สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
Indicators แต่ละตัวผู้คิดสูตร มีจุดประสงค์ในการสร้างแตกต่างกัน
MACD ( Moving Average Convergence Divergence ) เป็นการนำแนวคิดหลักการใช้เส้นค่าเฉลี่ยมาประยุกต์ เพื่อใช้บอกแนวโน้ม และบอกโมเมนตัม ทำให้ค่า MACD สามารถใช้บอกแนวโน้มได้ และให้สัญญาณซื้อหรือขายได้ โดยใช้หลักการเส้น MACD ตัดเส้น Zero line
เราใช้ MACD ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 9 วันของตัวมันเอง(เส้น Signal ) เป็นตัวให้สัญญาณว่าขณะนั้น ดัชนี(ราคา) มีแรงมากกว่าหรือน้อยกว่าเฉลี่ยเพื่อดูแรงซื้อแรงขายในระยะสั้นได้เช่นกัน

ส่วน Relative Strength Index ( RSI ) เป็นการบอกถึงความเร็วในการเปลี่ยนแปลงราคาในช่วงระยะที่ผ่านมาตามที่กำหนด โดยทั่วไปค่า Defualt = 14 periods โดย เป็นการเปรียบเทียบราคาที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย เทียบกับราคาที่ลดลงเฉลี่ย ย้อนหลัง 14 periods ที่ผ่านมา เพื่อบอกนัยยะว่า โอกาสที่ราคาเพิ่มขึ้นเทียบกับลดลง มีสัดส่วนเป็นเท่าใดตามสูตร
RSI = 100 - 100 / ( 1+RS )
RS = Average Gain / Average Loss
สมมติว่า ช่วง 14 วันที่ผ่านมา ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 6 วัน แต่นำมาเฉลี่ยแล้ว เพิ่มวันละ 2 บาท และวันที่หุ้นลง 8 วันเฉลี่ยแล้วลงวันละ 1 บาท
เมื่อนำมาเข้าสูตรจะได้ค่า RSI = 100 - 100 / ( 1 + 2/1 ) = 66.67 โดยประมาณ
ความหมายคือ เมื่อค่า RSI >= 67 โดยประมาณ จะบอกนัยยะว่า วันถัดไปหากราคาหุ้นขึ้นจะมีโอกาสขึ้นเป็น 2 เท่าของราคาหุ้นลง ถึงจะทำให้ค่า RSI ยังมีค่าเพิ่มขึ้นต่อไปได้ ( ไม่ลดลง ) แต่หากราคาเพิ่มขึ้นน้อยกว่า Average Gain ก่อนหน้า จะทำให้ค่า RSI มีค่าลดลง และยิ่งวันถัดไปราคาหุ้นเกิดติดลบ จะยิ่งทำให้ค่า RSI ลดลงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเตือนว่า ความเร็วของการปลี่ยนแปลงราคาเริ่มลดลง
เราใช้ค่า RSI ในการบอกนัยยะว่ายังมีแรงซื้อเพื่อผลักดันราคาขึ้นต่อไปได้อีกหรือไม่ หากค่า RSI ยังเพิ่มขึ้นนั่นแสดงว่า ราคาที่เพิ่มวันนี้ยังมีค่าสูงกว่าการเพิ่มเฉลี่ย ( Average gain ) 13 วันย้อนหลังที่ผ่านมา เมื่อรวมกับวันนี้จึงทำให้ค่า RSI เพิ่มสูงขึ้นด้วย แต่หากราคาหุ้นวันนี้ติดลบก็จะทำให้ค่า RSI วันล่าสุดมีค่าลดลงทันที เป็นการเตือนถึงแรงซื้อที่เริ่มเจอแรงขายทำให้ราคาวิ่งขึ้นต่อไปไม่ได้ หรือแรงซื้อลดลงก็ได้ครับ
MACD ( Moving Average Convergence Divergence ) เป็นการนำแนวคิดหลักการใช้เส้นค่าเฉลี่ยมาประยุกต์ เพื่อใช้บอกแนวโน้ม และบอกโมเมนตัม ทำให้ค่า MACD สามารถใช้บอกแนวโน้มได้ และให้สัญญาณซื้อหรือขายได้ โดยใช้หลักการเส้น MACD ตัดเส้น Zero line
เราใช้ MACD ตัดเส้นค่าเฉลี่ย 9 วันของตัวมันเอง(เส้น Signal ) เป็นตัวให้สัญญาณว่าขณะนั้น ดัชนี(ราคา) มีแรงมากกว่าหรือน้อยกว่าเฉลี่ยเพื่อดูแรงซื้อแรงขายในระยะสั้นได้เช่นกัน

ส่วน Relative Strength Index ( RSI ) เป็นการบอกถึงความเร็วในการเปลี่ยนแปลงราคาในช่วงระยะที่ผ่านมาตามที่กำหนด โดยทั่วไปค่า Defualt = 14 periods โดย เป็นการเปรียบเทียบราคาที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย เทียบกับราคาที่ลดลงเฉลี่ย ย้อนหลัง 14 periods ที่ผ่านมา เพื่อบอกนัยยะว่า โอกาสที่ราคาเพิ่มขึ้นเทียบกับลดลง มีสัดส่วนเป็นเท่าใดตามสูตร
RSI = 100 - 100 / ( 1+RS )
RS = Average Gain / Average Loss
สมมติว่า ช่วง 14 วันที่ผ่านมา ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 6 วัน แต่นำมาเฉลี่ยแล้ว เพิ่มวันละ 2 บาท และวันที่หุ้นลง 8 วันเฉลี่ยแล้วลงวันละ 1 บาท
เมื่อนำมาเข้าสูตรจะได้ค่า RSI = 100 - 100 / ( 1 + 2/1 ) = 66.67 โดยประมาณ
ความหมายคือ เมื่อค่า RSI >= 67 โดยประมาณ จะบอกนัยยะว่า วันถัดไปหากราคาหุ้นขึ้นจะมีโอกาสขึ้นเป็น 2 เท่าของราคาหุ้นลง ถึงจะทำให้ค่า RSI ยังมีค่าเพิ่มขึ้นต่อไปได้ ( ไม่ลดลง ) แต่หากราคาเพิ่มขึ้นน้อยกว่า Average Gain ก่อนหน้า จะทำให้ค่า RSI มีค่าลดลง และยิ่งวันถัดไปราคาหุ้นเกิดติดลบ จะยิ่งทำให้ค่า RSI ลดลงมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเตือนว่า ความเร็วของการปลี่ยนแปลงราคาเริ่มลดลง
เราใช้ค่า RSI ในการบอกนัยยะว่ายังมีแรงซื้อเพื่อผลักดันราคาขึ้นต่อไปได้อีกหรือไม่ หากค่า RSI ยังเพิ่มขึ้นนั่นแสดงว่า ราคาที่เพิ่มวันนี้ยังมีค่าสูงกว่าการเพิ่มเฉลี่ย ( Average gain ) 13 วันย้อนหลังที่ผ่านมา เมื่อรวมกับวันนี้จึงทำให้ค่า RSI เพิ่มสูงขึ้นด้วย แต่หากราคาหุ้นวันนี้ติดลบก็จะทำให้ค่า RSI วันล่าสุดมีค่าลดลงทันที เป็นการเตือนถึงแรงซื้อที่เริ่มเจอแรงขายทำให้ราคาวิ่งขึ้นต่อไปไม่ได้ หรือแรงซื้อลดลงก็ได้ครับ

แสดงความคิดเห็น
ระหว่างค่าRSI กับ ค่า MACD คุณว่าค่าไหนที่คุณดูแล้วตัดสินใจซื้อหุ้นเลย เพราะอะไร ขอเหตุผลด้วยครับ
เลือกไม่ถูกว่าจะเอาสัญญาณจากตัวไหนเป็นเกณฑ์ดี
ที่จะตัดสินใจซื้อหุ้นตัวนั้น