไม่เหมือนกันค่ะ ดังนั้น
คุณจะเอาความเหมาะสมในทัศนคติคุณไปยัดเยียดหรือบังคับแก่คนอื่นไม่ได้
ถ้าคุณอยากจะบังคับ คุณต้องหา
เหตุผลที่ดีค่ะ เปิดถกเถียงกันไปเลยว่ามันแย่ยังไงดียังไง
ซึ่งในทัศนคติของดิฉันคำว่า
เหมาะสม นั้นต้องวัดกันที่ว่ามัน
ส่งผลร้าย ต่อสังคมอย่างไรค่ะ
หากไม่มี...ดิฉันก็จะไม่ขัดขวางค่ะ เพราะมันเป็นสิทธิของคุณบนเรือนร่างของคุณ
คุณย่อมมีสิทธิคิดสิทธิเลือกได้ว่าจะทำอะไรบนร่างกายของคุณ โดยไม่ไปละเมิดต่อผู้อื่น
3.
โรงเรียนของ "รัฐ"
ดิฉันเข้าใจถูกใช่ไหมคะว่า วิทยาลัยอาชีวะ นั้นเป็นของรัฐดำเนินงานด้วยภาษีประชาชน
จัดว่าเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งหัวใจสำคัญคือ...การให้บริการแก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม
ไม่มีเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความเชื่อ ชาติพันธุ์ ความคิด หรือรูปลักษณ์ภายนอก
ดังนั้นการที่คุณกระทำเช่นนี้ ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงค่ะ
4.
โรงเรียนควรเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแห่ง "เสรีภาพ"
การศึกษานับแต่เกิดขึ้นในโลก ล้วนวิวัฒนาการมาด้วยเสรีภาพแห่งความคิด และมุ่งหวังให้ผู้เรียน
ได้ใช้ความคิดของตัวเองอย่างถึงที่สุด แต่การจำกัดการแต่งกายหรือสิทธิบนเรือนร่างของตัวเอง
เป็นการกักขังความคิดขั้นพื้นฐานที่สุด ที่มิได้ต้องการให้ผู้เรียนใช้ความคิดของตน
หากแต่ใช้ความคิดตามที่ผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจต้องการเท่านั้น
การศึกษาไทยพินาศตั้งแต่ขั้นพื้นฐานตรงนี้ค่ะ ส่วนตัวดิฉันยอมรับการแต่งเครื่องแบบในระดับก่อนอุดมศึกษาได้ค่ะ
แต่ต้องไม่ใช้วิธีการเยี่ยงทหารในโรงเรียน เช่น เล็มผมนักเรียน, กวดขันเรื่องแต่งกายเป็นที่หนึ่ง
ซึ่งดิฉันคิดว่า คนนะคะ
ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานที่ต้องทำถึงขนาดนี้
อยากให้คนมีวินัย เคารพกฎ ก็ต้องฝึกให้ความเขาได้คิดและตั้งคำถามต่อกฏนั้น
ว่ามันมีขึ้นเพื่ออะไรดีหรือไม่อย่างไรค่ะ
5.
โรงเรียนมีกฏ ถ้ารับไม่ได้ก็ออกไป เสรีภาพมากนักก็วุ่นวาย
โรงเรียนเป็นของรัฐจะเลือกปฏิบัติด้วยเหตุตามข้อ 3 ไม่ได้ค่ะ
และต่อให้เป็นกฏจริง กฏหมายยังเปลี่ยนโดยรัฐสภาได้ กฏอื่นๆก็ย่อมเปลี่ยนได้ค่ะ
แต่การเปลี่ยนมันอยู่บนพื้นฐานของการถกเถียงหลายๆฝ่าย และโน้มน้าวให้ผู้คนเห็นด้วยกับตนค่ะ
กฏทุกกฏย่อมเปลี่ยนได้ ตามเหตุผล ตามยุคสมัย และตามความต้องการของคนส่วนใหญ่
ที่เราเชื่อว่าเมื่อเกิดการถกเถียงกันแล้ว คนส่วนใหญ่จะเลือกด้านที่ดีที่สุดให้กับตนเอง ณ เวลานั้น
และการมีเสรีภาพ ไม่ได้เกิดความวุ่นวายค่ะ ถ้าตราบใดฝ่ายต่างๆยังอยู่บนการถกเถียงหรือปะทะด้วยความคิด
เสรีภาพ ก็ต้องเคารพกฏค่ะ แต่เราสามารถด่ากฏได้ ตั้งคำถามได้ และรณรงค์ให้เปลี่ยนได้ค้ะ
6.
ถ้าคุณมี "ลูก" คุณจะให้ลูกคุณสักไหมล่ะ?
ให้สิคะ ดิฉันไม่ชอบรอยสักค่ะ คนมีหนวดก็ไม่ชอบ แต่ดิฉันไม่มีวันไปบีบบังคับหรือแซงชั่นเขาค่ะ
ดิฉันจะพูดกับลูกว่า ดิฉันไม่ชอบเพราะอะไร แต่ลูกทำได้ถ้าลูกชอบ ขอให้ลูกรับผิดชอบตัวเองได้ก็พอค่ะ
เพราะดิฉันไม่ใช่เจ้าชีวิตใคร ทำได้แค่แนะนำและประคับประคองให้เขามองอย่างรอบด้านค่ะ
สุดท้ายนะคะ ดิฉันรอและคาดหวังว่าเมื่อไหร่รัฐบาลใหม่จะมีนโยบายการศึกษาที่จริงจัง ทันสมัยทัดเทียมนานาชาติ
แต่ในระดับกระทรวงก็มีแต่ปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ ระดับอาชีวะก็เจอข่าวนี้ขึ้นมา ดิฉันว่ามันแย่มากๆค่ะ
ยังไม่เห็นแสงสว่างของการศึกษาเลยสักนิด
ก็หวังว่ากระทู้นี้จะส่งความเห็นของดิฉันไปยังเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน เพื่อช่วยกันคิดและส่งเสียงออกไปค่ะ
การศึกษาไทยมันโหลยโท่ย-'รอยสัก เจาะหู'หมดสิทธิ์!เรียน21ว.อาชีวะ
http://www.komchadluek.net/detail/20140923/192687.html
อ่านข่าวนี้แล้วดิฉันก็เพลียค่ะ ว่าบ้านนี้เมืองนี้มีแต่ผู้บริหารที่โลกทัศน์ยังอยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
และไม่มีสำนึกตามยุคการศึกษาสมัยใหม่ที่เน้นเคารพสิทธิปัจเจกและเสรีภาพในตัวตน
หนำซ้ำการกระทำแบบนี้ยังเป็นการตอกย้ำให้สังคมติดภาพลักษณ์ที่ผิดๆไปอีก
การศึกษาไทยย่ำแย่รั้งท้ายอาเซียน แทนที่จะคิดค้นนวัตกรรมการศึกษาใหม่ๆ แต่กลับให้ความสำคัญ
กับอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่สำคัญต่อวงการการศึกษาเลย!
ดิฉันต้องทนเห็นระบบการศึกษาห่วยๆนี่ไปอีกกี่ปีคะ?
ลูกหลานดิฉันจะโตมาในสังคมที่ถอยหลังลงคลองแบบนี้หรือ?
เอาล่ะ บ่นไปเยอะแล้ว ดิฉันจะแจงเป็นข้อๆ ว่าทำไมไม่เห็นด้วยกับแนวคิดในข่าวข้างต้นค่ะ
1. ในข่าวอ้างว่า อยากได้นักเรียนที่มีความตั้งใจมาเรียนสายอาชีพจริงๆ และมีความประพฤติดี ไม่มีรอยสัก ไม่เจาะหู ฯลฯ
ดิฉันคิดว่าตรรกะนี้ใช้ไม่ได้ คุณวัดคุณค่าความตั้งใจและความประพฤติเขาแต่เพียงภายนอกหรือคะ?
คุณกำลังผลักไสเด็กเหล่านี้ให้กลายเป็นคนชายขอบและซ้ำเติมพวกเขา
ด้วยการสร้างมายาคติแก่สังคมว่าคนพวกนี้เป็นคนไม่ดี ประพฤติแย่ กลายเป็นค่านิยมสังคม
หนำซ้ำคนทั่วไปที่สัก เจาะหู ก็จะถูกค่านิยมนี้เล่นงานไปด้วยค่ะ
เพราะมันจะคอยๆซึมซับลงในความคิดของผู้คนค่ะว่า มีรอยสัก เจาะหู = คนไม่ดี ดูแย่
ดิฉันว่าค่านิยมนี้ไป กดทับ ตีตรา ให้คนกลุ่มหนึ่งในด้านลบ
และนะคะ คุณบอกว่านี่คือการแก้ปัญหาของ 21 วิทยาลัยอาชีวะ
...คุณคิดวิธีแก้กันได้แบบนี้หรือคะ?
2. "เหมาะสม"
ความเหมาะสม เป็นเรื่องที่แต่ละคนก็มองไม่เหมือนกันค่ะ ดังนั้น
คุณจะเอาความเหมาะสมในทัศนคติคุณไปยัดเยียดหรือบังคับแก่คนอื่นไม่ได้
ถ้าคุณอยากจะบังคับ คุณต้องหาเหตุผลที่ดีค่ะ เปิดถกเถียงกันไปเลยว่ามันแย่ยังไงดียังไง
ซึ่งในทัศนคติของดิฉันคำว่า เหมาะสม นั้นต้องวัดกันที่ว่ามัน ส่งผลร้าย ต่อสังคมอย่างไรค่ะ
หากไม่มี...ดิฉันก็จะไม่ขัดขวางค่ะ เพราะมันเป็นสิทธิของคุณบนเรือนร่างของคุณ
คุณย่อมมีสิทธิคิดสิทธิเลือกได้ว่าจะทำอะไรบนร่างกายของคุณ โดยไม่ไปละเมิดต่อผู้อื่น
3. โรงเรียนของ "รัฐ"
ดิฉันเข้าใจถูกใช่ไหมคะว่า วิทยาลัยอาชีวะ นั้นเป็นของรัฐดำเนินงานด้วยภาษีประชาชน
จัดว่าเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งหัวใจสำคัญคือ...การให้บริการแก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม
ไม่มีเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งความเชื่อ ชาติพันธุ์ ความคิด หรือรูปลักษณ์ภายนอก
ดังนั้นการที่คุณกระทำเช่นนี้ ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงค่ะ
4. โรงเรียนควรเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแห่ง "เสรีภาพ"
การศึกษานับแต่เกิดขึ้นในโลก ล้วนวิวัฒนาการมาด้วยเสรีภาพแห่งความคิด และมุ่งหวังให้ผู้เรียน
ได้ใช้ความคิดของตัวเองอย่างถึงที่สุด แต่การจำกัดการแต่งกายหรือสิทธิบนเรือนร่างของตัวเอง
เป็นการกักขังความคิดขั้นพื้นฐานที่สุด ที่มิได้ต้องการให้ผู้เรียนใช้ความคิดของตน
หากแต่ใช้ความคิดตามที่ผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจต้องการเท่านั้น
การศึกษาไทยพินาศตั้งแต่ขั้นพื้นฐานตรงนี้ค่ะ ส่วนตัวดิฉันยอมรับการแต่งเครื่องแบบในระดับก่อนอุดมศึกษาได้ค่ะ
แต่ต้องไม่ใช้วิธีการเยี่ยงทหารในโรงเรียน เช่น เล็มผมนักเรียน, กวดขันเรื่องแต่งกายเป็นที่หนึ่ง
ซึ่งดิฉันคิดว่า คนนะคะ ไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานที่ต้องทำถึงขนาดนี้
อยากให้คนมีวินัย เคารพกฎ ก็ต้องฝึกให้ความเขาได้คิดและตั้งคำถามต่อกฏนั้น
ว่ามันมีขึ้นเพื่ออะไรดีหรือไม่อย่างไรค่ะ
5. โรงเรียนมีกฏ ถ้ารับไม่ได้ก็ออกไป เสรีภาพมากนักก็วุ่นวาย
โรงเรียนเป็นของรัฐจะเลือกปฏิบัติด้วยเหตุตามข้อ 3 ไม่ได้ค่ะ
และต่อให้เป็นกฏจริง กฏหมายยังเปลี่ยนโดยรัฐสภาได้ กฏอื่นๆก็ย่อมเปลี่ยนได้ค่ะ
แต่การเปลี่ยนมันอยู่บนพื้นฐานของการถกเถียงหลายๆฝ่าย และโน้มน้าวให้ผู้คนเห็นด้วยกับตนค่ะ
กฏทุกกฏย่อมเปลี่ยนได้ ตามเหตุผล ตามยุคสมัย และตามความต้องการของคนส่วนใหญ่
ที่เราเชื่อว่าเมื่อเกิดการถกเถียงกันแล้ว คนส่วนใหญ่จะเลือกด้านที่ดีที่สุดให้กับตนเอง ณ เวลานั้น
และการมีเสรีภาพ ไม่ได้เกิดความวุ่นวายค่ะ ถ้าตราบใดฝ่ายต่างๆยังอยู่บนการถกเถียงหรือปะทะด้วยความคิด
เสรีภาพ ก็ต้องเคารพกฏค่ะ แต่เราสามารถด่ากฏได้ ตั้งคำถามได้ และรณรงค์ให้เปลี่ยนได้ค้ะ
6. ถ้าคุณมี "ลูก" คุณจะให้ลูกคุณสักไหมล่ะ?
ให้สิคะ ดิฉันไม่ชอบรอยสักค่ะ คนมีหนวดก็ไม่ชอบ แต่ดิฉันไม่มีวันไปบีบบังคับหรือแซงชั่นเขาค่ะ
ดิฉันจะพูดกับลูกว่า ดิฉันไม่ชอบเพราะอะไร แต่ลูกทำได้ถ้าลูกชอบ ขอให้ลูกรับผิดชอบตัวเองได้ก็พอค่ะ
เพราะดิฉันไม่ใช่เจ้าชีวิตใคร ทำได้แค่แนะนำและประคับประคองให้เขามองอย่างรอบด้านค่ะ
สุดท้ายนะคะ ดิฉันรอและคาดหวังว่าเมื่อไหร่รัฐบาลใหม่จะมีนโยบายการศึกษาที่จริงจัง ทันสมัยทัดเทียมนานาชาติ
แต่ในระดับกระทรวงก็มีแต่ปลูกฝังค่านิยม 12 ประการ ระดับอาชีวะก็เจอข่าวนี้ขึ้นมา ดิฉันว่ามันแย่มากๆค่ะ
ยังไม่เห็นแสงสว่างของการศึกษาเลยสักนิด
ก็หวังว่ากระทู้นี้จะส่งความเห็นของดิฉันไปยังเพื่อนผู้อ่านทุกท่าน เพื่อช่วยกันคิดและส่งเสียงออกไปค่ะ