02 สาธิก กับความหมายอันลึก

แม้ข้อความจากพระไตรปิฎกภาษาไทย จะระบุเอาไว้อย่างชัดเจนถึงจำนวนสิกขาบทในพระปาฏิโมกข์ว่ามีอยู่ ๑๕๐ ถ้วน ก็จริง  แต่เพราะเหตุที่ภิกษุทั้งหลายในปัจจุบันนี้ ล้วนแล้วแต่สวดปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อด้วยกันทั้งนั้น  จึงนำมาซึ่งความคลางแคลงใจ ต่อการแปลพระบาลีโดยพระเถรานุเถระทั้งหลาย  ดังที่นักศึกษาพระพุทธศาสนาบางราย ถึงกับกล่าวว่า  พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และฉบับอนุสรณ์งานฉลอง ๒๕ ศตวรรษ ซึ่งแปลพระบาลีส่วนนี้ว่า “สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วน” นั้นเป็นการแปลผิด กล่าวคือ  จากพระบาลี “สาธิกมิทํ ภนฺเต ทิยฑฺฒสิกฺขาปทสตํ” พระเถรานุเถระทั้งหลาย แปลความดังนี้ว่า

    ภนฺเต = ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ทิยฑฺฒสิกฺขาปทสตํ = สิกขาบท ๑๕๐
    สาธิก = ถ้วน
    มิทํ = นี้

    ทั้งนี้ นักศึกษาพระพุทธศาสนาคนดังกล่าว ได้กล่าวอ้างว่า สาธิก หรือ สาธิกํ นี้สามารถแยกศัพท์ได้เป็น สห + อธิก ซึ่งแปลว่า “พร้อมด้วยส่วนที่เกินหรือมีเศษ”
    โดยทั่วไปคำๆ นี้จะต้องมาพร้อมกับสังขยา(ตัวเลข) ผิดกับคำว่า สาธิกา ที่แปลว่า สำเร็จ อันเป็นรูปอิตถีลิงค์ของ สาธก ซึ่งความหมายอย่างนี้จะไม่มาพร้อมกับสังขยา(ตัวเลข) ดังนั้นจึงไม่สามารถแปลด้วยความหมายนี้ได้ กล่าวโดยสรุปก็คือ จากหลักฐานทั้งจากพระบาลีและอรรถกถา ล้วนแปลคำศัพท์ สาธิกํ ว่า “เกิน” ทั้งนั้น

    ซึ่งความข้อนี้จะถูกหรือผิด นั่นย่อมเป็นสิ่งที่เราทั้งหลายในฐานะชาวพุทธ จะต้องโยนิโสมนสิการด้วยสติปัญญาอย่างยิ่ง ดังต่อไปนี้

หลุมถ่านเพลิงกับเหตุผลเชิงอัตวิสัย

    ประเด็นที่ว่า สาธิกํ จะต้องมาพร้อมกับสังขยา(ตัวเลข) จริงหรือไม่นั้น ถ้าจะใช้วิธีตรวจสอบด้วยการอ้างอิงหลักฐานจากตำราคือ พระไตรปิฎกและอรรถกถาแล้วล่ะก็  แนวคิดที่กล่าวว่า สาธิกํ จะต้องมาพร้อมกับสังขยาเสมอนั้นคงไม่อาจยอมรับว่าเป็นความจริงได้  ทั้งนี้เนื่องจากเป็นตัวของอรรถกถาจารย์นั้นเอง ที่ได้แสดงให้เห็นว่าสามารถใช้ สาธิกํ ในความหมายว่า “เกินกว่า”  โดยที่คำๆ นี้ไม่ต้องตามด้วยสังขยา  ตัวอย่างเช่น พระบาลีจาก มหาสีหนาทสูตร ความว่า

    “ดูกรสารีบุตร  เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกยิ่งกว่าชั่วบุรุษ เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ปราศจากเปลว ปราศจากควัน  ลำดับนั้นบุรุษผู้มีตัวอันความร้อนแผดเผา ครอบงำ เหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้าน หิวกระหาย มุ่งมาสู่หลุมถ่านเพลิงนั้นแหละ โดยมรรคาสายเดียว บุรุษผู้มีจักษุเห็นเขาแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า  บุรุษผู้เจริญนี้ ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น ขึ้นสู่หนทางนั้น จักมาถึงหลุมถ่านเพลิงนี้ทีเดียว
    โดยสมัยต่อมา บุรุษผู้มีจักษุนั้น พึงเห็นเขาตกลงในหลุมถ่านเพลิงนั้น เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อนโดยส่วนเดียว แม้ฉันใด  ดูกรสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ ด้วยใจ ฉันนั้น เหมือนกันแลว่า บุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก โดยสมัยต่อมา เราได้เห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงแล้วซึ่ง อบายทุคติ วินิบาตนรก เสวยทุกขเวทนาอันแรงกล้า เผ็ดร้อนโดยส่วนเดียว ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์”

    คำว่า “ลึกยิ่งกว่าชั่วบุรุษ” นี้เอง ที่แปลมาจากพระบาลีว่า “สาธิกโปริสา”  ซึ่งจากหลักฐานตามที่ปรากฏอยู่ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สาธิก หรือ สาธิกํ นี้ไม่จำเป็นต้องตามด้วยสังขยา(ตัวเลข) แต่อย่างใดเลย  ทั้งนี้ ขอให้สังเกตและยอมรับตามความเป็นจริงด้วยว่า คำศัพท์ “สาธิกโปริสา” นี้ปรากฏอยู่ในพระบาลีอีกหลายแห่ง เช่น โปตลิยสูตร ปุตตมังสสูตร และ ทุกขธรรมสูตร เป็นต้น  

    ดังนั้น การเสนอทฤษฎีว่า สาธิกํ แปลว่าเกินกว่าต้องมาพร้อมกับสังขยา ในขณะที่ สาธิกา ที่แปลว่า สำเร็จ(ประโยชน์) จะไม่มีสังขยาตามหลัง  จึงเป็นเท็จ ไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้ เพราะมิเช่นนั้นแล้ว เราจะไม่สามารถอธิบายพระบาลี “สาธิกโปริสา” นี้ได้เลย กล่าวคือ

    (๑) หากเราเชื่อตามคำอธิบายของอรรถกถาจารย์ว่า “สาธิก” ในคำว่า “สาธิกโปริสา” นี้มีความหมายว่า “เกิน” นั่นก็ย่อมหมายความว่า ทฤษฎีของนักศึกษาพระพุทธศาสนาคนดังกล่าวใช้การไม่ได้  ข้อสันนิษฐานดังกล่าวจึงต้องเป็นอันตกไปโดยปริยาย
    (๒) แต่หากเรายอมเชื่อตามข้อสันนิษฐาน ของนักศึกษาพระพุทธศาสนาผู้นั้น ก็ย่อมหมายความว่า พระบาลี “สาธิกโปริสา” จะแปลว่า “เกินชั่วบุรุษ” หรือ “ลึกเกินชั่วบุรุษ” ตามคำของอรรถกถาจารย์มิได้  แต่ควรแปลความว่า “เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงอันสำเร็จแล้วด้วยบุรุษนั้น” คราวนี้ก็เลยกลายเป็นว่า อรรถกถาจารย์ “อ่อน” ไวยากรณ์บาลีไปเสียอีก ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เช่นกัน !!!!

    แต่ประเด็นที่สมควรกระทำให้แจ้งก็คือ การแปล “สาธิกโปริสา” ว่า “ลึกยิ่งกว่าชั่วบุรุษ” ตามแนวมติของอรรถกถาจารย์นี้ สมควรนับได้ว่า เป็นการแปลที่ถูกต้อง ตรงตามความหมายดั้งเดิม อันเป็นพุทธประสงค์ แล้วหรือไม่ ?

    โดยทั่วไปแล้ว  การที่พระพุทธองค์ ตรัสเปรียบกาม ว่าเสมือนหลุมถ่านเพลิงนั้น มักเป็นการตรัสโดยเนื่องกับชาวบ้านสามัญทั่วไป  ซึ่งแน่นอนว่า พระพุทธองค์ย่อมตรัสเฉพาะ ในสิ่งที่ชาวบ้านเหล่านั้น สามารถรับรู้และทำความเข้าใจได้โดยง่าย  แต่หากเมื่อตรัสเนื่องกับพระโยคาวจรทั้งหลาย ก็มักตรัสถึงภพทั้ง ๙ อย่าง มีกามภพ เป็นต้น ว่าเปรียบเหมือนหลุ่มถ่านเพลิง โดยหมายเอานิมิตในมรรคญาณ อันเป็นเครื่องพิจารณาเพื่อปลดเปลื้องจากตัณหาอุปาทานนั้นเป็นประมาณ  แต่การที่พระพุทธองค์ตรัสกับโปตลิยคฤหบดี ว่าด้วยอุปมากามทั้ง ๗ ข้อ ความว่า

    “ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง เต็มด้วยถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ปราศจากควัน บุรุษผู้รักชีวิต ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ พึงมา บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับแขนบุรุษนั้นข้างละคน ฉุดเข้าไปยังหลุมถ่านเพลิง ฉันใด ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะพึงน้อมกายเข้าไปด้วยคิดเห็นว่า อย่างนี้ บ้างหรือ ?
    ไม่เป็นเช่นนั้น พระองค์ผู้เจริญ
    ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะบุรุษนั้นรู้ว่า เราจักตกลงยังหลุมถ่านเพลิงนี้ จักถึงตาย หรือถึงทุกข์ปางตาย เพราะการตกลงยังหลุมถ่านเพลิงเป็นเหตุ
    ดูกรคฤหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง ครั้นเห็นโทษแห่งกามนี้ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญาอันชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมเว้นขาดซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยความเป็นต่าง ๆ แล้วเจริญอุเบกขาที่มีความเป็นอารมณ์เดียว อาศัยความเป็นอารมณ์เดียว อันเป็นที่ดับความถือมั่นโลกามิส โดยประการทั้งปวงหาส่วนเหลือมิได้” (อ้างจาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมณาสก์ ข้อ ๕๐)

    ประเด็นที่เราจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก็คือ การแปล “เสยฺยถาปิ คหปติ องฺคารกาสุ สาธิกโปริสา” ว่า “ดูกรคฤหบดี เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิง ลึกกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง” นั้นเป็นการแปลความที่ถูกต้องเหมาะสมดีแล้วหรือไม่

    ทั้งนี้ ในเบื้องต้น เราจะต้องทำความเข้าใจให้ได้เสียก่อนว่า โปตลิยคฤหบดีซึ่งมีฐานะเป็นพ่อค้า มีความเข้าใจหรือมีความรับรู้ต่อ “หลุมถ่านเพลิง” ว่าอย่างไร ?

    ซึ่งในประเด็นนี้ เราสามารถนำไปเปรียบเทียบกับกรณีของนายครหทินน์ ผู้เป็นสาวกของนิครนถ์ในกรุงสาวัตถี ได้ดังนี้คือ  หลังจากเหตุการณ์ที่อุบาสกสิริคุตต์ ได้ทำการข่มขี่เหล่านิครนถ์ ด้วยการทำให้นักบวชนิครนถ์กว่า ๕๐๐ ตกลงไปในหลุมคูถ และสั่งลูกน้องให้รุมทุบตีเหล่านิครนถ์ที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากหลุม

    ครั้งนั้น ครหทินน์ผู้เป็นสาวกของนิครนถ์ มีความเจ็บแค้นมาก จึงได้วางแผนลวงให้พระศาสดาและภิกษุสาวกมาตกหลุมพลางของตนบ้าง เพื่อที่เขาจะได้สบช่องในการข่มขี่  โดยครหทินน์ได้ขอร้องให้อุบาสกสิริคุตต์ผู้เป็นเพื่อนของตน ให้ไปเข้าเฝ้าแล้วทูลนิมนต์พระพุทธองค์พร้อมทั้งพระสาวกกว่า ๕๐๐ รูป มารับภิกษา ณ บ้านของเขา พร้อมกันนั้น นายครหทินน์ก็ได้สั่งให้คนขุดหลุมใหญ่ไว้ในระหว่างเรือน ๒ หลัง และนำไม้ตะเคียนมาประมาณ ๘๐ เล่มเกวียน ให้จุดไฟสุมตลอดคืนยันรุ่ง แล้วให้ทำกองถ่านเพลิงไม้ตะเคียนไว้ วางไม้เรียบบนปากหลุม ให้ปิดด้วยเสื่อลำแพนแล้วทาด้วยโคมัย ลาดท่อนไม้ผุไว้โดยข้างหนึ่ง แล้วให้ทำทางเป็นที่ไป โดยสำคัญว่า ในเวลาที่พวกสมณะ  เหยียบแล้วๆ อย่างนี้  เมื่อท่อนไม้ทั้งหลายหัก พวกสมณะจักกลิ้งตกไปในหลุมถ่านเพลิงที่ตนได้ทำไว้

กรรมวิธีในการเผาถ่าน

    ใจความทั้งหมดจากอรรถกถานี้เอง ย่อมทำให้เราทราบได้อย่างแน่ชัดว่า “หลุมถ่านเพลิง” ตามความเข้าใจของชาวบ้านทั่วไปนั้น หมายถึง หลุมที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับเผาถ่าน  ดังที่นายครหทินน์ผู้เป็นสาวกของนิครนถ์ในกรุงสาวัตถี ได้แสดงรายละเอียดมาแล้วนั่นเอง  โดยกรรมวิธีในการเผาถ่านนั้นปรากฏว่า นับจากอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นแทบจะไม่มีความแตกต่างอันใดเลย กล่าวคือ  เตาเผาถ่านโดยทั่วไปมีอยู่ ๒ ลักษณะ คือ

    ๑.  เตาลาน มีลักษณะการเผาถ่านโดยวางกองไม้สำหรับเผาถ่านบนพื้นลานโล่ง ซึ่งมีไม้หมอนรองรับเพื่อเปิดช่องอากาศถ่ายเทใต้กองไม้ที่จะเผาเป็นถ่าน และใช้ขี้เลื่อยกลบคลุมกองไม้เพื่อควบคุมอากาศในการเผาไม้ให้เป็นถ่าน การเผาถ่านด้วยเตาลานแต่ละครั้งสามารถเผาถ่านได้เป็นปริมาณมากตามขนาดที่กองไม้
    ๒. เตาดินเหนียวก่อ มีลักษณะคล้ายจอมปลวกตัวผนังเตาส่วนหนึ่งอยู่บนดิน อีกส่วนหนึ่งขุดลึกลงไปต่ำกว่าระดับผิวดิน  ผนังเตาที่ใช้ก่อขึ้นมาเหนือพื้นดินในที่นี้ใช้ดินลูกรัง เส้นผ่าศูนย์กลางของเตา ๔ เมตร เตาสูง ๒.๕๐ เมตร จากพื้นดินขุดลึกลงไป ๑.๒๐ เมตร ช่องใส่ไม้ กว้าง ๐.๗๕ เมตร สูง ๑.๒๐ เมตร ผนังเตาหนา ๐.๒๕ เมตร ช่องใส่ไฟด้านบนลึกจากผิวดิน ๐.๕๐ เมตร มีปล่องควัน ๓ ปล่องโดยรอบเตา เส้นผ่าศูนย์กลาง ๐.๑๐ เมตร ปล่องเร่งไฟ (ปล่องดาว) ตรงข้ามช่องใส่ไฟ สูงจากพื้นดิน ๑.๓๐ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๐.๑๖ เมตร

    ยังมีวิธีการทำเตาเผาถ่านอย่างง่ายอีกแบบหนึ่ง มีขั้นตอนการทำดังนี้คือ เริ่มต้นจากการขุดหลุมเป็นรูปสี่เหลี่ยม กว้างประมาณ ๑.๕๐ ยาว ๒.๐๐ เมตร และลึก ๐.๕๐ เมตร  จากนั้นใช้แกลบดิบปูพื้นหลุมหนา ๐.๑๐ เมตร ให้วางท่อนไม้ซ้อนกันให้เต็มหลุม แล้วเทแกลบใส่ทับกองท่อนไม้ จุดไฟยัดในหลุมให้อยู่ในระหว่างกองท่อนไม้ในหลุม รอสักครู่ให้ไฟติดและเริ่มลามไหม้แกลบ จึงค่อยเทแกลบทับลงไปจนเกิดควัน จากนั้นเทแกลบเปียกความชื้น ๖๐ % ตามลงไป หรืออาจสลับกับแกลบแห้ง ให้เทแกลบทับได้มากที่สุด โดยไม่ต้องกังวลว่าไฟจะดับ หมั่นดูแล ระวังอย่าให้ไฟลุกติด ถ้าแกลบไหม้ดำให้เทแกลบดิบทับไปเรื่อยๆ ดูแลให้ครบ ๑ วัน
    จากนั้นรุ่งเช้าให้รดน้ำบนกองให้เปียก รอให้เย็น แล้วจึงเกลี่ยกองแกลบออก จากนั้นจึงค่อยๆ คีบถ่านที่เผาสุกแล้วออกมา โดยต้องระมัดระวังอย่านำก้อนถ่านมา กองซ้อนทับกัน  เพราะถ่านเหล่านั้นยังมีความร้อนอยู่ ซึ่งอาจทำให้ไฟลุกติดได้  โดยเมื่อพิจารณาการทำหลุมถ่านเพลิงของนายครหทินน์ สามารถวินิจฉัยได้ ๒ กรณีคือ

    กรณีที่ ๑ ถ้าเราเข้าใจว่านายครหทินน์ขุดหลุม และเผาถ่านในหลุมนั้นโดยใช้เวลาในการเผาถ่านไม้ตลอด ๑ คืนเต็มๆ ก็หมายความว่า นายครหทินน์เผาถ่านไม้นั้นด้วยวิธีการเผาถ่านอย่างง่าย แต่การเผาถ่านแบบนี้ก็มีข้อจำกัดกล่าวคือ ไม่เหมาะกับการเผาถ่านเป็นจำนวนมากๆ ดังที่กล่าวว่านายครหทินน์ใช้ไม้ตะเคียนจำนวนมากถึง ๘๐ เล่มเกวียน อีกทั้งหลุมที่ขุดนั้น ก็คงมิอาจลึกไปได้มากกว่า ๐.๕๐ เมตร เนื่องจากถ้าลึกไปกว่านี้ อากาศจะเข้าไปไม่ถึงทำให้ไฟดับ จนไม่สามารถเผาไม้ให้เป็นถ่านได้ นั่นจึงหมายความว่า ในกรณีการเผาถ่านด้วยวิธีนี้ หลุมถ่านเพลิงจึงไม่มีทางที่จะ “ลึกยิ่งกว่าชั่วบุรุษ” ไปได้เลย

    กรณีที่ ๒ การเผาถ่านด้วย เตาดินเหนียวก่อ น่าจะเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากข้อมูลในชั้นอรรถกถา เกี่ยวกับกรณีการสร้างหลุมถ่านเพลิงของนายครหทินน์ มิได้มีการกล่าวถึงการทำผนังเตาเหนือพื้นดินแต่อย่างใด และแม้หากจะทำการเผาถ่านด้วยวิธีนี้จริง  โดยทั่วไปก็มักขุดหลุมที่ลึกไปไม่เกิน ๑.๒๐ เมตร คือประมาณ ๒ ศอกเศษๆ ไม่ถึง ๕ ศอกตามคำของอรรถกถาจารย์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่