เมื่อพิจารณาความโดยอ้างอิงหลักการจาก โคปกโมคคัลลานสูตร วัชชีปุตตสูตร เสขสูตร ปัญจสติกขันธกะ และมหาวิภังค์ ทำให้สามารถรวบรวมสิกขาบทต่างๆ ได้ทั้งสิ้น ๑๔๗ สิกขาบท ดังนี้คือ
(๑) ปาราชิก ๔ สิกขาบท
(๒) สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท
(๓) อนิยต ๒ สิกขาบท
(๔) นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท
(๕) ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท
(๖) ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท และ
(๗) อธิกรณ์สมถะ ๒ สิกขาบท
จึงเป็นอันว่าพระปาฏิโมกข์ ยังขาดไปอีก ๓ สิกขาบท จึงจะครบ ๑๕๐ ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในเสขสูตร โดยที่สิกขาบททั้ง ๓ นี้จะต้อง
(๑) ไม่ควรจะเป็นพระบัญญัติที่อยู่ในขันธกะ เพราะไม่เคยปรากฏว่ามีการนำพระบัญญัตินอกมหาวิภังค์ มาสวดเป็นพระปาฏิโมกข์ (อาจยกเว้น อธิกรณ์สมถะ ?)
(๒) ไม่เป็นพระบัญญัติที่ปรากฏอยู่ในสิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ หรือวินีตวัตถุ เพราะพระปาฏิโมกข์จะสวดเฉพาะมาติกา ไม่มีธรรมเนียมการสวด สิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ หรือ วินีตวัตถุ แต่อย่างใด
(๓) มีอาบัติที่เบากว่าปาจิตตีย์ เช่น อาบัติทุกกฏ เป็นต้น ตามนัยจากคำปรึกษาของพระอรหันตเถระเรื่องสิกขาบทเล็กน้อยจาก ปัญจสติกขันธกะ
ซึ่งจากการตรวจสอบข้อความจากมหาวิภังค์แล้วพบว่า มีสิกขาบทอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระบัญญัติที่ประกอบด้วยอาบัติทุกกฏ และมิได้อยู่ใน สิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ หรือ วินีตวัตถุ ตรงตามคุณสมบัติทุกประการ ดังนี้
กรณี กุฏิดินล้วน
สมัยนั้น ท่านพระธนิยะไม่สามารถบิณฑบาตหญ้าและไม้เพื่อทำกุฏิได้ ได้เกิดความคิดว่าตนเองนั้นเคยเป็นช่างปั้นหม้อผู้สามารถมาก่อน จึงได้ทำการขยำโคลนสร้างกุฎีด้วยดินล้วนขึ้นมา ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น พระพุทธองค์จึงได้ติเตียนเป็นอันมากและบัญญัติสิกขาบทความว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเอ็นดู ความอนุเคราะห์ ความไม่เบียด เบียนหมู่สัตว์ มิได้มีแก่โมฆบุรุษนั้นเลย พวกเธอจงไปทำลายกุฎีนั้น พวกเพื่อนพรหมจารีชั้นหลัง อย่าถึงความเบียดเบียนหมู่สัตว์เลย อันภิกษุไม่ควรทำกุฎีที่สำเร็จด้วยดินล้วน ภิกษุใดทำ ต้องอาบัติทุกกฏ” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค ข้อ ๗๙)
พระบัญญัตินี้ได้ปรากฏขึ้น ก่อนที่พระธนิยะจะกลายเป็นต้นบัญญัติ ทุติยปาราชิก แต่ได้ปรากฏความต่อมาว่า พระปาฏิโมกข์ในปัจจุบัน มิได้มีการสวดสิกขาบทข้อนี้ แม้ว่าความจากปาราชิกสิกขาบท จะมิได้ครอบคลุมไปถึงสิกขาบทเล็กน้อยดังกล่าวเลยก็ตาม ชะรอยท่านจะเห็นว่าพระบัญญัตินี้เป็นอาบัติเบา(แต่กลับไปปรากฏอยู่ในปาราชิกกัณฑ์) คล้ายกับข้อความในสิกขาบทวิภังค์หรือบทภาชนีย์ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสวดกระมัง สันนิษฐานว่า พระปาฏิโมกข์แต่เดิมมา คงสวดพระบัญญัตินี้ด้วย หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้พิจารณาตามสมควร
อีกประเด็นหนึ่งที่ควรทำความเข้าใจให้ดีก็คือ อาจมีความเข้าใจผิดไปได้เช่นกันว่า พระบัญญัติจาก มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ ได้ครอบคลุมถึงพระบัญญัติดังกล่าวข้างต้นนี้แล้วหรือไม่ ดังปรากฏเรื่องของภิกษุชาวรัฐอาฬวี ดังต่อไปนี้ว่า
โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตรัฐอาฬวี ครั้งนั้น พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวีช่วยกันทำ นวกรรม (การก่อสร้าง) ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพี คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพี? พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมเบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่ง ซึ่งมีชีวะ ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุชาวรัฐอาฬวีจึงได้ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพีเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค จนเป็นที่มาของพระบัญญัติ ความว่า
“อนึ่ง ภิกษุใด ขุดก็ดี ให้ขุดก็ดี ซึ่งปฐพี เป็นปาจิตตีย์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๓๔๙)
ถ้าสังเกตให้ดีก็จะพบว่า สิกขาบทดังกล่าวนี้ มีเจตนารมณ์อยู่ที่การห้ามมิให้ทำการ “ขุดดิน” โดยมิได้มุ่งความสนใจไปว่าจะนำดินที่ได้จากการขุดนั้นไปทำอะไรหรือไม่ ซึ่งต่างจากพระบัญญัติห้ามทำกุฏิด้วยดินล้วน ซึ่งพระบัญญัตินี้ก็มิได้สนใจเช่นกันว่าจะได้ดินนั้นมาจากไหนและด้วยวิธีใด เพราะเจตนารมณ์ของพระบัญญัติ ก็คือ “ห้ามทำกุฏิด้วยดินล้วน” นั่นจึงหมายความว่า แม้ภิกษุจะได้ดินมาโดยไม่ผิดพระบัญญัติจาก มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ (ตามความจากอนาปัตติวาร) ก็ตาม แต่ภิกษุนั้นก็มิอาจนำดินมาสร้างเป็นกุฏิดินล้วนได้อยู่ดี เพราะมีพระบัญญัติห้ามเอาไว้แล้ว จึงเป็นอันว่า พระบัญญัติทั้งสองข้อดังที่กล่าวถึงนี้ มิได้มีความซ้ำซ้อนกันแต่ประการใด โดยต่างก็มีผลบังคับใช้ด้วยกันทั้งคู่ ตามเจตนารมณ์ของพระบัญญัตินั้นๆ นั่นเอง
กรณี ภิกษุเดินทางถูกแย่งชิงจีวร
แต่เดิมนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติห้าม มิให้ภิกษุทั้งหลายขอจีวรจากผู้มิใช่ญาติ โดยทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต่อมาได้เกิดเหตุคือ ภิกษุหลายรูปเดินทางจากเมืองสาเกตสู่พระนครสาวัตถี ในระหว่างทางพวกโจรได้ออกแย่งชิงจีวร ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจขอจีวรจากผู้มิใช่ญาติได้ เพราะมีพระบัญญัติห้ามไว้ จึงพากันเปลือยกายเดินไปถึงพระนครสาวัตถี เมื่อพระพุทธองค์ได้ทราบความ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทดังนี้ว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ถูกโจรแย่งชิงจีวรไป หรือมีจีวรหาย ขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือน หรือแม่เจ้าเรือน ผู้มิใช่ญาติได้ เธอเดินไปถึงวัดใดก่อน ถ้าจีวรสำหรับวิหารก็ดี ผ้าลาดเตียงก็ดี ผ้าลาดพื้นก็ดี ผ้าปูที่นอนก็ดี ของสงฆ์ในวัดนั้นมีอยู่ จะถือเอาผ้าของสงฆ์นั้นไปห่มด้วยคิดว่า ได้จีวรนั้นมาแล้ว จักคืนไว้ดังกล่าว ดังนี้ก็ควร ถ้าจีวรสำหรับวิหารก็ดี ผ้าลาดเตียงก็ดี ผ้าลาดพื้นก็ดี ผ้าปูที่นอนก็ดี ของสงฆ์ไม่มี ต้องปกปิดด้วยหญ้าหรือใบไม้เดินมา ไม่พึงเปลือยกายเดินมา ภิกษุใดเปลือยกายเดินมา ต้องอาบัติทุกกฏ” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๕๔)
หลังจากนั้นจึงทรงบัญญัติสิกขาบทเพิ่มเติม ความว่า
“อนึ่ง ภิกษุใด ขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ นอกจากสมัย เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ สมัยในคำนั้นดังนี้ ภิกษุเป็นผู้มีจีวรถูกชิงเอาไปก็ดี มีจีวร

ก็ดี นี้สมัยในคำนั้น”
ซึ่งความข้อนี้ก็คือบทสวดในพระปาฏิโมกข์นั่นเอง แต่จะสังเกตเห็นได้ว่า เนื้อความของอนุบัญญัตินี้ มิได้ครอบคลุมถึง สิกขาบทที่ปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้เดินเปลือยกายแต่อย่างใดเลย ดังนั้น การไม่สวดสิกขาบทดังกล่าวในพระปาฏิโมกข์ของภิกษุทั้งหลายปัจจุบันนี้ จึงนับว่าชอบกลอยู่
กรณี ห้ามขอบาตร
เป็นเพราะภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้นไม่รู้จักประมาณ จึงได้ไปขอบาตรเป็นอันมากจากครอบครัวนายช่างปั้นหม้อ เขาไม่มีเวลาทำงานการของตน จนได้รับความเดือดร้อนลำบากมาก ด้วยเหตุดังนั้น พระพุทธองค์จึงได้ทรงบัญญัติสิกขาบท ความว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ควรขอบาตร ภิกษุใดขอ ต้องอาบัติทุกกฏ” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑๒๘)
สมัยต่อมา บาตรของภิกษุรูปหนึ่งแตก แต่ท่านไม่กล้าขอบาตรใหม่ เนื่องจากมีสิกขาบทห้ามอยู่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบ จึงได้ทรงอนุญาตว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้มีบาตรหาย หรือมีบาตรแตก ขอบาตรเขาได้” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑๒๙)
ต่อมาปรากฏว่า แค่บาตรแตกหรือบิ่นเพียงเล็กน้อย ภิกษุฉัพพัคคีย์ก็เที่ยวไปขอบาตรเขามาเก็บไว้เป็นอันมาก เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบ จึงบัญญัติสิกขาบท ดังนี้ว่า
“อนึ่ง ภิกษุใด มีบาตรมีแผลหย่อนห้า ให้จ่ายบาตรใหม่อื่น เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ภิกษุนั้นพึงสละบาตรใบนั้นในภิกษุบริษัท บาตรใบสุดแห่งภิกษุบริษัทนั้น พึงมอบให้แก่ภิกษุนั้นสั่งว่า ภิกษุ นี้บาตรของท่าน พึงทรงไว้กว่าจะแตก นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑๓๐)
ในกรณีนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงตั้งข้อสังเกตไว้ ความว่า
“สิกขาบทที่ ๒ ว่า อนึ่ง ภิกษุใด มีบาตรมีแผลหย่อน ๕ ให้จ่ายบาตรอื่นใหม่ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ภิกษุนั้นพึงสละบาตรนั้นในภิกษุบริษัท บาตรในสุดแห่งภิกษุบริษัทนั้น พึงมองให้แก่ภิกษุนั้น สั่งว่า นี้บาตรของท่าน พึงทรงไว้ [คือใช้] กว่าจะแตก นี้เป็นสามีจิกรรม [คือการชอบ] ในเรื่องนี้
รอยร้าว ยาวตั้งแต่ ๒ นิ้ว จัดว่าเป็นแผลแห่งหนึ่งแห่งบาตร ยาวไม่ถึงนั้น ไม่นับ คำว่า จ่ายนั้น ท่านแก้ไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่าขอบาตรเป็นนิสสัคคีย์ในสิกขาบทนี้ ท่านให้สละในสงฆ์ ครั้นแล้วสงฆ์พึงสมมติภิกษุรูปหนึ่ง ผู้ไม่ลุอำนาจอคติ และรู้จักจะทำ ให้เป็นผู้เปลี่ยนบาตร ภิกษุนั้น พึงเอาบาตรใหม่นั้นถวายพระเถระ เอาบาตรของพระเถระถวายพระรูปที่ ๒ เปลี่ยนเลื่อนลงมาโดยนัยนี้จนภิกษุใหม่ในสงฆ์แล้ว รับบาตรของภิกษุใหม่นั้น มอบให้แก่ภิกษุนั้นไว้ใช้ มีคำห้ามไว้ไม่ให้อธิษฐานบาตรเลว ด้วยหมายจะได้บาตรดี ทำอย่างนั้น ปรับเป็นทุกกฏ
การเปลี่ยนบาตรเช่นนี้ ไม่น่าจะเห็นว่า ได้ดีกว่ากันเป็นลำดับขึ้นไป ตั้งแต่สังฆนวกะจนถึงพระสังฆเถระ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุบริษัทนั้น ต้องพลอยได้พลอยเสียด้วยภิกษุผู้ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ยังไม่เป็นธรรมปรากฏพอ น่าจะมีเหตุอะไรแฝงอยู่ แต่ในเวลานี้ยังตรองไม่เห็น พระวินัยธรจงดำริข้างหน้าเถิด” (วินัยมุข เล่ม ๑ กัณฑ์ที่ ๖ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส)
การที่ข้อความจากสิกขาบทวิภังค์ระบุว่า “บทว่า ให้จ่าย คือขอเขา เป็นทุก กฏในประโยคที่ขอ” นี้ยังไม่อาจปลงใจเชื่อได้ว่าคำศัพท์ ให้จ่าย (เจตาเปยฺยาติ) จะมีความหมายเท่ากับ ขอเขา (วิ?ฺ?าเปติ) และยิ่งเมื่อพิจารณาข้อความทั้งหมดจากสิกขาบทวิภังค์ ทำให้เข้าใจว่า สิกขาบทนี้ น่าจะเป็นการใช้บังคับเฉพาะการจ่ายบาตรอันเป็นกิจภายในของ(คณะ)สงฆ์ เสียมากกว่าจะหมายถึงการขอบาตรจากชาวบ้านดังที่บัญญัติว่า “ภิกษุใดขอ ต้องอาบัติทุกกฏ”
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากว่า เป็นเพราะภิกษุในสมัยหลังเข้าใจว่า สิกขาบททั้ง ๒ นี้มีความหมายโดยอรรถอย่างเดียวกัน จึงได้สวดเฉพาะแต่สิกขาบทที่ทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ โดยละเว้นไม่สวดพระบัญญัติในครั้งที่ทรงปรับอาบัติทุกกฏนั้นไปเสีย
จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า แต่เดิมในสมัยพุทธกาล สิกขาบทที่ตรัสห้ามมิให้ภิกษุทั้งหลายขอบาตรจากชาวบ้านหากบาตรมิได้หายหรือแตก โดยปรับอาบัติทุกกฏนั้น น่าจะมีอยู่จริง โดยสิกขาบทในสมัยต่อมาที่ปรับนิสสัคคียปาจิตตีย์ แก่ภิกษุที่ให้จ่ายบาตรใหม่นั้นน่าจะหมายถึง การขอบาตรซึ่งเป็นส่วนกลางในคณะสงฆ์เสียมากกว่า ในชั้นนี้จึงเห็นว่า พระบัญญัติทั้ง ๒ นี้เป็นสิกขาบทที่บังคับใช้คนละกรณีกัน ไม่มีสถาพเป็นอนุบัญญัติซึ่งกันและกันแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาข้อความจาก ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้ภิกษุทั้งหลายทรงอติเรกบาตร เนื่องจากถูกชาวบ้านเขาเพ่งโทษติเตียนว่า
“ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้สั่งสมบาตรไว้เป็นอันมาก ท่านจักทำการขายบาตร หรือจักตั้งร้านขายภาชนะดินเผา” ความว่า
“อนึ่ง ภิกษุใด ทรงอติเรกบาตร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑๑๗)
ต่อมาภายหลังจึงทรงผ่อนปรน โดยมีพระบัญญัติเพิ่มเติม ความว่า
“พึงทรงอติเรกบาตรไว้ได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑๑๘)
09 สิกขาบททั้ง ๓ จากมหาวิภังค์
(๑) ปาราชิก ๔ สิกขาบท
(๒) สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท
(๓) อนิยต ๒ สิกขาบท
(๔) นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท
(๕) ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท
(๖) ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท และ
(๗) อธิกรณ์สมถะ ๒ สิกขาบท
จึงเป็นอันว่าพระปาฏิโมกข์ ยังขาดไปอีก ๓ สิกขาบท จึงจะครบ ๑๕๐ ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ในเสขสูตร โดยที่สิกขาบททั้ง ๓ นี้จะต้อง
(๑) ไม่ควรจะเป็นพระบัญญัติที่อยู่ในขันธกะ เพราะไม่เคยปรากฏว่ามีการนำพระบัญญัตินอกมหาวิภังค์ มาสวดเป็นพระปาฏิโมกข์ (อาจยกเว้น อธิกรณ์สมถะ ?)
(๒) ไม่เป็นพระบัญญัติที่ปรากฏอยู่ในสิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ หรือวินีตวัตถุ เพราะพระปาฏิโมกข์จะสวดเฉพาะมาติกา ไม่มีธรรมเนียมการสวด สิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ หรือ วินีตวัตถุ แต่อย่างใด
(๓) มีอาบัติที่เบากว่าปาจิตตีย์ เช่น อาบัติทุกกฏ เป็นต้น ตามนัยจากคำปรึกษาของพระอรหันตเถระเรื่องสิกขาบทเล็กน้อยจาก ปัญจสติกขันธกะ
ซึ่งจากการตรวจสอบข้อความจากมหาวิภังค์แล้วพบว่า มีสิกขาบทอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระบัญญัติที่ประกอบด้วยอาบัติทุกกฏ และมิได้อยู่ใน สิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ หรือ วินีตวัตถุ ตรงตามคุณสมบัติทุกประการ ดังนี้
กรณี กุฏิดินล้วน
สมัยนั้น ท่านพระธนิยะไม่สามารถบิณฑบาตหญ้าและไม้เพื่อทำกุฏิได้ ได้เกิดความคิดว่าตนเองนั้นเคยเป็นช่างปั้นหม้อผู้สามารถมาก่อน จึงได้ทำการขยำโคลนสร้างกุฎีด้วยดินล้วนขึ้นมา ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น พระพุทธองค์จึงได้ติเตียนเป็นอันมากและบัญญัติสิกขาบทความว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเอ็นดู ความอนุเคราะห์ ความไม่เบียด เบียนหมู่สัตว์ มิได้มีแก่โมฆบุรุษนั้นเลย พวกเธอจงไปทำลายกุฎีนั้น พวกเพื่อนพรหมจารีชั้นหลัง อย่าถึงความเบียดเบียนหมู่สัตว์เลย อันภิกษุไม่ควรทำกุฎีที่สำเร็จด้วยดินล้วน ภิกษุใดทำ ต้องอาบัติทุกกฏ” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค ข้อ ๗๙)
พระบัญญัตินี้ได้ปรากฏขึ้น ก่อนที่พระธนิยะจะกลายเป็นต้นบัญญัติ ทุติยปาราชิก แต่ได้ปรากฏความต่อมาว่า พระปาฏิโมกข์ในปัจจุบัน มิได้มีการสวดสิกขาบทข้อนี้ แม้ว่าความจากปาราชิกสิกขาบท จะมิได้ครอบคลุมไปถึงสิกขาบทเล็กน้อยดังกล่าวเลยก็ตาม ชะรอยท่านจะเห็นว่าพระบัญญัตินี้เป็นอาบัติเบา(แต่กลับไปปรากฏอยู่ในปาราชิกกัณฑ์) คล้ายกับข้อความในสิกขาบทวิภังค์หรือบทภาชนีย์ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องสวดกระมัง สันนิษฐานว่า พระปาฏิโมกข์แต่เดิมมา คงสวดพระบัญญัตินี้ด้วย หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้พิจารณาตามสมควร
อีกประเด็นหนึ่งที่ควรทำความเข้าใจให้ดีก็คือ อาจมีความเข้าใจผิดไปได้เช่นกันว่า พระบัญญัติจาก มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ ได้ครอบคลุมถึงพระบัญญัติดังกล่าวข้างต้นนี้แล้วหรือไม่ ดังปรากฏเรื่องของภิกษุชาวรัฐอาฬวี ดังต่อไปนี้ว่า
โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตรัฐอาฬวี ครั้งนั้น พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวีช่วยกันทำ นวกรรม (การก่อสร้าง) ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพี คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพี? พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมเบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่ง ซึ่งมีชีวะ ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุชาวรัฐอาฬวีจึงได้ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพีเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค จนเป็นที่มาของพระบัญญัติ ความว่า
“อนึ่ง ภิกษุใด ขุดก็ดี ให้ขุดก็ดี ซึ่งปฐพี เป็นปาจิตตีย์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๓๔๙)
ถ้าสังเกตให้ดีก็จะพบว่า สิกขาบทดังกล่าวนี้ มีเจตนารมณ์อยู่ที่การห้ามมิให้ทำการ “ขุดดิน” โดยมิได้มุ่งความสนใจไปว่าจะนำดินที่ได้จากการขุดนั้นไปทำอะไรหรือไม่ ซึ่งต่างจากพระบัญญัติห้ามทำกุฏิด้วยดินล้วน ซึ่งพระบัญญัตินี้ก็มิได้สนใจเช่นกันว่าจะได้ดินนั้นมาจากไหนและด้วยวิธีใด เพราะเจตนารมณ์ของพระบัญญัติ ก็คือ “ห้ามทำกุฏิด้วยดินล้วน” นั่นจึงหมายความว่า แม้ภิกษุจะได้ดินมาโดยไม่ผิดพระบัญญัติจาก มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ (ตามความจากอนาปัตติวาร) ก็ตาม แต่ภิกษุนั้นก็มิอาจนำดินมาสร้างเป็นกุฏิดินล้วนได้อยู่ดี เพราะมีพระบัญญัติห้ามเอาไว้แล้ว จึงเป็นอันว่า พระบัญญัติทั้งสองข้อดังที่กล่าวถึงนี้ มิได้มีความซ้ำซ้อนกันแต่ประการใด โดยต่างก็มีผลบังคับใช้ด้วยกันทั้งคู่ ตามเจตนารมณ์ของพระบัญญัตินั้นๆ นั่นเอง
กรณี ภิกษุเดินทางถูกแย่งชิงจีวร
แต่เดิมนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติห้าม มิให้ภิกษุทั้งหลายขอจีวรจากผู้มิใช่ญาติ โดยทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ต่อมาได้เกิดเหตุคือ ภิกษุหลายรูปเดินทางจากเมืองสาเกตสู่พระนครสาวัตถี ในระหว่างทางพวกโจรได้ออกแย่งชิงจีวร ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจขอจีวรจากผู้มิใช่ญาติได้ เพราะมีพระบัญญัติห้ามไว้ จึงพากันเปลือยกายเดินไปถึงพระนครสาวัตถี เมื่อพระพุทธองค์ได้ทราบความ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทดังนี้ว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ถูกโจรแย่งชิงจีวรไป หรือมีจีวรหาย ขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือน หรือแม่เจ้าเรือน ผู้มิใช่ญาติได้ เธอเดินไปถึงวัดใดก่อน ถ้าจีวรสำหรับวิหารก็ดี ผ้าลาดเตียงก็ดี ผ้าลาดพื้นก็ดี ผ้าปูที่นอนก็ดี ของสงฆ์ในวัดนั้นมีอยู่ จะถือเอาผ้าของสงฆ์นั้นไปห่มด้วยคิดว่า ได้จีวรนั้นมาแล้ว จักคืนไว้ดังกล่าว ดังนี้ก็ควร ถ้าจีวรสำหรับวิหารก็ดี ผ้าลาดเตียงก็ดี ผ้าลาดพื้นก็ดี ผ้าปูที่นอนก็ดี ของสงฆ์ไม่มี ต้องปกปิดด้วยหญ้าหรือใบไม้เดินมา ไม่พึงเปลือยกายเดินมา ภิกษุใดเปลือยกายเดินมา ต้องอาบัติทุกกฏ” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๕๔)
หลังจากนั้นจึงทรงบัญญัติสิกขาบทเพิ่มเติม ความว่า
“อนึ่ง ภิกษุใด ขอจีวรต่อพ่อเจ้าเรือนก็ดี ต่อแม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ นอกจากสมัย เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ สมัยในคำนั้นดังนี้ ภิกษุเป็นผู้มีจีวรถูกชิงเอาไปก็ดี มีจีวร
ซึ่งความข้อนี้ก็คือบทสวดในพระปาฏิโมกข์นั่นเอง แต่จะสังเกตเห็นได้ว่า เนื้อความของอนุบัญญัตินี้ มิได้ครอบคลุมถึง สิกขาบทที่ปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้เดินเปลือยกายแต่อย่างใดเลย ดังนั้น การไม่สวดสิกขาบทดังกล่าวในพระปาฏิโมกข์ของภิกษุทั้งหลายปัจจุบันนี้ จึงนับว่าชอบกลอยู่
กรณี ห้ามขอบาตร
เป็นเพราะภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้นไม่รู้จักประมาณ จึงได้ไปขอบาตรเป็นอันมากจากครอบครัวนายช่างปั้นหม้อ เขาไม่มีเวลาทำงานการของตน จนได้รับความเดือดร้อนลำบากมาก ด้วยเหตุดังนั้น พระพุทธองค์จึงได้ทรงบัญญัติสิกขาบท ความว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ควรขอบาตร ภิกษุใดขอ ต้องอาบัติทุกกฏ” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑๒๘)
สมัยต่อมา บาตรของภิกษุรูปหนึ่งแตก แต่ท่านไม่กล้าขอบาตรใหม่ เนื่องจากมีสิกขาบทห้ามอยู่ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบ จึงได้ทรงอนุญาตว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้มีบาตรหาย หรือมีบาตรแตก ขอบาตรเขาได้” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑๒๙)
ต่อมาปรากฏว่า แค่บาตรแตกหรือบิ่นเพียงเล็กน้อย ภิกษุฉัพพัคคีย์ก็เที่ยวไปขอบาตรเขามาเก็บไว้เป็นอันมาก เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบ จึงบัญญัติสิกขาบท ดังนี้ว่า
“อนึ่ง ภิกษุใด มีบาตรมีแผลหย่อนห้า ให้จ่ายบาตรใหม่อื่น เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ภิกษุนั้นพึงสละบาตรใบนั้นในภิกษุบริษัท บาตรใบสุดแห่งภิกษุบริษัทนั้น พึงมอบให้แก่ภิกษุนั้นสั่งว่า ภิกษุ นี้บาตรของท่าน พึงทรงไว้กว่าจะแตก นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑๓๐)
ในกรณีนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงตั้งข้อสังเกตไว้ ความว่า
“สิกขาบทที่ ๒ ว่า อนึ่ง ภิกษุใด มีบาตรมีแผลหย่อน ๕ ให้จ่ายบาตรอื่นใหม่ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ภิกษุนั้นพึงสละบาตรนั้นในภิกษุบริษัท บาตรในสุดแห่งภิกษุบริษัทนั้น พึงมองให้แก่ภิกษุนั้น สั่งว่า นี้บาตรของท่าน พึงทรงไว้ [คือใช้] กว่าจะแตก นี้เป็นสามีจิกรรม [คือการชอบ] ในเรื่องนี้
รอยร้าว ยาวตั้งแต่ ๒ นิ้ว จัดว่าเป็นแผลแห่งหนึ่งแห่งบาตร ยาวไม่ถึงนั้น ไม่นับ คำว่า จ่ายนั้น ท่านแก้ไว้ในคัมภีร์วิภังค์ว่าขอบาตรเป็นนิสสัคคีย์ในสิกขาบทนี้ ท่านให้สละในสงฆ์ ครั้นแล้วสงฆ์พึงสมมติภิกษุรูปหนึ่ง ผู้ไม่ลุอำนาจอคติ และรู้จักจะทำ ให้เป็นผู้เปลี่ยนบาตร ภิกษุนั้น พึงเอาบาตรใหม่นั้นถวายพระเถระ เอาบาตรของพระเถระถวายพระรูปที่ ๒ เปลี่ยนเลื่อนลงมาโดยนัยนี้จนภิกษุใหม่ในสงฆ์แล้ว รับบาตรของภิกษุใหม่นั้น มอบให้แก่ภิกษุนั้นไว้ใช้ มีคำห้ามไว้ไม่ให้อธิษฐานบาตรเลว ด้วยหมายจะได้บาตรดี ทำอย่างนั้น ปรับเป็นทุกกฏ
การเปลี่ยนบาตรเช่นนี้ ไม่น่าจะเห็นว่า ได้ดีกว่ากันเป็นลำดับขึ้นไป ตั้งแต่สังฆนวกะจนถึงพระสังฆเถระ เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุบริษัทนั้น ต้องพลอยได้พลอยเสียด้วยภิกษุผู้ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ ยังไม่เป็นธรรมปรากฏพอ น่าจะมีเหตุอะไรแฝงอยู่ แต่ในเวลานี้ยังตรองไม่เห็น พระวินัยธรจงดำริข้างหน้าเถิด” (วินัยมุข เล่ม ๑ กัณฑ์ที่ ๖ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส)
การที่ข้อความจากสิกขาบทวิภังค์ระบุว่า “บทว่า ให้จ่าย คือขอเขา เป็นทุก กฏในประโยคที่ขอ” นี้ยังไม่อาจปลงใจเชื่อได้ว่าคำศัพท์ ให้จ่าย (เจตาเปยฺยาติ) จะมีความหมายเท่ากับ ขอเขา (วิ?ฺ?าเปติ) และยิ่งเมื่อพิจารณาข้อความทั้งหมดจากสิกขาบทวิภังค์ ทำให้เข้าใจว่า สิกขาบทนี้ น่าจะเป็นการใช้บังคับเฉพาะการจ่ายบาตรอันเป็นกิจภายในของ(คณะ)สงฆ์ เสียมากกว่าจะหมายถึงการขอบาตรจากชาวบ้านดังที่บัญญัติว่า “ภิกษุใดขอ ต้องอาบัติทุกกฏ”
ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากว่า เป็นเพราะภิกษุในสมัยหลังเข้าใจว่า สิกขาบททั้ง ๒ นี้มีความหมายโดยอรรถอย่างเดียวกัน จึงได้สวดเฉพาะแต่สิกขาบทที่ทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ โดยละเว้นไม่สวดพระบัญญัติในครั้งที่ทรงปรับอาบัติทุกกฏนั้นไปเสีย
จึงอาจสันนิษฐานได้ว่า แต่เดิมในสมัยพุทธกาล สิกขาบทที่ตรัสห้ามมิให้ภิกษุทั้งหลายขอบาตรจากชาวบ้านหากบาตรมิได้หายหรือแตก โดยปรับอาบัติทุกกฏนั้น น่าจะมีอยู่จริง โดยสิกขาบทในสมัยต่อมาที่ปรับนิสสัคคียปาจิตตีย์ แก่ภิกษุที่ให้จ่ายบาตรใหม่นั้นน่าจะหมายถึง การขอบาตรซึ่งเป็นส่วนกลางในคณะสงฆ์เสียมากกว่า ในชั้นนี้จึงเห็นว่า พระบัญญัติทั้ง ๒ นี้เป็นสิกขาบทที่บังคับใช้คนละกรณีกัน ไม่มีสถาพเป็นอนุบัญญัติซึ่งกันและกันแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาข้อความจาก ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้ภิกษุทั้งหลายทรงอติเรกบาตร เนื่องจากถูกชาวบ้านเขาเพ่งโทษติเตียนว่า
“ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้สั่งสมบาตรไว้เป็นอันมาก ท่านจักทำการขายบาตร หรือจักตั้งร้านขายภาชนะดินเผา” ความว่า
“อนึ่ง ภิกษุใด ทรงอติเรกบาตร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑๑๗)
ต่อมาภายหลังจึงทรงผ่อนปรน โดยมีพระบัญญัติเพิ่มเติม ความว่า
“พึงทรงอติเรกบาตรไว้ได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑๑๘)