ข้อเท็จจริงขั้นพื้นฐานที่ทำให้เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของพุทธบริษัททั้ง ๔ สามารถประเมินและทำความเข้าใจได้ว่า พระปาฏิโมกข์นั้นก็เปรียบเสมือนกฏหมายสูงสุดของฝ่ายบ้านเมือง สมดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสกับท่านพระอานนท์ก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ความว่า
“ธรรมและวินัยอันใด เรา(ตถาคต)แสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา(ตถาคต)” (อ้างจาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ ๑๔๑)
โดยอันที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ก็ได้ทรงพยายามที่จะทำให้กฏระเบียบต่างๆ เหล่านี้ อยู่ในฐานะที่เป็นหลักเป็นประธานของคณะสงฆ์ แม้แต่จนเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยซ้ำ ดังที่จะพอสังเกตเห็นได้ไม่ยากว่า ทุกๆ ครั้งที่พระพุทธองค์จะทรงบัญญัติสิกขาบทใดๆ ขึ้นมาก็ตาม ก็จะทรงเรียกประชุมสงฆ์ และตรัสอธิบายถึงที่มาที่ไปของปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ รวมไปถึงเหตุผลข้อดีข้อเสียในการบัญญัติสิกขาบทนั้นๆ แล้วจึงทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นมาเพื่อบังคับใช้แก่คณะสงฆ์ พฤติการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความเอาพระทัยใส่ และการที่ทรงให้ความสำคัญแก่สิกขาบทบัญญัติต่างๆ ในฐานะที่เป็นแกนหลักของคณะสงฆ์ก็คือ การที่ตรัสอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลาย สวดพระปาฏิโมกข์ซึ่งประกอบไปด้วย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้เอง
Lon L. Fuller นักนิติปรัชญาร่วมสมัย ได้นำเสนอรายละเอียดองค์ประกอบของหลักนิติธรรมอย่างเป็นรูปธรรม เรียกว่า หลักศีลธรรมภายในกฏหมาย โดยที่เขาอาจไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยก็ได้ว่า สิ่งที่เขาพยายามนำเสนอมานั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสสิ่งเหล่านี้มาก่อนที่เขาจะลืมตาดูโลกมานานกว่า ๒ พันปี หลักการต่างๆ ที่นักนิติปรัชญาผู้นั้นกล่าวถึงตัวอย่างเช่น กฏหมายนั้นจะต้องมีการประกาศให้ทราบทั่วไป หรือ กฏหมายจะต้องมีบทบัญญัติที่กระจ่างชัดเจน เหล่านี้นับได้ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์
องค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งที่ Fuller ระบุเอาไว้ว่า หลักการกฎหมายจะต้องมีความมั่นคงตามควร ซึ่งลักษณะของพระปาฏิโมกข์ ย่อมเป็นองค์พยานที่ชัดเจนอย่างยิ่ง กล่าวคือ เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติพระปาฏิโมกข์ไว้แล้วในกาลครั้งใด พระพุทธองค์ ก็จะไม่ทรงยกเลิกเพิกถอน พระปาฏิโมกข์นั้นเป็นอันขาด ดังที่จะสังเกตเห็นได้ว่า ตามที่ได้ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน การสวดพระปาฏิโมกข์นั้นจะสวดเฉพาะส่วนที่เรียกว่า “มาติกา” หรือก็คือตัว “แม่บท” ทั้งยังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สิกขาบทวินัยที่ทรงบัญญัติขึ้นนั้นมีอยู่ ๒ อย่างคือ
(๑) มูลบัญญัติ คือ บทบัญญัติเดิม หมายถึง สิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติขึ้นมาในคราวแรก ซึ่งมูลบัญญัตินี้เองที่เรียกว่า “แม่บท” หรือ “มาติกา” ที่ภิกษุสงฆ์ต้องยกขึ้นมาสวดในทุกๆ กึ่งเดือน
(๒) อนุบัญญัติ คือ บทบัญญัติเพิ่มเติม หมายถึง สิกขาบทที่ทรงบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเดิมในภายหลังให้เหมาะสมรัดกุมมากยิ่งขึ้น
โดยหากปรากฏขึ้นมาในภายหลังว่า มีผู้กระผิดต่อพระบัญญัตินั้นโดยปริยายอื่นอีก คือมูลบัญญัตินั้นยังครอบคลุมไม่ทั่วถึงพอ พระพุทธองค์ ก็จะทรงแก้ไขเพิ่มเติมพระบัญญัตินั้น ให้กวดขันรัดกุมยิ่งขึ้นเรียกว่าอนุบัญญัติ ตัวอย่างเช่น พระพุทธองค์ทรงปรารภกรณีท่านพระสุทินน์ แล้วจึงบัญญัติสิกขาบทปฐมปาราชิก ความว่า “ก็ภิกษุใดเสพเมถุนธรรม เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค ข้อ ๒๐) นี่เรียกว่า มูลบัญญัติ
ต่อมาปรากฏว่า มีภิกษุรูปหนึ่งเอาเหยื่อล่อลิงตัวเมีย แล้วเสพเมถุนธรรมในลิงตัวเมียนั้น เมื่อภิกษุรูปอื่นทราบความจึงได้กล่าวกับภิกษุนั้นว่า “อาวุโส พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบท ไว้แล้วมิใช่หรือ เหตุไร คุณจึงได้เสพเมถุนธรรมในลิงตัวเมียนี้เล่า” ปรากฏว่าภิกษุนั้นสารภาพว่าพระพุทธองค์ได้บัญญัติสิกขาบทนั้นไว้จริง แต่ก็ค้านว่าพระสิกขาบทนั้นบัญญัติเฉพาะหญิงมนุษย์ ไม่เกี่ยวถึงสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ในที่สุดภิกษุทั้งหลายที่ทราบความ จึงได้กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระพุทธองค์ เมื่อสอบสวนจนได้ข้อเท็จจริงแล้ว จึงทรงบัญญัติ พระอนุบัญญัติ ขึ้นดังนี้ “อนึ่ง ภิกษุใดเสพเมถุนธรรมโดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค ข้อ ๒๒) สังเกตได้ว่า อนุบัญญัติในกรณีนี้เป็นการทำให้สิกขาบทรัดกุมมากยิ่งขึ้น
แต่ในบางกรณี มูลบัญญัติ อาจมีความเข้มงวดมากเกินไปจนปฏิบัติได้ไม่สะดวก ตัวอย่างเช่น พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุมีจีวรได้เพียง ๓ ผืน คือ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม และ ผ้าห่มซ้อน(สังฆาฏิ) แต่ปรากฏว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ เข้าบ้าน อยู่ในวัด ลงสู่ที่อาบน้ำด้วยไตรจีวรต่างสำรับกัน ภิกษุทั้งหลายติเตียน เมื่อความทราบถึงพระพุทธองค์ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า “อนึ่ง ภิกษุใดทรงอติเรกจีวร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑)
ต่อมา มีอติเรกจีวรเกิดขึ้นแก่ท่านพระอานนท์ และท่านประสงค์จะถวายจีวรนั้นแก่ท่านพระสารีบุตร แต่ท่านพระสารีบุตรอยู่ถึงเมืองสาเกต จึงท่านพระอานนท์มีความปริวิตกว่า พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า ภิกษุไม่พึงทรงอติเรกจีวร เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ ครั้นแล้วท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระพุทธองค์ ครานั้น เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามจนทราบความว่า ท่านพระสารีบุตรจักกลับมาในวันที่ ๙ หรือวันที่ ๑๐ จึงทรงอนุญาตอติเรกจีวร รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทรงอติเรกจีวรไว้ได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง” บัญญัติสิกขาบทดังนี้ว่า “จีวรสำเร็จแล้ว กฐินอันภิกษุเดาะเสียแล้ว พึงทรงอติเรกจีวรได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๒) ในกรณีนี้ มูลบัญญัติเข้มงวดเกินไป จึงทรงบัญญัติเพิ่มเติม เป็นอนุบัญญัติ เพื่อผ่อนปรนให้ปฏิบัติได้สะดวกขึ้น
ประเด็นที่ท่านทั้งหลายสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงมีพระบัญญัติเพิ่มเติม ขึ้นมามากมายสักเพียงใดก็ตาม แต่การบัญญัติเหล่านั้นจะไม่ส่งผลกระทบ ต่อการสวดพระปาฏิโมกข์เลยแม้แต่น้อย ซึ่งเมื่อทรงกระทำในลักษณะเช่นนี้แล้ว ก็จะส่งผลให้พระปาฏิโมกข์ อันเปรียบเสมือนกฏหมายหลักของคณะสงฆ์มีความมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง โดยเราสามารถแยกพิจารณาเป็น ๒ กรณีคือ
(๑) ในกรณีที่เชื่อตามธรรมเนียมลัทธิลังกาวงศ์ว่า สิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ และวินีตวัตถุ จากมหาวิภังค์เป็นพุทธพจน์มาแต่เดิม ก็ย่อมทำให้สามารถเข้าใจในหลักการได้ว่า พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ ที่จะให้คงพระปาฏิโมกข์ไว้ดังเดิม โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถึงแม้จะมีพระบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นมาในสิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ หรือวินีตวัตถุก็ตาม แต่นั่นก็มิเคยมีผลทำให้การสวดพระปาฏิโมกข์จะเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ซึ่งย่อมเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับหลักศีลธรรมภายในกฏหมายของนักนิติปรัชญาในสมัยปัจจุบันอย่างมิต้องสงสัย
(๒) หากเป็นกรณีที่ยอมรับตามความเป็นจริงว่า สิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ และวินีตวัตถุ จากมหาวิภังค์มิได้เป็นพุทธพจน์โดยตรง แต่เป็นการเรียบเรียงขึ้นมาโดยพระเถระในชั้นหลัง ซึ่งอาจประกอบไปด้วย ข้อความที่เป็นพุทธพจน์ และมติของพระเถระหลายยุคสมัยปะปนกันอยู่ โดยกรณีเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่า พระปาฏิโมกข์จะสวดเฉพาะในส่วนที่เป็นพุทธพจน์แท้ๆ คือ ตัวมาติกาที่เป็นพระบัญญัติเท่านั้น
และเมื่อพิจารณาไปถึงว่ายังมีสิกขาบทอยู่อีกมากมายในขันธกะ แต่สิกขาบทเหล่านั้น ไม่ว่าจะถูกบัญญัติขึ้นมาก่อนหรือหลังพระปาฏิโมกข์ก็ตาม ก็มิได้มีผลทำให้พระปาฏิโมกข์มีการเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใดเลย ซึ่งก็ยังถือได้ว่ามีความสอดคล้องต้องกันกับหลักการทางนิติธรรมนิยมสมัยใหม่อยู่นั่นเอง
บางท่านอาจมีความสงสัยว่า ความมั่นคงของพระปาฏิโมกข์ตามที่กล่าวมานั้น มีความสำคัญ หรือจำเป็นอย่างไรต่อคณะสงฆ์ จึงขอใช้โอกาสนี้ในการอธิบายความโดยสังเขป ดังนี้ว่า
ถ้าหากเรายอมเชื่อตามคำสันนิษฐานที่เชื่อสืบต่อกันว่า พุทธพจน์ที่ตรัสถึงพระปาฏิโมกข์ ๑๕๐ ข้อ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อราวพรรษาที่ ๒๕ ก็ย่อมเท่ากับการมีความเข้าใจว่า สมัยต่อมาในช่วงเวลากว่า ๒๐ พรรษา พระพุทธองค์จะทรงบัญญัติสิกขาบทวินัยเพิ่มขึ้นในพระปาฏิโมกข์ เป็นจำนวนมากถึง ๗๗ ข้อ หรือก็คือ จะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพระปาฏิโมกข์ อันถือได้ว่าเป็นกฏหมายหลักของคณะสงฆ์ในทุกๆ ๓ - ๔ เดือน ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากเสียยิ่งกว่าการแก้ไข หรือ ยกเลิกกฏหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฏหมายหลักของฝ่ายบ้านเมือง ในประเทศที่ป่าเถื่อนด้อยพัฒนาบางประเทศเสียอีก
และหากเมื่อคำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า การติดต่อสื่อสารในสมัยพุทธกาลนั้นมิได้มีความสะดวกรวดเร็ว เหมือนดังในปัจจุบันนี้ ที่สามารถออกประกาศกฏหมายผ่านโครงข่ายนวัตกรรมสารสนเทศได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง สิ่งที่ท่านทั้งหลายสมควรพิจารณาถึงก็คือ ความเป็นไปไม่ได้เลย ที่พระพุทธองค์จะตรัสประกาศเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมพระปาฏิโมกข์โดยเฉลี่ยถึงปีละ ๓ - ๔ ครั้ง เพราะในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในแต่ละครั้ง ก็ต้องใช้วิธีส่งภิกษุเดินทางไปสวดประกาศ ในเขตเมืองต่างๆ ที่มีภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่ทั่วทั้งชมพูทวีป ซึ่งด้วยขีดความสามารถในการเดินทางของผู้คนในสมัยนั้น ย่อมนำมาซึ่งความสับสนวุ่นวายในการสวดพระปาฏิโมกข์ อย่างมิต้องสงสัย ตัวอย่างเช่น หากพระพุทธองค์ทรงเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระปาฏิโมกข์ ณ กรุงสาวัตถี ก็หมายความว่า จะต้องใช้เวลาประมาณ ๙๐ วันในการเดือนทางไปและกลับเพื่อแจ้งข่าวนี้แก่ภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากว่า ทันทีที่ภิกษุนั้นกลับมาถึงกรุงสาวัตถี พระพุทธองค์อาจทรงเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระปาฏิโมกข์ใหม่อีกครั้งแล้วก็เป็นได้
หรือหากว่ามีการแก้ไขเพิ่มเติมพระปาฏิโมกข์ ณ กรุงราชคฤห์ ก็หมายความว่า ภิกษุจะต้องใช้เวลาในการเดินทางไปและกลับเป็นเวลานานถึง ๔ เดือนเพื่อไปแจ้งข่าวนี้กับภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ โดยในคราวนี้ สถานการณ์อาจกลายเป็นว่า ภิกษุรูปแรกที่ไปส่งข่าวยังไม่ทันกลับถึงกรุงราชคฤห์ ก็อาจมีภิกษุอีกรูปหนึ่งเดินสวนทางมาจากกรุงราชคฤห์ เพื่อไปแจ้งข่าวการเปลี่ยนแปลงพระปาฏิโมกข์ครั้งใหม่ล่าสุด แล้วสถานการณ์ในเมืองที่อยู่ห่างไกลไปจากมัชฌิมประเทศนั้นเล่า จะไม่เกิดความสับสนวุ่นวายกันเป็นการใหญ่ละหรือว่า สงฆ์คณะใดกันแน่ ที่สวดพระปาฏิโมกข์ได้ถูกต้องตรงตามพระบัญญัติ(ล่าสุด)
ทั้งนี้ เราจะสามารถมั่นใจได้หรือไม่ว่า เมื่อคราวที่ภิกษุมากมายจากทั่วสารทิศเดินทางมาชุมนุมร่วมกัน เพื่อถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพนั้น จะสวดพระปาฏิโมกข์ด้วยจำนวนสิกขาบทที่เท่าเทียมตรงกัน เพราะแทนที่ท่านเหล่านั้นจะได้กระทำสังคายนาพระธรรมวินัยตามที่ตั้งใจไว้ หรือจนแม้แต่จะมาวินิจฉัยว่าสิกขาบทเล็กน้อยนั้นคืออย่างไร สถานการณ์อาจกลายเป็นว่า เพียงแค่ประเด็นการสวดพระปาฏิโมกข์ว่ามีทั้งหมดกี่ข้อ ก็คงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่จบเสียแล้ว ถ้าหากใครบางคนยังจะยืนยันมติส่วนตน เรื่องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมพระปาฏิโมกข์จำนวน ๗๗ ข้อ ภายในระยะเวลากว่า ๒๐ พรรษา(ซึ่งเป็นเพียงแค่การสันนิษฐานเท่านั้น)ว่าเป็นความจริง !!!!
ดังนั้น ความคิดอ่านในทำนองว่า พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นสัพพัญญู คือรู้แจ้งในสิ่งทั้งปวง จะทรงกระทำในสิ่งที่เหลวไหลไร้สติปัญญา อันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายสับสนในการบริหารคณะสงฆ์ตามที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมมีค่าไม่ต่างไปจากการกล่าวตู่พุทธพจน์ ซึ่งอาจเลวร้ายถึงขั้น “จาบจ้วง” พระพุทธองค์ จะเป็นสิ่งที่พุทธบริษัททั้ง ๔ ผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ สามารถยอมรับนับถือเอาไว้ได้ด้วยอาการอย่างไรนั้น ก็ยังเป็นที่สงสัยอยู่ ?
04 กฏหมายอันเป็นสดมภ์หลักแห่งสังคมอริยชน
“ธรรมและวินัยอันใด เรา(ตถาคต)แสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา(ตถาคต)” (อ้างจาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ ๑๔๑)
โดยอันที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ก็ได้ทรงพยายามที่จะทำให้กฏระเบียบต่างๆ เหล่านี้ อยู่ในฐานะที่เป็นหลักเป็นประธานของคณะสงฆ์ แม้แต่จนเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ด้วยซ้ำ ดังที่จะพอสังเกตเห็นได้ไม่ยากว่า ทุกๆ ครั้งที่พระพุทธองค์จะทรงบัญญัติสิกขาบทใดๆ ขึ้นมาก็ตาม ก็จะทรงเรียกประชุมสงฆ์ และตรัสอธิบายถึงที่มาที่ไปของปัญหาข้อขัดข้องต่างๆ รวมไปถึงเหตุผลข้อดีข้อเสียในการบัญญัติสิกขาบทนั้นๆ แล้วจึงทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นมาเพื่อบังคับใช้แก่คณะสงฆ์ พฤติการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความเอาพระทัยใส่ และการที่ทรงให้ความสำคัญแก่สิกขาบทบัญญัติต่างๆ ในฐานะที่เป็นแกนหลักของคณะสงฆ์ก็คือ การที่ตรัสอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลาย สวดพระปาฏิโมกข์ซึ่งประกอบไปด้วย สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้เอง
Lon L. Fuller นักนิติปรัชญาร่วมสมัย ได้นำเสนอรายละเอียดองค์ประกอบของหลักนิติธรรมอย่างเป็นรูปธรรม เรียกว่า หลักศีลธรรมภายในกฏหมาย โดยที่เขาอาจไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลยก็ได้ว่า สิ่งที่เขาพยายามนำเสนอมานั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรัสสิ่งเหล่านี้มาก่อนที่เขาจะลืมตาดูโลกมานานกว่า ๒ พันปี หลักการต่างๆ ที่นักนิติปรัชญาผู้นั้นกล่าวถึงตัวอย่างเช่น กฏหมายนั้นจะต้องมีการประกาศให้ทราบทั่วไป หรือ กฏหมายจะต้องมีบทบัญญัติที่กระจ่างชัดเจน เหล่านี้นับได้ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์
องค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งที่ Fuller ระบุเอาไว้ว่า หลักการกฎหมายจะต้องมีความมั่นคงตามควร ซึ่งลักษณะของพระปาฏิโมกข์ ย่อมเป็นองค์พยานที่ชัดเจนอย่างยิ่ง กล่าวคือ เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติพระปาฏิโมกข์ไว้แล้วในกาลครั้งใด พระพุทธองค์ ก็จะไม่ทรงยกเลิกเพิกถอน พระปาฏิโมกข์นั้นเป็นอันขาด ดังที่จะสังเกตเห็นได้ว่า ตามที่ได้ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน การสวดพระปาฏิโมกข์นั้นจะสวดเฉพาะส่วนที่เรียกว่า “มาติกา” หรือก็คือตัว “แม่บท” ทั้งยังเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า สิกขาบทวินัยที่ทรงบัญญัติขึ้นนั้นมีอยู่ ๒ อย่างคือ
(๑) มูลบัญญัติ คือ บทบัญญัติเดิม หมายถึง สิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติขึ้นมาในคราวแรก ซึ่งมูลบัญญัตินี้เองที่เรียกว่า “แม่บท” หรือ “มาติกา” ที่ภิกษุสงฆ์ต้องยกขึ้นมาสวดในทุกๆ กึ่งเดือน
(๒) อนุบัญญัติ คือ บทบัญญัติเพิ่มเติม หมายถึง สิกขาบทที่ทรงบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเดิมในภายหลังให้เหมาะสมรัดกุมมากยิ่งขึ้น
โดยหากปรากฏขึ้นมาในภายหลังว่า มีผู้กระผิดต่อพระบัญญัตินั้นโดยปริยายอื่นอีก คือมูลบัญญัตินั้นยังครอบคลุมไม่ทั่วถึงพอ พระพุทธองค์ ก็จะทรงแก้ไขเพิ่มเติมพระบัญญัตินั้น ให้กวดขันรัดกุมยิ่งขึ้นเรียกว่าอนุบัญญัติ ตัวอย่างเช่น พระพุทธองค์ทรงปรารภกรณีท่านพระสุทินน์ แล้วจึงบัญญัติสิกขาบทปฐมปาราชิก ความว่า “ก็ภิกษุใดเสพเมถุนธรรม เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค ข้อ ๒๐) นี่เรียกว่า มูลบัญญัติ
ต่อมาปรากฏว่า มีภิกษุรูปหนึ่งเอาเหยื่อล่อลิงตัวเมีย แล้วเสพเมถุนธรรมในลิงตัวเมียนั้น เมื่อภิกษุรูปอื่นทราบความจึงได้กล่าวกับภิกษุนั้นว่า “อาวุโส พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบท ไว้แล้วมิใช่หรือ เหตุไร คุณจึงได้เสพเมถุนธรรมในลิงตัวเมียนี้เล่า” ปรากฏว่าภิกษุนั้นสารภาพว่าพระพุทธองค์ได้บัญญัติสิกขาบทนั้นไว้จริง แต่ก็ค้านว่าพระสิกขาบทนั้นบัญญัติเฉพาะหญิงมนุษย์ ไม่เกี่ยวถึงสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ในที่สุดภิกษุทั้งหลายที่ทราบความ จึงได้กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระพุทธองค์ เมื่อสอบสวนจนได้ข้อเท็จจริงแล้ว จึงทรงบัญญัติ พระอนุบัญญัติ ขึ้นดังนี้ “อนึ่ง ภิกษุใดเสพเมถุนธรรมโดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค ข้อ ๒๒) สังเกตได้ว่า อนุบัญญัติในกรณีนี้เป็นการทำให้สิกขาบทรัดกุมมากยิ่งขึ้น
แต่ในบางกรณี มูลบัญญัติ อาจมีความเข้มงวดมากเกินไปจนปฏิบัติได้ไม่สะดวก ตัวอย่างเช่น พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุมีจีวรได้เพียง ๓ ผืน คือ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม และ ผ้าห่มซ้อน(สังฆาฏิ) แต่ปรากฏว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ เข้าบ้าน อยู่ในวัด ลงสู่ที่อาบน้ำด้วยไตรจีวรต่างสำรับกัน ภิกษุทั้งหลายติเตียน เมื่อความทราบถึงพระพุทธองค์ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า “อนึ่ง ภิกษุใดทรงอติเรกจีวร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๑)
ต่อมา มีอติเรกจีวรเกิดขึ้นแก่ท่านพระอานนท์ และท่านประสงค์จะถวายจีวรนั้นแก่ท่านพระสารีบุตร แต่ท่านพระสารีบุตรอยู่ถึงเมืองสาเกต จึงท่านพระอานนท์มีความปริวิตกว่า พระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า ภิกษุไม่พึงทรงอติเรกจีวร เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ ครั้นแล้วท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระพุทธองค์ ครานั้น เมื่อพระพุทธองค์ตรัสถามจนทราบความว่า ท่านพระสารีบุตรจักกลับมาในวันที่ ๙ หรือวันที่ ๑๐ จึงทรงอนุญาตอติเรกจีวร รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทรงอติเรกจีวรไว้ได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง” บัญญัติสิกขาบทดังนี้ว่า “จีวรสำเร็จแล้ว กฐินอันภิกษุเดาะเสียแล้ว พึงทรงอติเรกจีวรได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒ พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ทุติยภาค ข้อ ๒) ในกรณีนี้ มูลบัญญัติเข้มงวดเกินไป จึงทรงบัญญัติเพิ่มเติม เป็นอนุบัญญัติ เพื่อผ่อนปรนให้ปฏิบัติได้สะดวกขึ้น
ประเด็นที่ท่านทั้งหลายสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ แม้ว่าพระพุทธองค์จะทรงมีพระบัญญัติเพิ่มเติม ขึ้นมามากมายสักเพียงใดก็ตาม แต่การบัญญัติเหล่านั้นจะไม่ส่งผลกระทบ ต่อการสวดพระปาฏิโมกข์เลยแม้แต่น้อย ซึ่งเมื่อทรงกระทำในลักษณะเช่นนี้แล้ว ก็จะส่งผลให้พระปาฏิโมกข์ อันเปรียบเสมือนกฏหมายหลักของคณะสงฆ์มีความมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง โดยเราสามารถแยกพิจารณาเป็น ๒ กรณีคือ
(๑) ในกรณีที่เชื่อตามธรรมเนียมลัทธิลังกาวงศ์ว่า สิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ และวินีตวัตถุ จากมหาวิภังค์เป็นพุทธพจน์มาแต่เดิม ก็ย่อมทำให้สามารถเข้าใจในหลักการได้ว่า พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ ที่จะให้คงพระปาฏิโมกข์ไว้ดังเดิม โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถึงแม้จะมีพระบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นมาในสิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ หรือวินีตวัตถุก็ตาม แต่นั่นก็มิเคยมีผลทำให้การสวดพระปาฏิโมกข์จะเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ซึ่งย่อมเป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับหลักศีลธรรมภายในกฏหมายของนักนิติปรัชญาในสมัยปัจจุบันอย่างมิต้องสงสัย
(๒) หากเป็นกรณีที่ยอมรับตามความเป็นจริงว่า สิกขาบทวิภังค์ บทภาชนีย์ และวินีตวัตถุ จากมหาวิภังค์มิได้เป็นพุทธพจน์โดยตรง แต่เป็นการเรียบเรียงขึ้นมาโดยพระเถระในชั้นหลัง ซึ่งอาจประกอบไปด้วย ข้อความที่เป็นพุทธพจน์ และมติของพระเถระหลายยุคสมัยปะปนกันอยู่ โดยกรณีเช่นนี้ ก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่า พระปาฏิโมกข์จะสวดเฉพาะในส่วนที่เป็นพุทธพจน์แท้ๆ คือ ตัวมาติกาที่เป็นพระบัญญัติเท่านั้น
และเมื่อพิจารณาไปถึงว่ายังมีสิกขาบทอยู่อีกมากมายในขันธกะ แต่สิกขาบทเหล่านั้น ไม่ว่าจะถูกบัญญัติขึ้นมาก่อนหรือหลังพระปาฏิโมกข์ก็ตาม ก็มิได้มีผลทำให้พระปาฏิโมกข์มีการเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใดเลย ซึ่งก็ยังถือได้ว่ามีความสอดคล้องต้องกันกับหลักการทางนิติธรรมนิยมสมัยใหม่อยู่นั่นเอง
บางท่านอาจมีความสงสัยว่า ความมั่นคงของพระปาฏิโมกข์ตามที่กล่าวมานั้น มีความสำคัญ หรือจำเป็นอย่างไรต่อคณะสงฆ์ จึงขอใช้โอกาสนี้ในการอธิบายความโดยสังเขป ดังนี้ว่า
ถ้าหากเรายอมเชื่อตามคำสันนิษฐานที่เชื่อสืบต่อกันว่า พุทธพจน์ที่ตรัสถึงพระปาฏิโมกข์ ๑๕๐ ข้อ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อราวพรรษาที่ ๒๕ ก็ย่อมเท่ากับการมีความเข้าใจว่า สมัยต่อมาในช่วงเวลากว่า ๒๐ พรรษา พระพุทธองค์จะทรงบัญญัติสิกขาบทวินัยเพิ่มขึ้นในพระปาฏิโมกข์ เป็นจำนวนมากถึง ๗๗ ข้อ หรือก็คือ จะมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพระปาฏิโมกข์ อันถือได้ว่าเป็นกฏหมายหลักของคณะสงฆ์ในทุกๆ ๓ - ๔ เดือน ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มากเสียยิ่งกว่าการแก้ไข หรือ ยกเลิกกฏหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฏหมายหลักของฝ่ายบ้านเมือง ในประเทศที่ป่าเถื่อนด้อยพัฒนาบางประเทศเสียอีก
และหากเมื่อคำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า การติดต่อสื่อสารในสมัยพุทธกาลนั้นมิได้มีความสะดวกรวดเร็ว เหมือนดังในปัจจุบันนี้ ที่สามารถออกประกาศกฏหมายผ่านโครงข่ายนวัตกรรมสารสนเทศได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง สิ่งที่ท่านทั้งหลายสมควรพิจารณาถึงก็คือ ความเป็นไปไม่ได้เลย ที่พระพุทธองค์จะตรัสประกาศเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมพระปาฏิโมกข์โดยเฉลี่ยถึงปีละ ๓ - ๔ ครั้ง เพราะในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขในแต่ละครั้ง ก็ต้องใช้วิธีส่งภิกษุเดินทางไปสวดประกาศ ในเขตเมืองต่างๆ ที่มีภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่ทั่วทั้งชมพูทวีป ซึ่งด้วยขีดความสามารถในการเดินทางของผู้คนในสมัยนั้น ย่อมนำมาซึ่งความสับสนวุ่นวายในการสวดพระปาฏิโมกข์ อย่างมิต้องสงสัย ตัวอย่างเช่น หากพระพุทธองค์ทรงเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระปาฏิโมกข์ ณ กรุงสาวัตถี ก็หมายความว่า จะต้องใช้เวลาประมาณ ๙๐ วันในการเดือนทางไปและกลับเพื่อแจ้งข่าวนี้แก่ภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ ซึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากว่า ทันทีที่ภิกษุนั้นกลับมาถึงกรุงสาวัตถี พระพุทธองค์อาจทรงเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระปาฏิโมกข์ใหม่อีกครั้งแล้วก็เป็นได้
หรือหากว่ามีการแก้ไขเพิ่มเติมพระปาฏิโมกข์ ณ กรุงราชคฤห์ ก็หมายความว่า ภิกษุจะต้องใช้เวลาในการเดินทางไปและกลับเป็นเวลานานถึง ๔ เดือนเพื่อไปแจ้งข่าวนี้กับภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ โดยในคราวนี้ สถานการณ์อาจกลายเป็นว่า ภิกษุรูปแรกที่ไปส่งข่าวยังไม่ทันกลับถึงกรุงราชคฤห์ ก็อาจมีภิกษุอีกรูปหนึ่งเดินสวนทางมาจากกรุงราชคฤห์ เพื่อไปแจ้งข่าวการเปลี่ยนแปลงพระปาฏิโมกข์ครั้งใหม่ล่าสุด แล้วสถานการณ์ในเมืองที่อยู่ห่างไกลไปจากมัชฌิมประเทศนั้นเล่า จะไม่เกิดความสับสนวุ่นวายกันเป็นการใหญ่ละหรือว่า สงฆ์คณะใดกันแน่ ที่สวดพระปาฏิโมกข์ได้ถูกต้องตรงตามพระบัญญัติ(ล่าสุด)
ทั้งนี้ เราจะสามารถมั่นใจได้หรือไม่ว่า เมื่อคราวที่ภิกษุมากมายจากทั่วสารทิศเดินทางมาชุมนุมร่วมกัน เพื่อถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพนั้น จะสวดพระปาฏิโมกข์ด้วยจำนวนสิกขาบทที่เท่าเทียมตรงกัน เพราะแทนที่ท่านเหล่านั้นจะได้กระทำสังคายนาพระธรรมวินัยตามที่ตั้งใจไว้ หรือจนแม้แต่จะมาวินิจฉัยว่าสิกขาบทเล็กน้อยนั้นคืออย่างไร สถานการณ์อาจกลายเป็นว่า เพียงแค่ประเด็นการสวดพระปาฏิโมกข์ว่ามีทั้งหมดกี่ข้อ ก็คงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่จบเสียแล้ว ถ้าหากใครบางคนยังจะยืนยันมติส่วนตน เรื่องการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมพระปาฏิโมกข์จำนวน ๗๗ ข้อ ภายในระยะเวลากว่า ๒๐ พรรษา(ซึ่งเป็นเพียงแค่การสันนิษฐานเท่านั้น)ว่าเป็นความจริง !!!!
ดังนั้น ความคิดอ่านในทำนองว่า พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นสัพพัญญู คือรู้แจ้งในสิ่งทั้งปวง จะทรงกระทำในสิ่งที่เหลวไหลไร้สติปัญญา อันจะก่อให้เกิดความวุ่นวายสับสนในการบริหารคณะสงฆ์ตามที่กล่าวมาข้างต้น ย่อมมีค่าไม่ต่างไปจากการกล่าวตู่พุทธพจน์ ซึ่งอาจเลวร้ายถึงขั้น “จาบจ้วง” พระพุทธองค์ จะเป็นสิ่งที่พุทธบริษัททั้ง ๔ ผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ สามารถยอมรับนับถือเอาไว้ได้ด้วยอาการอย่างไรนั้น ก็ยังเป็นที่สงสัยอยู่ ?