สวัสดีเพื่อนๆ ชานเรือนทุกท่าน ไม่ได้ตั้งกระทู้ที่ห้องนี้มานานแล้ว ตั้งกระทู้ล่าสุดที่ห้องนี้ก่อน pantip เปลี่ยนหลายปีละ ยินดีที่เข้ามาอีกครั้งค่ะ
เข้าเรื่องค่ะ ตอนนี้ลูกอายุ 3 ขวบหน่อยๆ อยู่ในสังคมกลางๆ เลี้ยงลูกเอง มีพี่เลี้ยงช่วย เราทำงานที่บ้าน สามีทำงานบริษัท
ตอนนี้กิจกรรมของลูกก็มีบ้าง คือให้ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ กับ เรียนว่ายน้ำ
คิดอยู่หลายทีว่าจะให้ลูกเข้าโรงเรียนไหนดี ระหว่าง เอกชน หรือรัฐบาล เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ คือเกือบจะร้อยเปอเซนต์ จะส่งลูกเรียน เอกชน ราคาหลายหมื่นถึงแสน เราคิดในใจ อุแม่เจ้า ก่อนมีลูกก็ไม่คิดว่าโรงเรียนมันจะแพงขนาดนี้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ก็ ร.ร. รัฐมาตลอด เลยไม่รุ้ค่าเทอม รร เอกชนว่าจะขนาดนี้
ก็เลยไปดูโรงเรียนเอกชนชื่อดังใกล้บ้าน แถวร่มเกล้า ลาดกระบัง แต่กว่าจะไปรร.ได้ ต้องผ่านด่านรถติดหลายๆด่าน ทั้งไปและกลับ รู้สึกถึงความแออัด แบบเงียบๆ
เลยไปดูเอกชนอีกที่หนึ่ง ใกล้บ้านอีกนิดส์ ค่าเทอมถูกมาหน่อย สองหมื่นนิดๆ แต่พท. แคบๆ รู้สึกอึดอัด แต่ก็บอกว่า อืม ไม่เป็นไร อย่างน้อยให้ลูกได้เรียนภาษาอังกฤษ ตัดสินใจว่าจะให้ลูกเรียนเทอมนี้ละ จะไปจัดการค่าเทอม แล้วจะเอามาจ่ายวันรุ่งขึ้น แต่พอไปดูอาหารกลางวัน สตั้นไป 3 วิ ต้องเปลี่ยนใจมันน้อย มีอย่างเดียวคือแกงจืด ลูกเรากินจุมาก (มาคิดทีหลัง จริงๆอาจจะขอเติมได้นะ)
ก่อนกลับบ้าน มองเห็นโรงเรียนรัฐที่อยู่นอกสายตา ตรงข้ามปากซอยเข้าบ้าน ข้ามสะพานลอยไปก็ถึง พี่เลี้ยงบอกว่า ไม่ลองไปดูหน่อยเหรอ
อืม เราก็บอกว่า ก็ดี ไม่เสียหาย เลยจอดรถแล้วเข้าไป
พื้นที่สะอาด สะอ้านดีมาก มีพื้นที่เยอะ ค่าเทอม ถ้าอนุบาล 1 = 7000 บาท/ปี หรือว่าเทอมไม่แน่ใจ (คือ 4 ขวบ ขึ้นไปนะคะ นับไม่เหมือนเอกชน) ถ้าขึ้น ป 1 ก็สามพันหน่อยๆ เห็นเด็กๆ ได้วิ่ง ได้หยอกได้เล่นกันแบบธรรมชาติมากๆ ก็เลย สตั้นไป 3 วิ เช่นเคย แต่ความรู้สึกอีกแบบ แบบสบายใจ โล่งใจแบบเงียบๆ
เลยเอาไปปรึกษากะสามีดู เราก็เล่าบลาๆ เขาก็พูดว่า (มาเป็นชุด) ถ้าจะให้เรียน เรียนแล้วเขาจะได้อะไร ถ้าจะให้เข้าเอกชนเพื่อให้เลือกสังคม สังคมนั้นคืออะไร สังคมของคนมีเงิน อย่างนั้นเหรอ ถ้าลูกเห็นแต่คนมีเงิน เขาจะรู้ถึงความลำบากเป็นไหม ถ้าเขาไม่รุ้จักความลำบาก เขาติดสบาย โตขึ้นเขาจะอดทนไม่เป็น อดทนได้น้อย (แอบคิดในใจ สามีฉ้านคิดมากไปป่ะ เรื่องเยอะ มันจะขนาดนั้นเลยเหรอ) แล้วก็อธิบายบลาๆๆ ที่บริษัทที่ทำงานอยู่ เจอเด็กรุ่นใหม่ เจอปัญหานิดหน่อยๆ ไม่อดทน แก้ปัญหาไม่เป็น นิดๆหน่อยๆก็ลาออก ไม่เหมือนสมัยเราแต่ละที่กว่าจะเปลี่ยนงาน ต้องอดทน (คิดเลยเถียงว่า มันก็มีทุกยุคแหละน่า) แต่เขาก็เถียงมาว่า สมัยนี้ เยอะกว่า เยอะกว่ามาก ข้อแรก เด็กคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ไม่ง้อ ข้อสอง เจอปัญหาถึงกับไปไม่เป็น คิดจะลาออกอย่างเดียว เดี๋ยวรับใหม่ๆ อยู่นั่นแหละ เพราะติดกับการถูกเลี้ยงแบบสบาย เลี้ยงแบบคุณหนู คนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นคนรับใช้ให้ลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ ไม่ว่ารวยหรือจน ก็ใช้เงินเลี้ยงทั้งนั้น ไม่มีเงินก็กู้หนึ้ยืมสินเขามาเพื่อลูก ลูกไม่รู้ว่าพ่อแม่ลำบากขนาดไหน ให้เขาเรียนโรงเรียนรัฐนั่นแหละ เขาจะได้รับรู้ถึงความลำบาก เห็นคนที่ลำบากกว่าเรามันมีเยอะแยะ จะได้รู้จักเห็นใจคนที่ลำบากกว่า
เคยได้ยินไหม ความลำบากสร้างคน ความสบายทำลายคน ส่วนกลัวเขาไม่ได้ภาษาก็เอาไปเรียนกับอาจารย์ฝรั่งเอา แล้วเราก็พูดอังกฤษกับลูก เป็นคนสอนเขาเอง ว่ายน้ำไม่ได้ ก็ไปเรียนต่างหากเอา ถ้าอยากให้ได้ภาษาจริงๆ ตอนโตขึ้นมามหาลัย ค่อยไปส่งเรียนตปท. หรือให้เขาขอทุนเอาจะดีที่สุด
(เลยเป็นที่มาว่าตอนนี้ ไปเรียนภาษาสถาบันแห่งหนึ่ง กับเรียนว่ายน้ำ )
จริงๆ ยาวมากกกก ที่จับใจความมา ได้แค่นั้น เหมือนไปฟังพระเทศน์
มาอีกวัน พอเพื่อนบ้านมาถาม ตกลงให้เรียนที่ไหนคะ ก็บอกว่าเนี่ย รร เนี้ย ใกล้บ้านดี ตายละ คุณพี่ เลือกสังคมให้ลูกหน่อยสิคะ
(เราเงียบ ไงต่อดีวะ) ได้แต่หัวเราะ แหะๆๆ แต่โชคดี เราเป็นคนไม่ค่อยจะแคร์อะไรใครเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ว่าเขานะคะ คิดว่าพวกเขาคงคิดดี อยากให้เราได้สังคมดีๆ เพียงแต่มุมมองคนละแบบกะสามีเรา ซึ่งเพื่อนบ้านก็จิตใจดีกันค่ะ
จึงตัดสินใจให้ลูกเรียนพิเศษกับสถาบันสอนภาษา แล้วก็เรียนว่ายน้ำตากหากเอา
เพื่อให้ลูกได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ตอนแรกก็ลังเล เอาไงๆๆๆดี กระแสส่วนใหญ่คือเอกชน ดีๆๆๆๆ
แต่ตอนนี้ตัดสินใจละ ปีหน้าลูก 4 ขวบ ให้เข้ารร.รัฐ ส่วนผลจะเป็นยังไง เอาไว้ปีหน้าจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ
มาเล่าให้ฟังค่ะ ยาวหน่อย อย่าเพิ่งรำคาญนะคะ ขอบคุณทุกท่านค่ะ ที่เข้ามาอ่านค่ะ
เมื่อตัดสินใจเลือกโรงเรียนรัฐให้ลูก
เข้าเรื่องค่ะ ตอนนี้ลูกอายุ 3 ขวบหน่อยๆ อยู่ในสังคมกลางๆ เลี้ยงลูกเอง มีพี่เลี้ยงช่วย เราทำงานที่บ้าน สามีทำงานบริษัท
ตอนนี้กิจกรรมของลูกก็มีบ้าง คือให้ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ กับ เรียนว่ายน้ำ
คิดอยู่หลายทีว่าจะให้ลูกเข้าโรงเรียนไหนดี ระหว่าง เอกชน หรือรัฐบาล เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ คือเกือบจะร้อยเปอเซนต์ จะส่งลูกเรียน เอกชน ราคาหลายหมื่นถึงแสน เราคิดในใจ อุแม่เจ้า ก่อนมีลูกก็ไม่คิดว่าโรงเรียนมันจะแพงขนาดนี้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ก็ ร.ร. รัฐมาตลอด เลยไม่รุ้ค่าเทอม รร เอกชนว่าจะขนาดนี้
ก็เลยไปดูโรงเรียนเอกชนชื่อดังใกล้บ้าน แถวร่มเกล้า ลาดกระบัง แต่กว่าจะไปรร.ได้ ต้องผ่านด่านรถติดหลายๆด่าน ทั้งไปและกลับ รู้สึกถึงความแออัด แบบเงียบๆ
เลยไปดูเอกชนอีกที่หนึ่ง ใกล้บ้านอีกนิดส์ ค่าเทอมถูกมาหน่อย สองหมื่นนิดๆ แต่พท. แคบๆ รู้สึกอึดอัด แต่ก็บอกว่า อืม ไม่เป็นไร อย่างน้อยให้ลูกได้เรียนภาษาอังกฤษ ตัดสินใจว่าจะให้ลูกเรียนเทอมนี้ละ จะไปจัดการค่าเทอม แล้วจะเอามาจ่ายวันรุ่งขึ้น แต่พอไปดูอาหารกลางวัน สตั้นไป 3 วิ ต้องเปลี่ยนใจมันน้อย มีอย่างเดียวคือแกงจืด ลูกเรากินจุมาก (มาคิดทีหลัง จริงๆอาจจะขอเติมได้นะ)
ก่อนกลับบ้าน มองเห็นโรงเรียนรัฐที่อยู่นอกสายตา ตรงข้ามปากซอยเข้าบ้าน ข้ามสะพานลอยไปก็ถึง พี่เลี้ยงบอกว่า ไม่ลองไปดูหน่อยเหรอ
อืม เราก็บอกว่า ก็ดี ไม่เสียหาย เลยจอดรถแล้วเข้าไป
พื้นที่สะอาด สะอ้านดีมาก มีพื้นที่เยอะ ค่าเทอม ถ้าอนุบาล 1 = 7000 บาท/ปี หรือว่าเทอมไม่แน่ใจ (คือ 4 ขวบ ขึ้นไปนะคะ นับไม่เหมือนเอกชน) ถ้าขึ้น ป 1 ก็สามพันหน่อยๆ เห็นเด็กๆ ได้วิ่ง ได้หยอกได้เล่นกันแบบธรรมชาติมากๆ ก็เลย สตั้นไป 3 วิ เช่นเคย แต่ความรู้สึกอีกแบบ แบบสบายใจ โล่งใจแบบเงียบๆ
เลยเอาไปปรึกษากะสามีดู เราก็เล่าบลาๆ เขาก็พูดว่า (มาเป็นชุด) ถ้าจะให้เรียน เรียนแล้วเขาจะได้อะไร ถ้าจะให้เข้าเอกชนเพื่อให้เลือกสังคม สังคมนั้นคืออะไร สังคมของคนมีเงิน อย่างนั้นเหรอ ถ้าลูกเห็นแต่คนมีเงิน เขาจะรู้ถึงความลำบากเป็นไหม ถ้าเขาไม่รุ้จักความลำบาก เขาติดสบาย โตขึ้นเขาจะอดทนไม่เป็น อดทนได้น้อย (แอบคิดในใจ สามีฉ้านคิดมากไปป่ะ เรื่องเยอะ มันจะขนาดนั้นเลยเหรอ) แล้วก็อธิบายบลาๆๆ ที่บริษัทที่ทำงานอยู่ เจอเด็กรุ่นใหม่ เจอปัญหานิดหน่อยๆ ไม่อดทน แก้ปัญหาไม่เป็น นิดๆหน่อยๆก็ลาออก ไม่เหมือนสมัยเราแต่ละที่กว่าจะเปลี่ยนงาน ต้องอดทน (คิดเลยเถียงว่า มันก็มีทุกยุคแหละน่า) แต่เขาก็เถียงมาว่า สมัยนี้ เยอะกว่า เยอะกว่ามาก ข้อแรก เด็กคิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ ไม่ง้อ ข้อสอง เจอปัญหาถึงกับไปไม่เป็น คิดจะลาออกอย่างเดียว เดี๋ยวรับใหม่ๆ อยู่นั่นแหละ เพราะติดกับการถูกเลี้ยงแบบสบาย เลี้ยงแบบคุณหนู คนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นคนรับใช้ให้ลูก ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ ไม่ว่ารวยหรือจน ก็ใช้เงินเลี้ยงทั้งนั้น ไม่มีเงินก็กู้หนึ้ยืมสินเขามาเพื่อลูก ลูกไม่รู้ว่าพ่อแม่ลำบากขนาดไหน ให้เขาเรียนโรงเรียนรัฐนั่นแหละ เขาจะได้รับรู้ถึงความลำบาก เห็นคนที่ลำบากกว่าเรามันมีเยอะแยะ จะได้รู้จักเห็นใจคนที่ลำบากกว่า
เคยได้ยินไหม ความลำบากสร้างคน ความสบายทำลายคน ส่วนกลัวเขาไม่ได้ภาษาก็เอาไปเรียนกับอาจารย์ฝรั่งเอา แล้วเราก็พูดอังกฤษกับลูก เป็นคนสอนเขาเอง ว่ายน้ำไม่ได้ ก็ไปเรียนต่างหากเอา ถ้าอยากให้ได้ภาษาจริงๆ ตอนโตขึ้นมามหาลัย ค่อยไปส่งเรียนตปท. หรือให้เขาขอทุนเอาจะดีที่สุด
(เลยเป็นที่มาว่าตอนนี้ ไปเรียนภาษาสถาบันแห่งหนึ่ง กับเรียนว่ายน้ำ )
จริงๆ ยาวมากกกก ที่จับใจความมา ได้แค่นั้น เหมือนไปฟังพระเทศน์
มาอีกวัน พอเพื่อนบ้านมาถาม ตกลงให้เรียนที่ไหนคะ ก็บอกว่าเนี่ย รร เนี้ย ใกล้บ้านดี ตายละ คุณพี่ เลือกสังคมให้ลูกหน่อยสิคะ
(เราเงียบ ไงต่อดีวะ) ได้แต่หัวเราะ แหะๆๆ แต่โชคดี เราเป็นคนไม่ค่อยจะแคร์อะไรใครเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ว่าเขานะคะ คิดว่าพวกเขาคงคิดดี อยากให้เราได้สังคมดีๆ เพียงแต่มุมมองคนละแบบกะสามีเรา ซึ่งเพื่อนบ้านก็จิตใจดีกันค่ะ
จึงตัดสินใจให้ลูกเรียนพิเศษกับสถาบันสอนภาษา แล้วก็เรียนว่ายน้ำตากหากเอา
เพื่อให้ลูกได้เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ตอนแรกก็ลังเล เอาไงๆๆๆดี กระแสส่วนใหญ่คือเอกชน ดีๆๆๆๆ
แต่ตอนนี้ตัดสินใจละ ปีหน้าลูก 4 ขวบ ให้เข้ารร.รัฐ ส่วนผลจะเป็นยังไง เอาไว้ปีหน้าจะมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ
มาเล่าให้ฟังค่ะ ยาวหน่อย อย่าเพิ่งรำคาญนะคะ ขอบคุณทุกท่านค่ะ ที่เข้ามาอ่านค่ะ