01 พระปาฏิโมกข์ ๑๕๐ สิกขาบทถ้วน

หากท่านทั้งหลาย  สังเกตข้อความจากมหาปรินิพพานสูตร อย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยความละเอียดรอบคอบให้มากยิ่งขึ้น ก็จะพบว่า ข้อธรรมโดยส่วนใหญ่ที่พระพุทธองค์ตรัสแสดง หรือข้อสงสัยต่างๆ ที่ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นข้อธรรม หรือหลักปฏิบัติที่สำคัญในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น  ดังที่มักพบอยู่เสมอในทุกๆ เหตุการณ์ที่พระพุทธองค์เสด็จไปในสถานที่ต่างๆ ตามความจากมหาปรินิพพานสูตรว่า

    “ทรงกระทำมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่พวกภิกษุว่า อย่างนี้ศีล อย่างนี้สมาธิ อย่างนี้ปัญญา สมาธิอันศีลอบรมแล้วย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะโดยชอบ คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ”

    แต่กระนั้น เราก็พบว่าในพรรษาสุดท้ายแห่งปีพุทธกิจนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงหลักธรรมสำคัญ เสมือนดั่งเป็นการสรุปรวบยอดเอาไว้หลายประการ ดังเช่น

    ภาณวารที่ ๑ พระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงอปริหานิยธรรมหลายปริยาย ตรัสถึงโทษแห่งศีลวิบัติและอานิสงส์แห่งศีลสมบัติ
    ภาณวารที่ ๒ ตรัสแสดง อริยสัจ ๔ สติปัฏฐาน ๔ และตรัสแสดงเรื่องพึ่งตนพึ่งธรรม ตามลำดับ
    ภาณวารที่ ๓ ตรัสแสดง กถาว่าด้วยอานุภาพของอิทธิบาท ๔ อภิภายตนะ ๘ วิโมกข์ ๘ ตรัสแสดง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
    ภาณวารที่ ๔ ตรัสแสดง อริยธรรม ๔ มหาปเทส ๔  
    ภาณวารที่ ๕ ตรัสแสดง ถูปารหปุคคล ๔  ตรัสกับสุภัททะว่า “ถ้าภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ(อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘) โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย”
    ภาณวารที่ ๖ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ” และยังตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด” ซึ่งพระดำรัสนี้ เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระพุทธองค์

    ถ้าหากพิจารณาอย่างผิวเผิน เราอาจเห็นว่าข้อธรรมทั้งหลาย เท่าที่ปรากฏอยู่ในมหาปรินิพพานสูตร  ซึ่งเชื่อกันว่าพระสูตรนี้ ได้พรรณนาเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงพรรษาสุดท้ายแห่งปีพุทธกิจ ครบถ้วนดีอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริง อาจมีข้อธรรมบางประการ ที่อาจขาดหายไปจากมหาปรินิพพานสูตร อย่างไม่ควรจะเป็น  เพราะข้อธรรมที่กล่าวถึงนี้  อาจนับได้ว่าเป็น“หัวใจหลัก”อันสำคัญยิ่งในการบริหารคณะสงฆ์ อย่างมีประสิทธิภาพก็ว่าได้

วัชชีปุตตสูตร

    ตามความในพระบาลีระบุว่า  สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี  ในครั้งนั้นเอง มีภิกษุวัชชีบุตรรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สิกขาบท ๑๕๐ ถ้วนนี้ ย่อมมาสู่อุเทศทุกกึ่งเดือน ข้าพระองค์ไม่สามารถที่จะศึกษาในสิกขาบทนี้พระเจ้าข้า”
    พระพุทธองค์จึงตรัสถามภิกษุรูปนั้นว่า
    “ดูกรภิกษุ ก็ท่านสามารถจะศึกษาในสิกขา ๓ คือ อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑ หรือ ?”
    ภิกษุรูปนั้นได้กราบทูลว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์สามารถจะศึกษาได้ในสิกขา ๓ คือ อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑ พระเจ้าข้า”
    พระพุทธองค์จึงตรัสกับภิกษุวัชชีบุตรรูปนั้น ความว่า
    “ดูกรภิกษุ เพราะฉะนั้นแล ท่านจงศึกษาในสิกขา ๓ คือ อธิศีลสิกขา ๑ อธิจิตตสิกขา ๑ อธิปัญญาสิกขา ๑ เมื่อใด ท่านจักศึกษาอธิศีลสิกขาก็ดี จักศึกษาอธิจิตตสิกขาก็ดี จักศึกษาอธิปัญญาสิกขาก็ดี เมื่อนั้น เมื่อท่านนั้นศึกษาอธิศีลสิกขาอยู่ก็ดี ศึกษาอธิจิตตสิกขาอยู่ก็ดี ศึกษาอธิปัญญาสิกขาอยู่ก็ดี จักละราคะ โทสะ โมหะ เสียได้ เพราะละราคะ โทสะ โมหะ เสียได้ ท่านนั้นจักไม่กระทำกรรมเป็นอกุศล จักไม่เสพกรรมที่เป็นบาป
    ครั้นสมัยต่อมาภิกษุนั้นศึกษาแล้วทั้งอธิศีลสิกขา ทั้งอธิจิตตสิกขา ทั้งอธิปัญญาสิกขา เมื่อภิกษุนั้นศึกษาอธิศีลสิกขาก็ดี ศึกษาอธิจิตตสิกขาก็ดี ศึกษาอธิปัญญาสิกขาก็ดี ละราคะโทสะ โมหะ ได้แล้ว เพราะละราคะ โทสะ โมหะ เสียได้ เธอมิได้ทำกรรมที่เป็นอกุศล มิได้เสพกรรมที่เป็นบาป” (อ้างจาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต ข้อ ๕๒๔)

    ข้อมูลที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จากพระบาลีวัชชีปุตตสูตร ก็คือ  การที่ภิกษุรูปดังกล่าว เข้ามากราบทูลถามพระพุทธองค์ ถึงเรื่องการสวดพระปาฏิโมกข์นั่นเอง  โดยแม้ว่าข้อความจากพระไตรปิฎก จะมิได้ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงพรรษาที่เท่าใดแห่งปีพุทธกิจก็ตาม  แต่เราก็อาจตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่า  เหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นในพรรษาสุดท้ายแห่งปีพุทธกิจนี้เอง

    ทั้งนี้เพราะ  เมื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในภาณวารที่ ๒ ของมหาปรินิพพานสูตร  ซึ่งระบุว่าพระพุทธองค์ประชวรหนักจนเกือบปรินิพพาน  อีกทั้งในภาณวารที่ ๓ ซึ่งพระพุทธองค์ได้ประกาศให้ภิกษุทั้งหลาย ในเขตพระนครเวสาลีทราบว่า  พระพุทธองค์จะปรินิพพานภายในเวลา ๓ เดือน ทำให้สามารถประเมินได้ว่า เหตุการณ์สำคัญทั้ง ๒ คราวนี้ ย่อมนำมาซึ่งความวิตกกังวล ให้เกิดแก่ภิกษุทั้งหลายเป็นแน่

    จึงไม่เป็นการแปลกแต่อย่างใดเลย ถ้าหากจะสันนิษฐานต่อไปว่า  ในช่วงพรรษาสุดท้ายแห่งปีพุทธกิจนี้  นอกจากพระพุทธองค์ จะตรัสถึงหลักธรรมที่สำคัญด้วยพระองค์เองแล้ว  ภิกษุปุถุชนทั้งหลาย รวมทั้งผู้ยังต้องศึกษาอยู่ ก็ย่อมที่จะกราบทูลถามถึงสิ่งที่ตนยังมีความสับสนหรือไม่เข้าใจ  แต่เมื่อพิจารณาข้อความทั้งหมดในมหาปรินิพพานสูตร กลับไม่พบว่ามีการกล่าวถึงเรื่องการสวดพระปาฏิโมกข์เอาไว้เลย ซึ่งนับได้ว่าเป็นเรื่องที่แปลกเหลือประมาณ

    ดังนั้น  จึงมีความเป็นไปได้มากว่า การกล่าวถึงพระปาฏิโมกข์ ๑๕๐ สิกขาบทของภิกษุวัชชีบุตรนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคราวที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ ณ แคว้นวัชชี ในพรรษาสุดท้าย นับจากช่วงออกพรรษา ไปจนถึงเมื่อคราวที่ปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์นี้เอง  ซึ่งแน่นอนว่า มติดังกล่าวข้างต้นนี้ อาจนำมาสู่กระแสต่อต้านคัดค้านจากชาวพุทธฝ่ายอนุรักษ์นิยม ผู้ถูกครอบงำอยู่ด้วยมายาคติแห่งความเชื่อใน“อาจริยวาท” อย่างปราศจากโยนิโสมนสิการ  คือการพิจารณาโดยแยบคายในใจด้วยสติปัญญา อย่างมิต้องสงสัย

มายาคติแห่งลัทธินิกาย

    ข้อเท็จจริงบางประการ ที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยในปัจจุบัน อาจไม่ทราบรายละเอียดมากนักก็คือ  พระพุทธศาสนาที่เรายอมรับนับถือกันมา แต่ครั้งสมัยอาณาจักรสุโขทัย นั้นเป็นพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์  ซึ่งกรุงสุโขทัยได้รับมาจากลังกา โดยผ่านเมืองนครศรีธรรมราช กล่าวคือ  เมื่อราว ๑ ศตวรรษ ก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย  พระเจ้าปรากรมพาหุได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ณ ลังกาทวีป ในราวปี พ.ศ. ๑๖๙๖  ได้ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ ด้วยการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๗ (การสังคายนาครั้งที่ ๗ นี้เป็นการนับแบบไทย)  ส่งผลให้กิตติศัพท์เลื่องลือไปว่า  พระพุทธศาสนาในลังกา มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านการศึกษา(ปริยัติ) และการปฏิบัติ(ธรรม)  

    ด้วยเหตุดังนั้น ภิกษุสงฆ์จากอาณาจักรพุกามและอาณาจักรมอญ ต่างก็ได้เดินทางไปศึกษาพระธรรมวินัยและบวชแปลง  อีกทั้งยังได้พาพระสงฆ์จากลังกา กลับมายังบ้านเมืองของตน เพื่อก่อตั้งคณะลังกาวงศ์ขึ้น จนเป็นที่เคารพเลื่อมใสจากประชาชนเป็นอันมาก

    สมัยต่อมา  ภิกษุชาวลังกาชื่อพระราหุล ได้จาริกจากอาณาจักรพุกาม มาตั้งคณะลังกาวงศ์ขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราช สามารถสร้างศรัทธาให้เกิดแก่ประชาชน จนพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ เจริญรุ่งเรืองอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราชนั้นเอง เมื่อพ่อขุนรามราช เสด็จขึ้นครองกรุงสุโขทัย เมื่อราวปี พ.ศ. ๑๘๒๒  พระองค์ได้ทรงสดับกิตติศัพท์ของคณะสงฆ์แบบลังกาวงศ์ ก็ทรงเลื่อมใสศรัทธา  จึงโปรดให้อาราธนาพระมหาเถรสังฆราช จากเมืองนคร มาตั้งสำนักเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ วัดอรัญญิก ในกรุงสุโขทัย  ปรากฏหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ ๑ ความว่า

    “เบื้องตะวันตกเมืองสุโขทัยนี้มีอรัญญิก พ่อขุนรามคำแหง กระทำโอยทานแก่มหาเถรสังฆราช ปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ทุกคน ลุกแต่เมืองนครศรีธรรมราชมา”

    จากข้อความในจารึกนี้เองทำให้ทราบว่า แต่เดิมในเมืองไทย(อาณาจักรสุโขทัย) นี้มีพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทดั้งเดิมอยู่ก่อนแล้ว สมดังที่ข้อความในจารึกระบุถึง“ปู่ครู”  เมื่อพระเจ้ารามราช อาราธนาภิกษุฝ่ายลังกาวงศ์มาจากเมืองนคร  จึงทำให้ในกรุงสุโขทัยมีคณะสงฆ์อยู่ถึง ๒ ฝ่าย  จนเมื่อราว พ.ศ. ๑๙๐๔ ในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไท  พระองค์ได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ชาวลังกานามว่า สุมนะพระมหาสามีสังฆราช จากเมืองนครพัน มาตั้งสำนักเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ วัดป่ามะม่วง ในกรุงสุโขทัย  ปรากฏหลักฐานอยู่ในจารึกวัดป่ามะม่วง  ความว่า

    “สมเด็จบพิตรทรงใช้ให้ราชบัณฑิต ไปอาราธนาพระมหาสามีสังฆราช ผู้มีศีล เรียนจนจบพระไตรปิฎก ซึ่งสถิตย์อยู่ในลังกาทวีป  ซึ่งมีศีลาจารคล้ายพระขีณาสพทั้งหลายในโบราณ จากนครพัน”

    จึงเป็นอันว่า พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ ได้เข้ามาในสยามประเทศ เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ – ๑๙ ภายหลังจากที่พระเจ้าปรากรมพาหุ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ณ ลังกาทวีป และได้ทำการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาครั้งใหญ่  ซึ่งพระพุทธศาสนาสายนี้ มิใช่เถรวาทสายตรง ดังเมื่อครั้งที่พระเจ้าอโศกอุปถัมภ์การสังคายนา ครั้งที่ ๓ ณ ชมพูทวีป เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓  ซึ่งเป็นคราวเดียวกันกับที่ท่านพระมหินทเถระ ได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเผยแผ่ในลังกา และท่านพระโสณะเถระ พระอุตตรเถระ พร้อมคณะ จาริกมายังดินแดนสุวรรณภูมินั้นเอง

    ปรากฏว่า แม้พระพุทธศาสนาจะมีความรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ในรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยทัสสะ ก็จริง  แต่หลังจากสิ้นรัชกาลนั้นแล้ว สภาพทางการเมืองที่ไม่มั่นคงในลังกา ก็ได้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาไม่น้อย  ดังที่บางครั้ง พระพุทธศาสนาในลังกาถึงกับขาดสูญวงศ์ไปเลยก็มี  โดยที่กษัตริย์บางพระองค์ ที่สามารถเข้ามากอบกู้บ้านเมืองได้  ถึงกับต้องอาราธนาคณะสงฆ์จากดินแดนอื่นมาสืบวงศ์พระพุทธศาสนาเสียก็หลายคราว

    ดังนั้น  มายาคติที่สั่งสมสืบต่อกันมานานว่า พระพุทธศาสนาในลังกามีความมั่นคงสถาพร สืบเนื่องมาโดยตลอดนับจาก เมื่อครั้งพระมหินทเถระเข้ามาเผยแผ่พระศาสนานั้นย่อมไม่จริง  อีกทั้ง ความเข้าใจที่ว่า พระไตรปิฎกฉบับลายลักษณ์อักษร ตามที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาแต่ครั้งปฐมสังคายนา อย่างครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์นั้น ย่อมมิอาจเชื่อได้ว่าเป็นความจริงเช่นกัน เมื่อประเมินจากสถานการณ์บ้านเมืองในลังกาตลอดเวลากว่า ๒,๐๐๐ ปีที่ผ่านมา ซึ่งต้องนับว่ามีช่วงเวลาที่บ้านเมืองสงบสุข น้อยเต็มที

กัมมวิบากของพระพุทธศาสนาในลังกา

    หากเราเขาใจว่า ลังกาทวีป อันเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนาแห่งนี้ เป็นดินแดนที่ร่มเย็นไปด้วยบวรพระพุทธศาสนา  มีความสงบและเต็มไปด้วยสันติสุขอย่างยั่งยืนแล้วล่ะก็  จำต้องกล่าวว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนโดยแท้  การที่สยามประเทศ ได้รับเอาพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ เข้ามาเป็นครั้งแรกนั้น  แม้ลังกาทวีปในรัชสมัยของพระเจ้าปรากรมพาหุ  จะถือได้ว่าเป็นครั้งบ้านเมืองดีก็จริง  แต่ก็สมควรทราบเอาไว้ด้วยว่า นั่นเป็นบ้านเมืองดีอันเกิดขึ้น หลังจากที่พระเจ้าปรากรมพาหุ สามารถปราบปรามแผ่นที่แตกแยกออกเป็น ๔ ก๊ก มายาวนาน กว่า ๒๐ ปีลงได้

    ซึ่งในช่วงเวลาแห่งความแตกแยกนั้น  ทั้งประชาชนและพระพุทธศาสนา ก็ได้ถูกกดขี่และเบียดเบียนบีฑาอย่างแสนสาหัส  ทั้งยังปรากฏว่า พระคัมภีร์ต่างๆ ในพระ พุทธศาสนาได้สูญหายไปเสียโดยมาก  ความสืบเนื่องนับจากปฐมสังคายนา จึงมีความเป็นไปได้อย่างจำกัดเท่านั้น  และที่น่าสมเพชก็คือ หลังจากรัชกาลของพระเจ้าปรากรมพาหุไปแล้ว  กลับปรากฏว่า ลังกาทวีปก็ได้กลับไปสู่ความเสื่อมโทรมอีกครั้งหนึ่ง  ดังจะได้เห็นจากประวัติศาสตร์โดยสังเขป แสดงความเป็นไปของพระพุทธศาสนา อันผูกโยงเกี่ยวเนื่องกับการเมืองและสังคมภายในลังกาทวีป  ก่อนที่จะได้เข้ามาประดิษฐานในประเทศไทย ดังนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่