การกำเนิดเกิดก่อของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ในสมัยโบราณนับแต่สมัยทาส เป็นต้นมานั้น ย่อมเกี่ยวเนื่องกับการเกษตร ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และด้วยเหตุที่อาณาจักรสมัยโบราณเหล่านั้น จำต้องอาศัยผลผลิตทางการเกษตรเป็นปัจจัยสำคัญ ในการสร้างความเข้มแข็งและมั่งคั่งนี้เอง กำหนดเวลาในการเพาะปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ ให้ถูกต้องตรงตามฤดูกาลจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และนี่คือที่มาของความสำคัญในวิชาการคำนวนปฏิทิน โดยที่ผู้คนในสมัยปัจจุบันนี้ อาจไม่เข้าใจถึงความสำคัญอันยิ่งยวด ซึ่งสามารถชี้เป็นชี้ตายความเกิดดับของพหูชน และอาณาจักรสมัยโบราณนั้นได้เลย สมดังที่พระพุทธองค์ได้เคยตรัสกับสามเณรวาเสฏฐะและสามเณรภารทวาชะ ความว่า มหาชนสมมติ กษัตริย์ หรือ ราชา ล้วนแล้วแต่มีจุดกำเนิดมาจากความจำเป็นในการบริหารจัดการเพื่อขจัดความขัดแย้งบนพื้นที่ทางการเกษตรในอาณาจักรสมัยโบราณทั้งสิ้น ร่องรอยของความสำคัญในการคำนวนปฏิทิน ที่มีผลต่อการเกษตร และได้ตกทอดกลายเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบันก็คือ พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล ดังที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ได้ทรงอธิบายความไว้ในพระราชนิพนธ์เรื่อง พระราชพิธี ๑๒ เดือน ความว่า
“การพระราชพิธีดังกล่าวเป็นสองชื่อ แต่เนื่องกันเป็นพิธีเดียวนี้ คือปันในวันสวดมนต์เป็นวันพระราชพิธีพืชมงคล ทำขวัญพืชพันธุ์ต่างๆ มีข้าวเปลือก เป็นต้น จรดพระนังคัลเป็นพิธีเวลาเช้า คือลงมือไถ ถ้าจะแบ่งเป็นคนละพิธีก็ได้ ด้วยพิธีพืชมงคลไม่ได้ทำแต่ในเวลาค่ำวันสวดมนต์ รุ่งขึ้นเช้าก็ยังมีการเลี้ยงพระต่อไปอีก การจรดพระนังคัลนั้นเล่า ก็ไม่ได้ทำแต่วันลงมือแรกนาเริ่มพระราชพิธีเสียแต่เวลาค่ำวันสวดมนต์พิธี พืชมงคลนั้นแล้ว พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีสงฆ์ทำที่ท้องสนามหลวงในพระนคร พระราชพิธีจรดพระนังคัลเป็นพิธีพราหมณ์ ทำที่ทุ่งส้มป่อยนอกพระนคร พิธีทั้งสองนั้นก็นับว่าทำพร้อมกันในคืนเดียววันเดียวกัน จึงได้เรียกชื่อติดกันว่าพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลฯ”
“การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นธรรมเนียมมีมาแต่โบราณ เช่นในเมืองจีน สี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีเลี้ยงตัวไหม ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ ที่มีปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ ก็มีอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีเวลาเว้นว่าง ด้วยการซึ่งผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทำเองเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจหมั่นในการที่จะทำนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่นและความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง แต่การที่มีพิธีเจือปนต่างๆ ไม่เป็นแต่ลงมือไถนาเป็นตัวอย่าง เหมือนอย่างชาวนาทั้งปวงลงมือไถนาของตัวตามปกติ ก็ด้วยความหวาดหวั่นต่ออันตราย คือน้ำฝนน้ำท่ามากไปน้อยไป ด้วยเพลี้ยและสัตว์ต่างๆ จะบังเกิดเป็นเหตุอันตราย ไม่ให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิ และมีความปรารถนาที่จะให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิเป็นกำลัง จึงต้องแส่หาทางที่จะแก้ไขและทางที่จะอุดหนุน และที่จะเสี่ยงทายให้รู้ล่วงหน้าจะได้เป็นที่มั่นอกมั่นใจ ก็การที่จะแก้ไขเยียวยาน้ำฝนน้ำท่าซึ่งเป็นของเป็นไปโดยฤดูปกติเป็นเอง โดยอุบายลงแรงลงทุนอย่างไรไม่ได้ จึงต้องอาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคล ตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง ให้เป็นการช่วยแรงและเป็นที่มั่นใจตามความปรารถนาของมนุษย์ซึ่งคิดไม่มีที่สุดฯ”
เนื้อความบางตอนจากคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ก็ได้เล่าถึงเหตุการณ์วิวาทแย่งน้ำจากแม่น้ำโรหินี ระหว่างพวกเจ้าศากยะและพวกเจ้าโกลิยะ โดยระบุว่าเกิดขึ้นในช่วงเดือนเชฏฐมาส (มิถุนายน) ซึ่งเหตุการณ์ได้บานปลายถึงขั้นจับอาวุธเตรียมเข้ารบกัน จนพระพุทธองค์ต้องเสด็จมาห้ามไว้ จากเหตุการณ์ในคราวนี้นี่เอง ย่อมแสดงให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า พวกกษัตริย์ในสมัยโบราณยังคงทำนาด้วยตนเองอยู่เป็นปกติ มิได้แตกต่างไปจากชาวบ้านโดยทั่วไปมากนัก อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การที่น้ำแห้งในช่วงเดือนเจ็ดนี้ อาจเกิดจากสาเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๒ ประการนี้ กล่าวคือ
(๑) เกิดความผิดปกติทางธรรมชาติ คือฝนทิ้งช่วงหรือมาช้ากว่าปกติ ทำให้ขาดน้ำสำหรับการทำนา
(๒) อาจเป็นปัญหาที่เกิดจากการคำนวนปฏิทินที่ผิดพลาด เป็นเหตุให้มีการทำนาก่อนฤดูกาล
การทำนาเร็วกว่าปกติหรือน้ำฝนมาไม่ทันเวลา จนเป็นเหตุให้ข้าวกล้าเหี่ยวเฉา สุดท้ายอาจกลายเป็นปัญหาสำคัญของอาณาจักร ที่อาจวิกฤติถึงขั้นอาจก่อให้เกิดสงครามระหว่างเมืองกันเลยทีเดียวนั้น ย่อมบ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเกษตรที่เกี่ยวเนื่องกับการคำนวนปฏิทิน และพระราชพิธีจรดพระนังคัลฯ ได้อย่างชัดเจน ดังที่ได้ปรากฏหลักฐานจากพระบาลี เมื่อคราวที่พระพุทธองค์ตรัสกับสัจจกนิครนถ์ ขณะประทับอยู่ที่ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี ความว่า
“ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีต ในอนาคต หรือในปัจจุบันนี้ ที่เสวยทุกขเวทนากล้า หยาบ เผ็ดร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะความเพียร ทุกขเวทนานั้น อย่างยิ่งก็เพียรเท่านี้ไม่เกินกว่านี้ขึ้นไป แต่เราก็ยังมิได้บรรลุญาณทัสสนะอันวิเศษ ที่พอแก่พระอริยะซึ่งยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ด้วยทุกกรกิริยาอันเผ็ดร้อนนี้
ชะรอยทางแห่งความตรัสรู้พึงเป็นทางอื่นกระมัง เราจึงมีความดำริว่า เราจำได้อยู่ เมื่อคราวงานของท้าวสักกาธิบดีซึ่งเป็นพระบิดา เรานั่งอยู่ใต้ร่มต้นหว้าอันเย็น ได้สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนั้นพึงเป็นทางแห่งความตรัสรู้กระมัง เรามีวิญญาณตามระลึกด้วยสติว่า ทางนั้นเป็นทางแห่งความตรัสรู้ เราจึงมีความดำริว่า เรากลัวความสุขที่เว้นจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลายหรือ แล้วเราก็ดำริต่อไปว่า เราไม่กลัวสุขเช่นนั้นเลย” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ ๔๒๕)
อรรถกถาจารย์ได้ขยายความเอาไว้ว่า “งานของท้าวสักกาธิบดีซึ่งเป็นพระบิดา” ที่พระพุทธองค์ตรัสถึงนี้ก็คือ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั่นเอง ปรากฏความดังต่อไปนี้ว่า
“ในวันนั้น ชื่อว่าเป็นวันวัปปมงคล (วัปปะ หมายถึง การหว่านพืช) ของพระราชา พระราชาทั้งหลายจัดของควรเคี้ยวของกินเป็นอเนกประการ ล้างถนนพระนครให้สะอาดตั้งหม้อเต็มด้วยน้ำ ให้ยกธงแผ่นผ้าเป็นต้นขึ้น ประดับไปทั่วพระนคร เหมือนเทพวิมาน ทาสและกรรมกรเป็นต้นทั้งปวงนุ่งห่มผ้าใหม่ ประดับด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ประชุมกันในราชตระกูล ในราชพิธีเขาประกอบคันไถพันหนึ่ง แต่ในวันนั้นราชบุรุษประกอบคันไถ ๘๐๐ หย่อนหนึ่ง คันไถทั้งหมดพร้อมทั้งเชือกผูกโคหนุ่มหุ้มด้วยเงิน เหมือนรถของชานุโสณิพราหมณ์ คันไถของพระราชามีพู่ห้อยย้อยหุ้มด้วยทองสุกปลั่ง เขาของโคหนุ่มก็ดี เชือกและปฏักก็ดี หุ้มด้วยทองคำ พระราชาเสด็จออกไปด้วยบริวารใหญ่ รับเอาโอรสไปด้วย
ในที่ประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญ ได้มีต้นหว้าต้นหนึ่ง มีใบหนาทึบ มีร่มเงาร่มรื่นภายใต้ต้นหว้านั้น พระราชารับสั่งให้ปูที่บรรทมของกุมาร ข้างบนคาดเพดานขจิตด้วยดาวทอง ล้อมด้วยกำแพงม่านตั้งอารักขา ทรงเครื่องสรรพาลังการ แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เสด็จไปสู่พระราชพิธีแรกนาขวัญ ณ ที่นั้น พระราชาทรงถือคันไถทอง พวกอำมาตย์ถือคันไถเงิน ๘๐๐ หย่อนหนึ่ง ชาวนาถือคันไถที่เหลือ เขาเหล่านั้น ถือคันไถเหล่านั้นไถไปทางโน้นทางนี้ ส่วนพระราชา เสด็จจากข้างนี้ไปข้างโน้น หรือจากข้างโน้นมาสู่ข้างนี้”
ไม้ตาย
ไม่ว่าเรื่องราวตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์อรรถกถา จะเป็นเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาลหรือเป็นเหตุการณ์ร่วมสมัยอรรถกถา คือเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ก็ตาม แต่นี่ก็นับเป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่า พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงนับแต่โบราณ และได้มีการถ่ายทอดสืบเนื่องกันมานานจวบจนถึงปัจจุบัน โดยที่ได้กลายสภาพไปเป็น “ขนบประเพณี” ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเพื่อความเป็นสิริมงคลเสียมากกว่าที่จะทราบว่าเดิมทีนั้น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นกระบวนการสร้างความชอบธรรมของฝ่ายผู้ปกครองบ้านเมือง ในการควบคุมพหูชนทั้งหลายในสังคม ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ โดยอาศัยวิชาการคำนวนปฏิทินของพวกนักวิชาการชั้นสูงในยุคนั้น ซึ่งมิได้สาธารณะแก่บุคคลทั่วไป เป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่ง
แน่นอนว่า แนวทางปฏิบัติของนักปกครองโดยความร่วมมือจากนักวิชาการชั้นสูง ในการครอบงำประชาชนผู้อยู่ภายใต้การปกครองก็คือ การแอบอ้างโองการอันศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพยดาผู้เป็นใหญ่ ซึ่งมีแต่อภิสิทธิ์ชนอย่างพวกเขาเท่านั้น ที่มีบุญญาบารมีมากพอที่จะสามารถติดต่อสื่อสาร และหยั่งทราบความเป็นไปอันเร้นลับของธรรมชาติ ที่สามารถกำหนดความเป็นไปของสรรพชีวิตทั้งมวลได้ และด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมบรรดาพราหมณ์ทั้งหลายนับแต่อดีตเป็นต้นมา จึงได้กลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่แม้แต่กษัตริย์ทั้งหลายยังมิกล้าแตะต้อง ดังปรากฏความในมานวธรรมศาสตร์ เช่นว่า
“แม้ตกอยู่ในความเดือดร้อนแสนสาหัส พระราชาไม่พึงทำให้พราหมณ์โกรธ เพราะเมื่อพราหมณ์โกรธแล้ว ย่อมทำลายพระราชาด้วยบริวาร กำลังและอุปกรณ์ทั้งหลาย”
หรือเช่นว่า
“เนื่องจากกษัตริย์อุบัติขึ้นจากพราหมณ์ พราหมณ์เท่านั้นจึงควรอยู่เหนือกษัตริย์ในกาลทุกเมื่อที่กษัตริย์ทำการโอหังต่อพราหมณ์”
แต่ที่เด่นชัดมากก็คือการบัญญัติความไว้ว่า
“พระราชาไม่พึงฆ่าพราหมณ์ ไม่ว่าจะทำผิดประการใด แต่พึงเนรเทศและริบทรัพย์โดยไม่ทำให้บาดเจ็บ .. ไม่มีความผิดใดในโลกจะยิ่งไปกว่าฆ่าพราหมณ์ ..”
สิ่งที่ควรสังเกตก็คือ ถึงแม้จะมีการบัญญัติข้อความอันแสดงให้เห็นถึงอภิสิทธิ์ต่างๆ ของพวกพราหมณ์ ที่มีมากมายเหนือยิ่งกว่าพระราชาก็จริง แต่บทบัญญัติเหล่านั้นจะไม่มีความหมายใดๆ เลย หากพระราชาทั้งหลายจะไม่ปฏิบัติตาม มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถบีบบังคับให้พระราชาทั้งหลาย จำต้องยอมอ่อนข้อให้พวกพราหมณ์ก็คือ องค์ความรู้อันลึกซึ้งที่ได้รับการสืบทอด และถูกสงวนเอาไว้เฉพาะในหมู่พวกพราหมณ์ ซึ่งความรู้ในวิชาการคำนวนปฏิทิน เพื่อกำหนดวันเวลาที่ถูกต้องในการเพาะปลูก อันเป็นปัจจัยชี้ขาดความอยู่รอดของประชาชน และความดำรงอยู่ของอาณาจักร นี้นับได้ว่าเป็น “ไม้ตาย” ที่สำคัญยิ่งกว่าการให้มุรธาภิเษกแก่พระราชาเสียอีก
แต่ช่างน่าสมเพชนัก ที่อาณาจักรแห่งความศักดิ์สิทธิ์อันเข้มแข็ง ซึ่งพวกพราหมณ์ นักวิชาการ ได้เพียรพยามสร้างขึ้นมาเพื่อครอบงำความคิดของประชาชน มาตลอดหลายชั่วอายุคน กลับล่มสลายไปในพริบตา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศพระศาสนา และก่อตั้งคณะสงฆ์ขึ้น ณ ชมพูทวีป เมื่อราว ๔๕ ปีก่อนพุทธศักราชนี้เอง
การปลดแอกทางปัญญาด้วยธรรมเนียมการจำพรรษา
มักเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปในหมู่ชาวพุทธ(ไทย)ว่า การที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้มีการจำพรรษาตลอดฤดูฝน นั้นก็เนื่องมาจาก ภิกษุทั้งหลายได้เดินไปเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวนา ที่หว่านดำกันในช่วงฤดูฝนทำให้เกิดความเสียหายขึ้น เมื่อชาวบ้านพวกนั้นติเตียนโพนทะนามากเข้า พระพุทธองค์จึงทรงห้ามมิให้ภิกษุทั้งหลายจาริกไปในที่ต่างๆ ในช่วงฤดูฝน แต่เหตุผลที่แท้จริง จะเป็นดังที่เชื่อถือกันมาหรือไม่ ย่อมต้องพิจารณากันให้ถี่ถ้วนดังต่อไปนี้
03 การล่มสลายของของอาณาจักรแห่งความศักดิ์สิทธิ์
“การพระราชพิธีดังกล่าวเป็นสองชื่อ แต่เนื่องกันเป็นพิธีเดียวนี้ คือปันในวันสวดมนต์เป็นวันพระราชพิธีพืชมงคล ทำขวัญพืชพันธุ์ต่างๆ มีข้าวเปลือก เป็นต้น จรดพระนังคัลเป็นพิธีเวลาเช้า คือลงมือไถ ถ้าจะแบ่งเป็นคนละพิธีก็ได้ ด้วยพิธีพืชมงคลไม่ได้ทำแต่ในเวลาค่ำวันสวดมนต์ รุ่งขึ้นเช้าก็ยังมีการเลี้ยงพระต่อไปอีก การจรดพระนังคัลนั้นเล่า ก็ไม่ได้ทำแต่วันลงมือแรกนาเริ่มพระราชพิธีเสียแต่เวลาค่ำวันสวดมนต์พิธี พืชมงคลนั้นแล้ว พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีสงฆ์ทำที่ท้องสนามหลวงในพระนคร พระราชพิธีจรดพระนังคัลเป็นพิธีพราหมณ์ ทำที่ทุ่งส้มป่อยนอกพระนคร พิธีทั้งสองนั้นก็นับว่าทำพร้อมกันในคืนเดียววันเดียวกัน จึงได้เรียกชื่อติดกันว่าพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลฯ”
“การแรกนาที่ต้องเป็นธุระของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นธรรมเนียมมีมาแต่โบราณ เช่นในเมืองจีน สี่พันปีล่วงมาแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงไถนาเองเป็นคราวแรก พระมเหสีเลี้ยงตัวไหม ส่วนจดหมายเรื่องราวอันใดในประเทศสยามนี้ ที่มีปรากฏอยู่ในการแรกนานี้ ก็มีอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีเวลาเว้นว่าง ด้วยการซึ่งผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินลงมือทำเองเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ราษฎร ชักนำให้มีใจหมั่นในการที่จะทำนา เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้อาศัยเลี้ยงชีวิตทั่วหน้า เป็นต้นเหตุของความตั้งมั่นและความเจริญไพบูลย์แห่งพระนครทั้งปวง แต่การที่มีพิธีเจือปนต่างๆ ไม่เป็นแต่ลงมือไถนาเป็นตัวอย่าง เหมือนอย่างชาวนาทั้งปวงลงมือไถนาของตัวตามปกติ ก็ด้วยความหวาดหวั่นต่ออันตราย คือน้ำฝนน้ำท่ามากไปน้อยไป ด้วยเพลี้ยและสัตว์ต่างๆ จะบังเกิดเป็นเหตุอันตราย ไม่ให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิ และมีความปรารถนาที่จะให้ได้ประโยชน์เต็มภาคภูมิเป็นกำลัง จึงต้องแส่หาทางที่จะแก้ไขและทางที่จะอุดหนุน และที่จะเสี่ยงทายให้รู้ล่วงหน้าจะได้เป็นที่มั่นอกมั่นใจ ก็การที่จะแก้ไขเยียวยาน้ำฝนน้ำท่าซึ่งเป็นของเป็นไปโดยฤดูปกติเป็นเอง โดยอุบายลงแรงลงทุนอย่างไรไม่ได้ จึงต้องอาศัยคำอธิษฐานเอาความสัตย์เป็นที่ตั้งบ้าง ทำการซึ่งไม่มีโทษนับว่าเป็นการสวัสดิมงคล ตามซึ่งมาในพระพุทธศาสนาบ้าง บูชาเซ่นสรวงตามที่มาทางไสยศาสตร์บ้าง ให้เป็นการช่วยแรงและเป็นที่มั่นใจตามความปรารถนาของมนุษย์ซึ่งคิดไม่มีที่สุดฯ”
เนื้อความบางตอนจากคัมภีร์ธัมมปทัฏฐกถา ก็ได้เล่าถึงเหตุการณ์วิวาทแย่งน้ำจากแม่น้ำโรหินี ระหว่างพวกเจ้าศากยะและพวกเจ้าโกลิยะ โดยระบุว่าเกิดขึ้นในช่วงเดือนเชฏฐมาส (มิถุนายน) ซึ่งเหตุการณ์ได้บานปลายถึงขั้นจับอาวุธเตรียมเข้ารบกัน จนพระพุทธองค์ต้องเสด็จมาห้ามไว้ จากเหตุการณ์ในคราวนี้นี่เอง ย่อมแสดงให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนว่า พวกกษัตริย์ในสมัยโบราณยังคงทำนาด้วยตนเองอยู่เป็นปกติ มิได้แตกต่างไปจากชาวบ้านโดยทั่วไปมากนัก อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การที่น้ำแห้งในช่วงเดือนเจ็ดนี้ อาจเกิดจากสาเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๒ ประการนี้ กล่าวคือ
(๑) เกิดความผิดปกติทางธรรมชาติ คือฝนทิ้งช่วงหรือมาช้ากว่าปกติ ทำให้ขาดน้ำสำหรับการทำนา
(๒) อาจเป็นปัญหาที่เกิดจากการคำนวนปฏิทินที่ผิดพลาด เป็นเหตุให้มีการทำนาก่อนฤดูกาล
การทำนาเร็วกว่าปกติหรือน้ำฝนมาไม่ทันเวลา จนเป็นเหตุให้ข้าวกล้าเหี่ยวเฉา สุดท้ายอาจกลายเป็นปัญหาสำคัญของอาณาจักร ที่อาจวิกฤติถึงขั้นอาจก่อให้เกิดสงครามระหว่างเมืองกันเลยทีเดียวนั้น ย่อมบ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเกษตรที่เกี่ยวเนื่องกับการคำนวนปฏิทิน และพระราชพิธีจรดพระนังคัลฯ ได้อย่างชัดเจน ดังที่ได้ปรากฏหลักฐานจากพระบาลี เมื่อคราวที่พระพุทธองค์ตรัสกับสัจจกนิครนถ์ ขณะประทับอยู่ที่ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี ความว่า
“ดูกรอัคคิเวสสนะ เรามีความดำริว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีต ในอนาคต หรือในปัจจุบันนี้ ที่เสวยทุกขเวทนากล้า หยาบ เผ็ดร้อน ที่เกิดขึ้นเพราะความเพียร ทุกขเวทนานั้น อย่างยิ่งก็เพียรเท่านี้ไม่เกินกว่านี้ขึ้นไป แต่เราก็ยังมิได้บรรลุญาณทัสสนะอันวิเศษ ที่พอแก่พระอริยะซึ่งยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ด้วยทุกกรกิริยาอันเผ็ดร้อนนี้
ชะรอยทางแห่งความตรัสรู้พึงเป็นทางอื่นกระมัง เราจึงมีความดำริว่า เราจำได้อยู่ เมื่อคราวงานของท้าวสักกาธิบดีซึ่งเป็นพระบิดา เรานั่งอยู่ใต้ร่มต้นหว้าอันเย็น ได้สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ทางนั้นพึงเป็นทางแห่งความตรัสรู้กระมัง เรามีวิญญาณตามระลึกด้วยสติว่า ทางนั้นเป็นทางแห่งความตรัสรู้ เราจึงมีความดำริว่า เรากลัวความสุขที่เว้นจากกาม และอกุศลธรรมทั้งหลายหรือ แล้วเราก็ดำริต่อไปว่า เราไม่กลัวสุขเช่นนั้นเลย” (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ข้อ ๔๒๕)
อรรถกถาจารย์ได้ขยายความเอาไว้ว่า “งานของท้าวสักกาธิบดีซึ่งเป็นพระบิดา” ที่พระพุทธองค์ตรัสถึงนี้ก็คือ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั่นเอง ปรากฏความดังต่อไปนี้ว่า
“ในวันนั้น ชื่อว่าเป็นวันวัปปมงคล (วัปปะ หมายถึง การหว่านพืช) ของพระราชา พระราชาทั้งหลายจัดของควรเคี้ยวของกินเป็นอเนกประการ ล้างถนนพระนครให้สะอาดตั้งหม้อเต็มด้วยน้ำ ให้ยกธงแผ่นผ้าเป็นต้นขึ้น ประดับไปทั่วพระนคร เหมือนเทพวิมาน ทาสและกรรมกรเป็นต้นทั้งปวงนุ่งห่มผ้าใหม่ ประดับด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ประชุมกันในราชตระกูล ในราชพิธีเขาประกอบคันไถพันหนึ่ง แต่ในวันนั้นราชบุรุษประกอบคันไถ ๘๐๐ หย่อนหนึ่ง คันไถทั้งหมดพร้อมทั้งเชือกผูกโคหนุ่มหุ้มด้วยเงิน เหมือนรถของชานุโสณิพราหมณ์ คันไถของพระราชามีพู่ห้อยย้อยหุ้มด้วยทองสุกปลั่ง เขาของโคหนุ่มก็ดี เชือกและปฏักก็ดี หุ้มด้วยทองคำ พระราชาเสด็จออกไปด้วยบริวารใหญ่ รับเอาโอรสไปด้วย
ในที่ประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญ ได้มีต้นหว้าต้นหนึ่ง มีใบหนาทึบ มีร่มเงาร่มรื่นภายใต้ต้นหว้านั้น พระราชารับสั่งให้ปูที่บรรทมของกุมาร ข้างบนคาดเพดานขจิตด้วยดาวทอง ล้อมด้วยกำแพงม่านตั้งอารักขา ทรงเครื่องสรรพาลังการ แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เสด็จไปสู่พระราชพิธีแรกนาขวัญ ณ ที่นั้น พระราชาทรงถือคันไถทอง พวกอำมาตย์ถือคันไถเงิน ๘๐๐ หย่อนหนึ่ง ชาวนาถือคันไถที่เหลือ เขาเหล่านั้น ถือคันไถเหล่านั้นไถไปทางโน้นทางนี้ ส่วนพระราชา เสด็จจากข้างนี้ไปข้างโน้น หรือจากข้างโน้นมาสู่ข้างนี้”
ไม้ตาย
ไม่ว่าเรื่องราวตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์อรรถกถา จะเป็นเหตุการณ์ในสมัยพุทธกาลหรือเป็นเหตุการณ์ร่วมสมัยอรรถกถา คือเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ก็ตาม แต่นี่ก็นับเป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่า พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นี้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงนับแต่โบราณ และได้มีการถ่ายทอดสืบเนื่องกันมานานจวบจนถึงปัจจุบัน โดยที่ได้กลายสภาพไปเป็น “ขนบประเพณี” ที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเพื่อความเป็นสิริมงคลเสียมากกว่าที่จะทราบว่าเดิมทีนั้น พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นกระบวนการสร้างความชอบธรรมของฝ่ายผู้ปกครองบ้านเมือง ในการควบคุมพหูชนทั้งหลายในสังคม ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ โดยอาศัยวิชาการคำนวนปฏิทินของพวกนักวิชาการชั้นสูงในยุคนั้น ซึ่งมิได้สาธารณะแก่บุคคลทั่วไป เป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่ง
แน่นอนว่า แนวทางปฏิบัติของนักปกครองโดยความร่วมมือจากนักวิชาการชั้นสูง ในการครอบงำประชาชนผู้อยู่ภายใต้การปกครองก็คือ การแอบอ้างโองการอันศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพยดาผู้เป็นใหญ่ ซึ่งมีแต่อภิสิทธิ์ชนอย่างพวกเขาเท่านั้น ที่มีบุญญาบารมีมากพอที่จะสามารถติดต่อสื่อสาร และหยั่งทราบความเป็นไปอันเร้นลับของธรรมชาติ ที่สามารถกำหนดความเป็นไปของสรรพชีวิตทั้งมวลได้ และด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมบรรดาพราหมณ์ทั้งหลายนับแต่อดีตเป็นต้นมา จึงได้กลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่แม้แต่กษัตริย์ทั้งหลายยังมิกล้าแตะต้อง ดังปรากฏความในมานวธรรมศาสตร์ เช่นว่า
“แม้ตกอยู่ในความเดือดร้อนแสนสาหัส พระราชาไม่พึงทำให้พราหมณ์โกรธ เพราะเมื่อพราหมณ์โกรธแล้ว ย่อมทำลายพระราชาด้วยบริวาร กำลังและอุปกรณ์ทั้งหลาย”
หรือเช่นว่า
“เนื่องจากกษัตริย์อุบัติขึ้นจากพราหมณ์ พราหมณ์เท่านั้นจึงควรอยู่เหนือกษัตริย์ในกาลทุกเมื่อที่กษัตริย์ทำการโอหังต่อพราหมณ์”
แต่ที่เด่นชัดมากก็คือการบัญญัติความไว้ว่า
“พระราชาไม่พึงฆ่าพราหมณ์ ไม่ว่าจะทำผิดประการใด แต่พึงเนรเทศและริบทรัพย์โดยไม่ทำให้บาดเจ็บ .. ไม่มีความผิดใดในโลกจะยิ่งไปกว่าฆ่าพราหมณ์ ..”
สิ่งที่ควรสังเกตก็คือ ถึงแม้จะมีการบัญญัติข้อความอันแสดงให้เห็นถึงอภิสิทธิ์ต่างๆ ของพวกพราหมณ์ ที่มีมากมายเหนือยิ่งกว่าพระราชาก็จริง แต่บทบัญญัติเหล่านั้นจะไม่มีความหมายใดๆ เลย หากพระราชาทั้งหลายจะไม่ปฏิบัติตาม มีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถบีบบังคับให้พระราชาทั้งหลาย จำต้องยอมอ่อนข้อให้พวกพราหมณ์ก็คือ องค์ความรู้อันลึกซึ้งที่ได้รับการสืบทอด และถูกสงวนเอาไว้เฉพาะในหมู่พวกพราหมณ์ ซึ่งความรู้ในวิชาการคำนวนปฏิทิน เพื่อกำหนดวันเวลาที่ถูกต้องในการเพาะปลูก อันเป็นปัจจัยชี้ขาดความอยู่รอดของประชาชน และความดำรงอยู่ของอาณาจักร นี้นับได้ว่าเป็น “ไม้ตาย” ที่สำคัญยิ่งกว่าการให้มุรธาภิเษกแก่พระราชาเสียอีก
แต่ช่างน่าสมเพชนัก ที่อาณาจักรแห่งความศักดิ์สิทธิ์อันเข้มแข็ง ซึ่งพวกพราหมณ์ นักวิชาการ ได้เพียรพยามสร้างขึ้นมาเพื่อครอบงำความคิดของประชาชน มาตลอดหลายชั่วอายุคน กลับล่มสลายไปในพริบตา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศพระศาสนา และก่อตั้งคณะสงฆ์ขึ้น ณ ชมพูทวีป เมื่อราว ๔๕ ปีก่อนพุทธศักราชนี้เอง
การปลดแอกทางปัญญาด้วยธรรมเนียมการจำพรรษา
มักเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปในหมู่ชาวพุทธ(ไทย)ว่า การที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้มีการจำพรรษาตลอดฤดูฝน นั้นก็เนื่องมาจาก ภิกษุทั้งหลายได้เดินไปเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวนา ที่หว่านดำกันในช่วงฤดูฝนทำให้เกิดความเสียหายขึ้น เมื่อชาวบ้านพวกนั้นติเตียนโพนทะนามากเข้า พระพุทธองค์จึงทรงห้ามมิให้ภิกษุทั้งหลายจาริกไปในที่ต่างๆ ในช่วงฤดูฝน แต่เหตุผลที่แท้จริง จะเป็นดังที่เชื่อถือกันมาหรือไม่ ย่อมต้องพิจารณากันให้ถี่ถ้วนดังต่อไปนี้